การยุบสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 15 ตุลาคม 2488
ผู้เรียบเรียง นิพัทธ์ สระฉันทพงษ์
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จเร พันธุ์เปรื่อง
การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2481
ภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2481 มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ที่ได้รับการเลือกตั้งจำนวน 91 คน และเมื่อรวมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ที่มาจากการแต่งตั้ง 91 คน จากรัฐสภาชุดเดิมทำให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสองประเภทรวม 182 คน[1]
วันที่ 12 ธันวาคม 2481 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกพระยามานวราชเสวี เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร นายพันเอก พระประจนปัจจนึก เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร
วันที่ 15 ธันวาคม 2481 ประธานสภาได้เชิญสมาชิกทั้งสองประเภทมาหารือเป็นการภายใน และเห็นควรว่านายพันเอก หลวงพิบูลสงคราม มีความเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป พระยามานวราชเสวี จึงนำความกราบบังคมทูลตามความเห็นของสมาชิก และในวันที่ 16 ธันวาคม 2481 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ตั้งให้นายพันเอก หลวงพิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี[2]
เหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สองในไทย
วันที่ 3 กันยายน 2482 อังกฤษและฝรั่งเศสได้ประกาศสงครามกับเยอรมัน เพราะเยอรมันใช้กองทัพบุกประเทศโปแลนด์
มีพระบรมราชโองการให้ปฏิบัติความเป็นกลาง เพื่อให้ประชาชนรักษาความเป็นกลางอย่างเคร่งครัด และเที่ยงธรรมในสถานการณ์สงครามมีความว่า
“ให้บรรดาข้าราชการและอาณาประชาราษฎรไทย และบรรดาบุคคลซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยปฏิบัติตามความเป็นกลางอย่างเคร่งครัดและเที่ยงธรรม ในระหว่างที่มีสถานการณ์สงครามอยู่นี้ และปฏิบัติตามบรรดากฎหมายแห่งราชอาณาจักรนี้กับทั้งผูกพันตามสนธิสัญญาและกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยความเป็นกลางด้วย”[3]
วันที่ 12 มิถุนายน 2483 ประเทศไทยได้ลงนามกติกาสัญญาไม่รุกรานกับรัฐบาลฝรั่งเศสและรัฐบาลอังกฤษ ณ กรุงเทพมหานคร และในวันเดียวกันนี้ได้ลงนามกับรัฐบาลญี่ปุ่นที่กรุงโตเกียว
ในข้อกติการะหว่างไทยกับฝรั่งเศสนั้น มีสาระสำคัญว่า
1. ภาคีแต่ละฝ่ายไม่ทำสงครามซึ่งกันและกัน หรือใช้กำลังรุกรานซึ่งกันและกันโดยลำพัง หรือร่วมกับประเทศอื่นๆ และจะเคารพบูรณภาพของแต่ละฝ่าย
2. ภาคีแต่ละฝ่ายจะไม่ช่วยชาติอื่น ซึ่งทำสงครามกับภาคีหนึ่งภาคีใด
3. ภาคีแต่ละฝ่ายจะเคารพอธิปไตยหรืออาณาเขตของอีกฝ่ายหนึ่ง
และมีหนังสือแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน อันถือเป็นเงื่อนไขของกติกานี้มีใจความว่าเพื่อระงับข้อยุ่งยากในทางปกครองระหว่าง 2 ประเทศ ให้มีมิตรภาพอันดีตลอดไปจะให้เส้นเขตแดนในลำแม่น้ำโขงเป็นไปตามร่องน้ำจะเดินเรือได้สะดวกทุกฤดูกาล ฉะนั้นอาณาเขตใดๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปใดก็ตาม ซึ่งอยู่ทางขวาแห่งเส้นเขตแดนนี้ย่อมเป็นเขตแดนไทย และอาณาเขตใดๆ ที่อยู่ข้างซ้ายแห่งเส้นเขตแดนนั้นย่อมเป็นอาณาเขตฝรั่งเศสดุจกัน
