องค์ประกอบและที่มาของการกำหนดองค์ประกอบของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ผู้เรียบเรียง วัชรา ไชยสาร
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ พรรณราย ขันธกิจ
องค์ประกอบของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เนื่องจากสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นองค์กรการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วน ดังนั้น มาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2543 กำหนดให้สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประกอบด้วย สมาชิกจำนวน 99 คน ซึ่งได้รับเลือกจากบุคคลที่เป็นตัวแทนองค์กรของกลุ่มในภาคเศรษฐกิจ และกลุ่มในภาคสังคม ฐานทรัพยากร และผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเป็นกลุ่มตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 ตามจำนวนที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2543[1] ดังนี้
1. กลุ่มในภาคเศรษฐกิจ | จำนวน 50 คน |
---|---|
ประกอบด้วยผู้แทนจากภาคการผลิตหลักของประเทศ ได้แก่ | |
1. การผลิตด้านการเกษตร | จำนวน 16 คน |
2. การผลิตด้านการอุตสาหกรรม | จำนวน 17 คน |
3. การผลิตด้านการบริการ | จำนวน 17 คน |
2. กลุ่มในภาคสังคม ฐานทรัพยากร และผู้ทรงคุณวุฒิ | จำนวน 49 คน |
กลุ่มในภาคสังคม | จำนวน 19 คน |
(1) การพัฒนาชุมชน | จำนวน 2 คน |
(2) การสาธารณสุข | จำนวน 2 คน |
(3) การศึกษา ศิลปะ วัฒนธรรมและศาสนา | จำนวน 4 คน |
(4) การพัฒนาและสงเคราะห์คนพิการ | จำนวน 2 คน |
(5) การพัฒนาเด็ก เยาวชน สตรีและผู้สูงอายุ | จำนวน 4 คน |
(6) การพัฒนาแรงงาน | จำนวน 4 คน |
(7) การคุ้มครองผู้บริโภค | จำนวน 1 คน |
กลุ่มในภาคฐานทรัพยากร | จำนวน 16 คน |
(8) ฐานทรัพยากร เช่น ที่ดิน ป่าไม้ แหล่งน้ำ ลุ่มน้ำทะเล อากาศ หรือความหลากหลายทางชีวภาพ | จำนวน 10 คน |
(9) การพัฒนาระบบการเกษตร | จำนวน 4 คน |
(10) การพัฒนาระบบการอุตสาหกรรม | จำนวน 1 คน |
(11) การพัฒนาระบบการบริการ | จำนวน 1 คน |
กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ | จำนวน 14 คน |

ที่มาของการกำหนดองค์ประกอบของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับ ปี พ.ศ. 2543 ได้ปรับเปลี่ยนองค์ประกอบของสภาที่ปรึกษาฯ หลายครั้งและหลายรูปแบบ โดยหากพิจารณากันอย่างถ่องแท้แล้ว จะเห็นว่าอยู่ในโครงสร้างเดียวกันตั้งแต่ร่างพระราชบัญญัติฯ “ฉบับต้นแบบ” และ “ฉบับพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาฯ” โดยโครงสร้างการกำหนดองค์ประกอบของสภาที่ปรึกษาฯ
มีองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน คือ 1) ภาคอาชีพและกิจกรรม 2) ภาคพื้นที่ และ 3) ภาคความรู้และภูมิปัญญา
ทั้งนี้ สาระสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดองค์ประกอบของสภาที่ปรึกษาฯ ของพระราชบัญญัติฯ “ฉบับต้นแบบ” และ “ฉบับพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาฯ” สรุปได้ดังนี้
(1) ร่างพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ “ฉบับต้นแบบ”
การพิจารณาองค์ประกอบของสภาที่ปรึกษาฯ จากเจตนารมณ์ วิสัยทัศน์ และแนวความคิดที่สมาชิกมาจากองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน คือ 1) ภาคอาชีพและกิจกรรม 2) ภาคพื้นที่ และ 3) ภาคความรู้และภูมิปัญญา จำนวน 100 คน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสะท้อนสภาพความเห็นและความต้องการในการกำหนดนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมร่วมกับรัฐ และสะท้อนปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจาก 3 ส่วน คือ
1) จากผู้อยู่ในพื้นที่ซึ่งจะสะท้อนปัญหาเชิงทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และปัญหาทางสังคมอย่างชัดเจน
2) จากผู้อยู่ในอาชีพและกิจกรรม จะสะท้อนปัญหาทางเศรษฐกิจในเชิงปฏิบัติการ และ
