การขยายตัวสมาชิกภาพอาเซียน

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

บทนำ

กรอบความร่วมมืออาเซียนได้เริ่มต้นจากแนวคิดตามปฏิญญากรุงเทพจากกลุ่มประเทศอาเซียนผู้ก่อตั้งเพียง 5 ประเทศ[1] ซึ่งในมิติด้านเศรษฐกิจนั้นถือได้ว่ามีพัฒนาการที่มีประสิทธิผลชัดเจนในการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันและการดึงดูดให้เกิดการลงทุนในภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น แม้จะยังไม่พัฒนาไปจนถึงขั้นการรวมกลุ่มโดยสมบูรณ์แต่ก็มีแนวโน้มความร่วมมืออย่างทางการมากยิ่งขึ้น ซึ่งในเวลาต่อมาได้มีกฎบัตรอาเซียนซึ่งเป็นเอกสารข้อตกลงซึ่งมีผลให้สมาคมอาเซียนมีสถานะบุคคลตามกฎหมาย[2][3] กฎบัตรอาเซียนได้กำหนดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนในเรื่องของสมาชิกภาพในข้อ 6 [4]

พัฒนาการความร่วมมือระดับภูมิภาคของอาเซียน

สมาคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือสมาคมอาสา (Association of South-East Asia – ASA) [5] เป็นจุดเริ่มต้นของอาเซียน มีการก่อตั้งขึ้นเมื่อ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 1961 โดยประเทศฟิลิปปินส์ สหพันธ์รัฐมาลายา และประเทศไทย เป็นรัฐสมาชิก มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือกันทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม แต่เกิดการขัดแย้งกันเรื่องดินแดนระหว่างสหพันธ์รัฐมาลายากับฟิลิปปินส์ ในปลายปี ค.ศ.1962 ความสัมพันธ์จึงหยุดชะงักลง

สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน(Association of South East Asian Nations) เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันได้อีกครั้งหลังจากมีการฟื้นฟูความสัมพันธ์จนสามารถรวมตัวกันได้ และก่อตั้งสมาคมฯขึ้นในสมัยรัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร โดยมีการลงนาม "ปฏิญญากรุงเทพ" (The Bangkok Declaration ) ที่พระราชวังสราญรมย์ [6] เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ.1967 ซึ่งลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ[7] ของประเทศอินโดนิเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์และไทย ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคง รวมไปถึงการพัฒนาด้านสังคมและวัฒนธรรมของกลุ่มประเทศสมาชิก และในเวลาต่อมาเมื่อบรูไน ได้รับเอกราชจากอังกฤษ บรูไนก็ได้ขอเข้าร่วมเป็นสมาชิกในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ.1984

ภายหลังจากที่สหภาพโซเวียตล่มสลาย และสงครามเย็นได้สิ้นสุดลงบรรยากาศทางการเมืองในเรื่องแนวคิดการแบ่งแยกการปกครองเริ่มคลี่คลายลง กลุ่มประเทศ CLMV ในค่ายสังคมนิยมได้พัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อมุ่งสร้างความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจในขณะเดียวกับที่มีความพยายามผลักดันให้เกิดเขตการค้าเสรีอาเซียนสอดรับกับกระแสการค้าโลก โดยอาเซียนได้มีการรับสมาชิกใหม่ ดังนี้

สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ซึ่งได้เข้าเป็นผู้สังเกตการณ์ของอาเซียนก่อนในปีค.ศ.1992 เป็นผลมาจากการปรับความสัมพันธ์ทางการทูตกับหลายประเทศ รวมไปถึงการพิจารณาเข้าเป็นสมาชิกอาเซียน ภายหลังการพยายามเปลี่ยนแปลงทิศทางนโยบายต่างประเทศเป็นแบบหลายทิศทาง[8] และได้ตกลงเข้าร่วมเป็นสมาชิก เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1995 ในที่สุด

สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้รับผลกระทบจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตเช่นเดียวกับเวียดนามจึงมีการปรับเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศของตนโดยเข้าร่วมประชุมเป็นผู้ร่วม สังเกตการณ์ในปี ค.ศ. 1992 และตกลงเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนในโอกาสเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนในวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ.1995

สหภาพพม่าเข้าเป็นผู้สังเกตการณ์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1996 และได้ตัดสินใจเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนด้วยเหตุผลความมั่นคงในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ และการไม่ประสบความสำเร็จในการบริหารประเทศของรัฐบาลพม่าเองในการปกครองภายใต้พรรคพรรคเดียวและการบริหารเศรษฐกิจตามแนวทางของสังคมนิยมวิถีพม่า [9]