เพื่อกำหนดเส้นเขตแดนดังกล่าว รัฐบาลทั้งสองจะได้แต่งตั้งผู้ดำเนินการ และจะต้องเสร็จสิ้นภายใน 1 ปี นับแต่ลงนามในกติกานั้น และทั้งสองฝ่ายได้แต่งตั้งผู้แทนเจรจากันโดยทันที
รัฐบาลได้นำเรื่องนี้เสนอให้สภาทราบเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2483 แต่ว่าทั้งสองฝ่ายได้ตั้งกรรมการปรับปรุงเส้นเขตแดนกันแล้ว[4]
ปี พ.ศ. 2484 รัฐบาลได้ประกาศใช้กฎอัยการศึกในจังหวัดชายแดนทุกจังหวัดรวม 24 จังหวัด โดยที่เหตุการณ์ระหว่างอินโดจีนกับประเทศไทยเพิ่มความรุนแรงขึ้น ฝ่ายฝรั่งเศสที่ปกครองอินโดจีนอยู่ได้ล่วงละเมิดอธิปไตยของไทย รัฐบาลจึงได้ประกาศสถานการณ์สงครามกับอินโดจีนฝรั่งเศส ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2484 เป็นต้นไป ในการนี้รัฐบาลไทยได้สั่งใช้กำลังทหารรุกเข้ายึดพื้นที่ของอินโดจีนฝรั่งเศสได้เมืองหลวงพระบาง นครจำปาศักดิ์ และที่อื่นๆ อีกหลายแห่ง ญี่ปุ่นซึ่งขณะนั้นมีอิทธิพลอยู่ในอินโดจีนทั้งทางกำลังคน กำลังอาวุธและกำลังการค้าเป็นอันมาก จึงได้ยื่นมือเข้ามาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทที่เกิดขึ้น โดยมีการเจรจาที่กรุงโตเกียว ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2484 ผลการเจรจาปรากฎว่าฝรั่งเศสยอมยกดินแดนคืนให้แก่ไทย คือ อาณาเขตบางส่วน ได้แก่ เมืองศรีโสภณ มงคลบุรี และพระตะบอง โดยฝ่ายไทยต้องเสียเงิน 5 ล้านเปียสเป็นค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมค่าเสียหายในกรณีพิพาทครั้งนี้[5]
วันที่ 19 มิถุนายน 2484 รัฐบาลได้เสนอร่างพระราชบัญญัติให้จัดการปกครองในดินแดนที่ประเทศฝรั่งเศสคืนให้แก่ประเทศไทย และที่ประชุมได้ลงมติให้ประกาศใช้เป็นกฎหมายได้ ในการนี้ประเทศไทยได้เพิ่มอีก 4 จังหวัด คือ จังหวัดพระตะบอง ลานช้าง พิบูลสงครามและนครจำปาศักดิ์[6]
วันที่ 7 ธันวาคม 2484 เวลา 23 นาฬิกา เอกอัคราชทูตญี่ปุ่นและคณะได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี แต่นายกรัฐมนตรีไม่อยู่เนื่องจากไปราชการที่อรัญประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ออกรับคณะทูต โดยคณะทูตชี้แจงกับรัฐมนตรีว่าญี่ปุ่นกำลังจะประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาในเวลา 1 นาฬิกา ของวันที่ 8 ธันวาคม ดินแดนที่ญี่ปุ่นจะเข้าโจมตีนั้นจะต้องอาศัยแผ่นดินไทยเพื่อเป็นทางผ่าน รัฐมนตรีได้ชี้แจงว่านายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดไม่อยู่ จึงไม่มีผู้ใดสั่งการกองทัพไทยได้ ขอให้ญี่ปุ่นยับยั้งเข้าเขตแดนไทยไว้ก่อน ปรากฎว่าในคืนนั้นจนถึงรุ่งเช้า ที่จังหวัดสงขลา ปัตตานี และประจวบคีรีขันธ์ ได้มีการรบพุ่งกันซึ่งทั้งสองฝ่ายได้เสียทหารไปเป็นอันมาก และในที่สุดนายกรัฐมนตรี จอมพลแปลก พิบูลสงคราม ได้ตกลงใจยินยอมให้กองทัพญี่ปุ่นผ่านประเทศไทย และสั่งให้ทหารที่กำลังต้านทานการยกพลขึ้นบกของทหารญี่ปุ่นทุกจุดนั้นหยุดยิง[7]
วันที่ 21 ธันวาคม 2484 ได้ใช้กติกาสัญญาสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่างไทยกับญี่ปุ่นยิ่งขึ้น[8]
นายปรีดี พนมยงค์ ได้ริเริ่มตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้นอย่างลับๆ หลังจากวันที่รัฐบาลยอมให้กองทัพญี่ปุ่นผ่านเข้าประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะให้ประเทศและคนไทยได้สิทธิเสรีภาพคืนมาเหมือนเมื่อก่อนวันที่ 8 ธันวาคม 2484[9]