3) จากกลุ่มผู้ทรงความรู้และภูมิปัญญา ซึ่งกลุ่มนี้จะทำให้การมองภาพในลักษณะแยกส่วนได้หันกลับมาพิจารณาอย่างเป็นองค์รวม
หลักในการกำหนดองค์ประกอบของสภาที่ปรึกษาฯ ดังกล่าว มีความครบถ้วนตรงตามเจตนารมณ์ คือ หลากหลายและครอบคลุม สามารถสะท้อนความคิดเห็นและปัญหาได้ แต่หลังจากการหารือในแนวกว้างและลึก แล้วกลับมาวิเคราะห์อีกครั้ง สรุปได้ว่า แนวความคิดนี้ครอบคลุมแต่อาจไม่ครบถ้วน เพราะมีความซ้อนทับ (Over Lap) กันในระหว่าง 3 กลุ่ม กล่าวคือ การสรรหามาจาก 3 กลุ่มนี้ อาจจะได้บุคคลในอาชีพและประสบการณ์เดียว พื้นที่เดียวกันก็ได้ ซึ่งจะทำให้ความหลากหลายของการสะท้อนปัญหาลดลง และการกำหนดผู้แทนอาชีพยังไม่ได้ยึดหลักเกณฑ์สากลที่จะสามารถใช้อธิบายความหลากหลาย ครอบคลุม และครบถ้วน ทางเศรษฐกิจและสังคมได้ การปรับเปลี่ยนจึงเกิดขึ้นใน “ร่างพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาฯ ของรัฐบาล” และ “ร่างพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาฯ ฉบับสภาผู้แทนราษฎร” ซึ่งอาชีพและกิจกรรมทางสังคมได้ปรากฎชัดเจนและลงลึก แต่ขาดการพิจาณาในเชิงภาคพื้นที่ และความรู้และภูมิปัญญา ซึ่งในการพิจารณาในคณะกรรมาธิการของวุฒิสภาก็ได้ปรับปรุงเพื่อแก้ไขปัญหาความทับซ้อน
(2) พระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
พระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาฯ พ.ศ. 2543 ได้กำหนดองค์ประกอบของสภาที่ปรึกษาฯ
ใน 2 ส่วน ไว้อย่างชัดเจน คือ ส่วนของภาคเศรษฐกิจ ซึ่งหมายถึงผู้แทนภาคการผลิต และผู้แทนภาค กลุ่มในภาคสังคม ฐานทรัพยากร และผู้ทรงความรู้และปัญญา โดยผู้แทนของทั้งสองภาคได้กำหนดให้ครอบคลุมเชิงพื้นที่อย่างหลวม ๆ ครอบคลุมเชิงลึกในภาคเศรษฐกิจ (ภาคการผลิต) คือ ทั้งในส่วนของแรงงานขนาดการผลิต เป็นต้น[2]
ทั้งนี้ การกำหนดจำนวนของสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทั้งในภาพรวม และในแต่ละกลุ่มนั้น ในการดำเนินการสรรหาสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ กฎหมายได้กำหนดให้ต้องคำนึงถึงการกระจายบุคคลซึ่งเป็นตัวแทนไปตามภาค อาชีพ เพศ และขนาดของกิจการ โดยในกลุ่มการผลิตด้านการเกษตรจะต้องให้ได้สมาชิกซึ่งเป็นตัวแทนจากเกษตรกรรายย่อยไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง ในกลุ่มการผลิตด้านการอุตสาหกรรมต้องคำนึงถึงการกระจายบุคคล ซึ่งเป็นสมาชิกจากอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม และลูกจ้าง และในกลุ่มการผลิตด้านการบริการจะต้องให้ได้สมาชิกซึ่งเป็นตัวแทนจากผู้ค้าอิสระหรือผู้ประกอบกิจการด้วยตนเองรายย่อยไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม เพื่อกระจายสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ ให้ครอบคลุมกลุ่มต่างๆ ในขนาดที่เหมาะสม อันจะก่อให้เกิดความหลากหลายทางความคิด คำนึงถึงประสิทธิภาพสูงสุด และไม่ใหญ่โตเกินไป
ที่มา
พรรณราย ขันธกิจ. การวางยุทธวิธี และกระบวนการจัดตั้งสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จนถึงการจัดทำร่างพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. เอกสารผลงานลำดับที่ 1 เพื่อเสนอพิจารณาให้ดำรงตำแหน่ง เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน ระดับ 10 (ชช.) ที่ปรึกษากลุ่มงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรุงเทพฯ 2543.
พรรณราย ขันธกิจ. บทบาทและหน้าที่ขององค์กรสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. นนทบุรี : สถาบันพระปกเกล้า, 2548
พรรณราย ขันธกิจ. สารานุกรมสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. นนทบุรี : สถาบัน พระปกเกล้า , 2552.
สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ : องค์กรสะท้อนปัญหา ... จากประชาสู่รัฐ. กรุงเทพฯ : บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่งจำกัด (มหาชน), 2552.
ดูเพิ่มเติม
www.nesac.go.th/