ราชอาณาจักรกัมพูชา ได้เข้าเป็นผู้สังเกตการณ์ก่อนในเบื้องต้นเช่นเดียวกันในปี ค.ศ. 1994 แต่ด้วยสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศทำให้ต้องเลื่อนการเข้าเป็นสมาชิกอาเซียน โดยการเลื่อนครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนในการส่งผู้แทนไปเพื่อหาทางออกโดยกลไก troika [10] สะท้อนถึงความตั้งใจแน่วแน่ที่จะรับกัมพูชา กัมพูชาจึงเป็นประเทศสมาชิกอาเซียนลำดับล่าสุด โดยเข้าเป็นสมาชิกเมื่อ วันที่ 30 เมษายน ค.ศ.1999

เกณฑ์การรับสมาชิกใหม่

กฎบัตรอาเซียน ข้อ 6 ได้มอบหมายให้คณะมนตรีประสานงานอาเซียนเป็นผู้กำหนดกระบวนการสมัครและการรับสมาชิกใหม่ โดยการรับสมาชิกใหม่นั้นจะต้องอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ ต่อไปนี้ [11]

(ก) ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์อันเป็นที่ยอมรับว่าอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(ข) ได้รับการยอมรับจากรัฐสมาชิกอาเซียนทุกประเทศ

(ค) ตกลงที่จะผูกพันและเคารพกฎบัตรอาเซียน

(ง) มีความสามารถและความเต็มใจที่จะปฏิบัติตามพันธกรณีของสมาชิกภาพ

ทั้งนี้การรับสมาชิกใหม่จะต้องได้รับการเสนอจากคณะมนตรีประสานงานอาเซียนและได้รับฉันทามติจากที่ประชุมสุดยอดอาเซียน โดยรัฐผู้สมัครจะเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนต่อเมื่อได้ลงนามภาคยานุวัติกฎบัตรอาเซียนโดยสมบูรณ์แล้ว [12]

บรรณานุกรม

คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล.2014.”มุม’เขตร้อนต้อนรับ ASEAN.” http://www.tm.mahidol.ac.th/th/asean/ASEAN1.pdf (accessed April 18,2015)

พรพิมล ตรีโชติ และคณะ, ความมั่นคงและสมรรถนะทางการเมืองของประเทศสมาชิกใหม่ของอาเซียน:ศึกษากรณี เวียดนาม กัมพูชา ลาว และพม่า, กรุงเทพฯ:สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2549

อณูทิพย์ธารทอง. 2555. “จากสมาคมอาสาสู่ประชาคมอาเซียน”.อาเซียนศึกษา 7. http://www.oknation.net/blog/Anutip/2012/08/24/entry-2 (accessed April 18,2015)

อนุสรณ์ ชัยอักษรเวช. “อาเซียนกับกระบวนการสร้างสถาบัน:จาก “ปฏิญญากรุงเทพฯ1967” ถึง “กฎบัตรอาเซียน 2008”," วิทยานิพนธ์ หลักสูตร รัฐศาสตรมหาบัณฑิต คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2556.

อ้างอิง

  1. ได้แก่ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐสิงคโปร์ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ราชอาณาจักรไทย มาเลเซีย
  2. ASEAN Charter, November 20, 2007, Singapore.
  3. บรูไนดารุสซาลาม ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาเลเซีย สหภาพพม่า และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
  4. ASEAN Charter, Art 6.
  5. อณูทิพย์ธารทอง. 2555. “จากสมาคมอาสาสู่ประชาคมอาเซียน”.อาเซียนศึกษา 7. http://www.oknation.net/blog/Anutip/2012/08/24/entry-2 (accessed April 18,2015)
  6. คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล.2014.”มุม’เขตร้อนต้อนรับ ASEAN.” http://www.tm.mahidol.ac.th/th/asean/ASEAN1.pdf (accessed April 18,2015)
  7. ได้แก่ อาดัม มาลิกแห่งอินโดนีเซีย, นาร์ซิโซ รามอสแห่งฟิลิปปินส์, อับดุล ราซัคแห่งมาเลเซีย, เอส. ราชารัตนัมแห่งสิงคโปร์ และถนัด คอมันตร์ แห่งไทย”
  8. พรพิมล ตรีโชติ และคณะ, ความมั่นคงและสมรรถนะทางการเมืองของประเทศสมาชิกใหม่ของอาเซียน:ศึกษากรณี เวียดนาม กัมพูชา ลาว และพม่า, (กรุงเทพฯ:สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2549.), หน้า 11.
  9. เพิ่งอ้าง., หน้า 12.
  10. อนุสรณ์ ชัยอักษรเวช. “อาเซียนกับกระบวนการสร้างสถาบัน:จาก “ปฏิญญากรุงเทพฯ1967” ถึง “กฎบัตรอาเซียน 2008”," (วิทยานิพนธ์ หลักสูตร รัฐศาสตรมหาบัณฑิต คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2556). หน้า 87.
  11. ASEAN Charter Art. 6.2
  12. ASEAN Charter, Art 6.3-6.4.