วันที่ 25 มกราคม 2485 ประเทศไทยได้ประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาความว่า โดยที่ฝ่ายอังกฤษและสหรัฐอเมริกาได้กระทำการรุกรานประเทศไทยมาเป็นลำดับโดยส่งทหารรุกล้ำเขตแดน โดยเฉพาะได้ส่งเครื่องบินลอบเข้ามาทิ้งระเบิด ทั้งระดมยิงราษฎรผู้ไร้อาวุธอย่างทารุณผิดวิสัยของอารยชน ไม่กระทำการอย่างเปิดเผยตามประเพณีนิยมระหว่างชาติ นับได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศและมนุษยธรรม
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 54 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศทราบทั่วกันว่าได้มีสถานะสงครามระหว่างประเทศไทยฝ่ายหนึ่งกับบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกาอีกฝ่ายหนึ่ง ตั้งแต่เวลาเที่ยงวัน วันที่ 25 มกราคม 2485 เป็นต้นไป
ฉะนั้นจึงให้ประชาชนชาวไทยทุกเพศทุกวัย ร่วมมือร่วมใจกับรัฐบาลปฏิบัติกิจการเพื่อให้ประเทศไทยประสบชัยชนะถึงที่สุด และพ้นจากการรุกรานอันไม่เป็นธรรมของฝ่ายอังกฤษและสหรัฐอเมริกา โดยกระทำการสนับสนุนกิจการของรัฐบาลอย่างพร้อมเพรียง และปฏิบัติตามคำสั่งของทางราชการอย่างเคร่งครัด ทั้งให้ประกอบอาชีพตามปกติของตนอย่างเต็มที่ให้ได้ผลเพื่อนำมาช่วยเหลือและเกื้อกูลเพื่อนร่วมชาติและพันธมิตรของชาติอย่างมากที่สุด
ส่วนผู้อาศัยอยู่ในประเทศนี้ที่มิได้เป็นคนไทยและมิได้เป็นชนชาติศัตรูนั้นให้ตั้งอยู่ในความสงบและดำเนินอาชีพอย่างปกติ และให้กระทำกิจการให้สมกับที่ตนได้รับยกย่องว่าเป็นมิตรของประเทศไทย[10]
ประกาศขยายอายุสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่หนึ่ง
รัฐบาลได้เสนอรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต่อสภาผู้แทนราษฎร โดยให้มีบทบัญญัติว่าถ้ามีพฤติการณ์สำคัญกระทบถึงนโยบายภายในและภายนอกประเทศอันเป็นการพ้นวิสัย หรือมีเหตุขัดข้องที่จะทำให้การเลือกตั้งในขณะที่กำหนดเวลาสี่ปีสิ้นสุดลงไม่ได้ ก็ให้ตราพระราชบัญญัติขยายเวลาออกไปอีกคราวละไม่เกินสองปีได้ ที่ประชุมได้พิจารณารับหลักการและให้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม[11]
วันที่ 5 ธันวาคม 2485 รัฐบาลได้เสนอร่างพระราชบัญญัติขยายกำหนดเวลาอยู่ในตำแหน่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรออกไปอีกไม่เกินสองปี นับแต่วันที่สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษรสิ้นสุดลง ซึ่งที่ประชุมได้ลงมติรับหลักการและได้ลงมติให้ประกาศใช้เป็นกฎหมายได้[12]
ในปี 2487 รัฐบาลได้ประกาศพระราชกำหนดระเบียบราชการบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ 2487 และได้แต่งตั้งให้พันเอกช่วง เชวงศักดิ์สงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีอำนาจบริหารราชการเพ็ชรบูรณ์แทนนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2487 และในวันที่ 5มิถุนายน 2487 ได้ประกาศสถาปนาพุทธบุรีมณฑล โดยให้มีอาณาบริเวณพระพุทธบาทสระบุรี เป็นพุทธบุรีมณฑล[13]
วันที่ 20 กรกฎาคม 2487 สภาได้พิจารณาพระราชกำหนดระเบียบราชการบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ โดยรัฐบาลได้เสนอเหตุผลว่าเพื่อจะยกฐานะของจังหวัดเพชรบูรณ์ขึ้นเป็นนครบาล เป็นการเตรียมไว้ในยามที่ประเทศชาติเกิดภาวะคับขันจะได้ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่นครเพชรบูรณ์ ที่ประชุมสภาได้พิจารณา และลงมติลับไม่อนุมัติพระราชกำหนดนั้น[14]
วันที่ 22 กรกฎาคม 2487 รัฐบาลได้เสนอร่างพระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดจัดสร้างพุทธบุรีมณฑล พ.ศ.2487 ต่อสภาโดยชี้แจงเหตุผลว่าเพื่อจะยกบริเวณพระพุทธบาทสระบุรี เป็นพุทธมณฑล ที่ประชุมได้อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง ในที่สุดลงมติไม่อนุมัติด้วยวิธีลงคะแนนลับเช่นเดียวกับพระราชกำหนดฉบับที่แล้ว[15]
วันที่ 24 กรกฎาคม 2487 จอมพลแปลก พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง โดยเสนอเหตุผลในการกราบบังคมทูลลาออกว่า เพราะเหตุที่สภาผู้แทนราษฎรไม่ยอมอนุมัติพระราชกำหนดระเบียบราชการบริหารนครบาลเพ็ชรบูรณ์กับพระราชกำหนดจัดสร้างพุทธบุรีมณฑล[16]
วันที่ 1 สิงหาคม 2487 นายปรีดี พนมยงค์ ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และในวันนั้นได้เชิญนายปลอด วิเชียร ณ สงขลา ประธานสภาผู้แทนราษฎรไปพบเพื่อปรารภถึงสถานการณ์บ้านเมืองรวมทั้งสถานการณ์สงครามว่ากองทัพญี่ปุ่นกำลังติดตามความเคลื่อนไหวของคนไทย จึงต้องรีบดำเนินการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีโดยด่วน และเห็นว่านายควง อภัยวงศ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ที่มีความเหมาะสมทุกประการ ดังนั้นจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี[17]
ประกาศขยายอายุสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่สอง
วันที่ 14 กันยายน 2487 รัฐบาลได้เสนอร่างพระราชบัญญัติขยายกำหนดเวลาอยู่ในตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 2) โดยกำหนดให้ขยายอายุของสมาชิกชุดนี้ออกไปอีกไม่เกินสองปี นับแต่วันที่สิ้นวาระเป็นต้นไป โดยมีเหตุผลว่าอยู่ในระหว่างสงครามไม่สามารถดำเนินการเลือกตั้งได้ และได้ประกาศใช้เป็นกฎหมายเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2487[18]
วันที่ 14 สิงหาคม 2488 กองทัพญี่ปุ่นยอมแพ้แก่ฝ่ายพันธมิตรโดยปราศจากเงื่อนไข ฝ่ายประเทศไทยซึ่งร่วมรบกับญี่ปุ่นและประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ เมื่อญี่ปุ่นพ่ายแพ้ ประเทศไทยก็แพ้สงครามไปด้วย แต่ฝ่ายไทยมีเสรีไทยที่ช่วยพันธมิตรทุกทางเท่าที่จะสามารถทำได้ ซึ่งพันธมิตรทราบเรื่องนี้ดี เสรีไทยที่ทำประโยชน์แก่ประเทศชาติครั้งนี้มีทั้งเสรีไทยภายในประเทศโดยมีนายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้า กับเสรีไทยนอกประเทศโดยมี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นหัวหน้า
การดำเนินงานของขบวนการเสรีไทยดังกล่าวแสดงให้พันธมิตรเห็นว่าแม้รัฐบาลไทยจะได้ประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาก็ตาม แต่ประชาชนคนไทยส่วนมากมิได้เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐบาล ทำให้ได้รับความเห็นใจจากพันธมิตร และการประกาศสงครามกับพันธมิตรที่ได้ประกาศไปนั้นเป็นโมฆะ ซึ่งพันธมิตรก็มิได้คัดค้านแต่ประการใด[19]
วันที่ 20 สิงหาคม 2488 ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แจ้งให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรทราบว่านายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ได้กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความเหมาะสมในอันที่จะสร้างมิตรภาพและดำเนินการเจรจาเพื่อความวัฒนาถาวรของชาติเข้าดำรงตำแหน่งสืบไป ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ปรึกษากันและเห็นควรให้นายทวี บุณยเกตุ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อเจรจากับฝ่ายพันธมิตรโดยรีบด่วน[20] และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเมื่อวันที่ 31สิงหาคม 2488
วันที่ 17 กันยายน 2488 นายทวี บุณยเกตุ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งโดยให้เหตุผลว่ารัฐบาลได้พิจารณาเห็นว่าภารกิจเร่งด่วนที่รัฐบาลได้กระทำไปสำเร็จลุล่วงด้วยดี ต่อไปจะเป็นปัญหาการเมืองและการทำความเข้าใจกับสหประชาชาติ จึงเปิดโอกาสให้ผู้ที่เหมาะสมได้เข้ามาบริหารประเทศสืบแทนต่อไป[21] ดังนั้นในวันเดียวกันนี้มีประกาศแต่งตั้งหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี
วันที่ 27 กันยายน 2488 รัฐบาลได้เสนอร่างพระราชบัญญัติอาชญากรสงครามต่อสภาผู้แทนราษฎร โดยมีเหตุผลว่า โดยที่อาชญากรสงครามเป็นภัยร้ายแรงต่อความสงบสุขของโลก สมควรที่จะจัดให้บุคคลที่ประกอบกรรมไว้ ได้สนองความชั่วที่ตนได้กระทำตามโทษานุโทษ เพื่อเป็นการผดุงรักษาความสงบของโลก สมาชิกได้มีการอภิปรายอย่างกว้างขวาง จากนั้นได้รับหลักการและประกาศใช้เป็นกฎหมาย เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2488[22]
พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร
วันที่ 15 ตุลาคม 2488 มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งสมาชิกประเภทที่ 1 ขึ้นมาใหม่ภายใน 90 วัน นับแต่วันยุบสภา โดยรัฐบาลแถลงว่าสงครามได้สิ้นสุดลงแล้ว ประชาชนชาวไทยมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำความร่วมมือกับสหประชาชาติในอันที่จะธำรงและรักษาสันติภาพของโลก รัฐบาลพิจารณาเห็นว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ได้รับการเลือกตั้งมาตั้งแต่ปี 2481 นั้น ได้มีพระราชบัญญัติขยายกำหนดเวลาให้อยู่ในตำแหน่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต่อมาอีกสองครั้ง ทั้งนี้นับว่าเป็นเวลาเกินควรย่อมเป็นเหตุให้จิตใจและความคิดเห็นของสมาชิกส่วนมากเหินห่างจากเจตนาและความประสงค์อันแท้จริงของราษฎร
นอกจากนี้เมื่อรัฐบาลได้เสนอร่างพระราชบัญญัติอาชญากรสงครามให้มีการลงโทษการกระทำที่ก่อให้เกิดการปกครองระบอบลัทธิเผด็จการ กล่าวคือ ลัทธินาซีหรือฟาสซิสต์อันเป็นระบอบการปกครองของผู้รุกราน ทำลายสันติสุขของโลก สภากลับลงมติไม่เห็นชอบด้วยและให้ตัดออกเสีย การกระทำของสมาชิกครั้งนี้อาจทำให้โลกภายนอกเข้าใจผิดไปว่าประชาชนไทยสนับสนุนลัทธิเผด็จการ
ฉะนั้นเพื่อให้การได้เป็นไปตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญ รัฐบาลจึงได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาให้พระมหากษัตริย์ทรงยุบสภาผู้แทนราษฎรเสีย ตามความในมาตรา 35 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ได้พ้นจากหน้าที่ไปและเปิดโอกาสให้ราษฎรเลือกตั้งผู้แทนขึ้นใหม่[23] จึงได้กำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 6 มกราคม 2489
อ้างอิง
- ↑ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. สำนักประชาสัมพันธ์. 77 ปี รัฐสภาไทย, (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2552), หน้า 17–18.
- ↑ ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี (2475-2517), (กรุงเทพฯ : ช.ชุมนุมช่าง, 2517), หน้า 279.
- ↑ ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, เรื่องเดิม, หน้า 301.
- ↑ ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, เรื่องเดิม, หน้า 316.
- ↑ ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, เรื่องเดิม, หน้า 343 – 344.
- ↑ ร่างพระราชบัญญัติจัดการปกครองแผ่นดินที่ประเทศฝรั่งเศสคืนให้แก่ประเทศไทย พุทธศักราช 2484,รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 2/2484 สมัยสามัญ วันที่ 19 มิถุนายน พุทธศักราช 2484 , หน้า 100.
- ↑ ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, เรื่องเดิม, หน้า 377– 378.
- ↑ ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, เรื่องเดิม, หน้า 381.
- ↑ ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, เรื่องเดิม, หน้า 381.
- ↑ เสถียร วิชัยลักษณ์, ประชุมกฎหมายประจำศก เล่ม 55 (ภาค 1) กฎหมาย พ.ศ. 2485 (ตอนที่ 1), หน้า 558.
- ↑ รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช 2485, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 59 ตอนที่ 75 (3 ธันวาคม 2485) : หน้า 2356.
- ↑ พระราชบัญญัติขยายกำหนดเวลาหยู่ไนตำแหน่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พุทธสักราช 2485, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 59 ตอนที่ 76 (8 ธันวาคม 2485) : หน้า 2384.
- ↑ ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, เรื่องเดิม, หน้า 430.
- ↑ ร่างพระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดระเบียบวาระการบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ พุทธศักราช 2487, รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 4/2487 สมัยสามัญ สมัยที่ 2 ชุดที่ 3 วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พุทธศักราช 2487.
- ↑ ร่างพระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดจัดสร้างพุทธบุรีมณฑล พุทธศักราช 2487, รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 5/2487 สมัยสามัญ สมัยที่ 2 ชุดที่ 3 วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม พุทธศักราช 2487.
- ↑ ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, เรื่องเดิม, หน้า 436.
- ↑ ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, เรื่องเดิม, หน้า 437.
- ↑ ร่างพระราชบัญญัติขยายกำหนดเวลาอยู่ในตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2487, รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 12/2487 สมัยสามัญ สมัยที่ 2 ชุดที่ 3 วันพฤหัสบดีที่ 14 กันยายน พุทธศักราช 2487, หน้า 359.
- ↑ ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, เรื่องเดิม, หน้า 464.
- ↑ ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, เรื่องเดิม, หน้า 467–469.
- ↑ ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, เรื่องเดิม, หน้า 474.
- ↑ ร่างพระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พุทธศักราช 2488, รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 25/2488 สมัยสามัญ วันที่ 27 กันยายน พุทธศักราช 2488.
- ↑ ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, เรื่องเดิม, หน้า 488–489.
บรรณานุกรม
รัถธัมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราสดร พุทธสักราช 2485, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 59 ตอนที่ 75, 3 ธันวาคม 2485.
ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์. รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี (2485-2517), กรุงเทพฯ : ช.ชุมนุมช่าง, 2517.
พระราชบัญญัติขยายกำหนดเวลาหยู่ไนตำแหน่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พุทธสักราช 2485, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 59 ตอนที่ 76, 8 ธันวาคม 2485.
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. สำนักประชาสัมพันธ์. 77 ปี รัฐสภาไทย. กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2552.
เชาวนะ ไตรมาศ. ข้อมูลพื้นฐาน 75 ปี ประชาธิปไตยไทย 2475–2550. กรุงเทพฯ : บริษัทสุขุมและบุตรจำกัด, 2550.