เขตเลือกตั้ง (จินตนา เอี่ยมคง)
ผู้เขียน - จินตนา เอี่ยมคง
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ - รองเลขาธิการสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จเร พันธุ์เปรื่อง
การเลือกตั้งเป็นกระบวนการพื้นฐานที่สำคัญ ในการปกครองระบอบประชาธิปไตย ที่เป็นการให้อำนาจแก่ประชาชนโดยอ้อม กล่าวคือไม่สามารถจัดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศได้โดยตรง แต่การเลือกตั้งนั้นต้องมีประสิทธิภาพพอ และเป็นที่ยอมรับได้ว่าสอดคล้องกับเงื่อนไขของระบอบประชาธิปไตย ในปัจจุบัน ประชาชนสามารถเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา เข้าไปเป็น “ผู้แทน” ของตน โดยมีกระบวนการเลือกตั้งจากประชาชนให้เข้ามาทำหน้าที่ทางนิติบัญญัติในรัฐสภา ซึ่งในกระบวนการเลือกตั้งดังกล่าว “เขตเลือกตั้ง” จึงเป็นส่วนสำคัญต่อการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งของประชาชน เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน
ความหมาย
เขตเลือกตั้ง[1] หมายถึง พื้นที่ที่กำหนดเป็นเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งหรือแบบสัดส่วน หรือเขตเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา แล้วแต่กรณี โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้กำหนดการแบ่งเขตเลือกตั้งเพื่อให้นำคะแนนเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในพื้นที่นั้นมารวมกันเพื่อตัดสินผลการเลือกตั้ง
การแบ่งเขตเลือกตั้งในอดีต
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาแต่ละครั้ง รูปแบบและวิธีการแบ่งเขตเลือกตั้งจะถูกกำหนดโดยรัฐธรรมนูญและกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ในอดีตที่ผ่านมาแบ่งออกเป็น[2]
๑. แบบแบ่งเขต เป็นการกำหนดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ตนมีสิทธิได้เขตละหนึ่งคน โดยจังหวัดใดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกินกว่าหนึ่งคน ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้งตามจำนวนเท่ากับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะพึงมีในจังหวัดนั้น การแบ่งเขตเลือกตั้งแบบนี้ใช้ในคราวการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกที่มีขึ้นในประเทศไทยเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๔๗๖ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๔๘๐ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๔๘๑ และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๔๘๙ ทั้งหมดนี้เป็นการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕ เป็นต้น
๒. แบบรวมเขต เป็นการกำหนดให้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง จังหวัดใดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนเท่าใด ให้ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกินจำนวนที่พึงมี การแบ่งเขตเลือกตั้งแบบนี้ใช้ในคราวการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๔๙๑ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉะบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๔๙๐ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๕ และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๐ ทั้งสองครั้งนี้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๗๕ แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๔๙๕ และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๑ เป็นต้น นอกจากนี้ ในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๔๓ และวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๔๙ เป็นการจัดการเลือกตั้งแบบรวมเขต ด้วยเช่นกัน โดยเป็นการถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง แต่ราษฎรผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาได้เพียงจังหวัดละหนึ่งคน
อนึ่ง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๒๑ ได้กำหนดเรื่องเขตเลือกตั้งไว้อย่างน่าสนใจว่า ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ถือเขตจังหวัดแต่ละจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง เว้นแต่กรุงเทพมหานครให้แบ่งเขตเลือกตั้งออกเป็นสามเขตและจัดให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตละเท่า ๆ กัน หรือใกล้เคียงกันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยต้องแบ่งพื้นที่เขตเลือกตั้งแต่ละเขตให้ติดต่อกัน ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งเป็นคณะตามบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองส่งเข้าสมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น ๆ แต่วิธีการดังกล่าวนี้ยังไม่ได้นำมาใช้ในการเลือกตั้ง เพราะมีความเห็นที่แตกต่างกันจนเป็นปัญหาทางการเมือง ในที่สุดรัฐสภาได้แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในปี ๒๕๒๘ โดยยกเลิกบทบัญญัติดังกล่าว
๓. การเลือกตั้งแบบผสม เป็นการแบ่งเขตเลือกตั้งที่รวมวิธีการหลาย ๆ อย่างเข้าด้วยกัน ดังนี้
๓.๑ แบบรวมเขตและแบ่งเขต เป็นการกำหนดให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนตามหรือใกล้เคียงกัน โดยจังหวัดใดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่เกินสามคนให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง และจังหวัดใดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เกินกว่าสามคนให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้ง ทั้งนี้ แต่ละเขตเลือกตั้งจะต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าสองคนและไม่เกินสามคน ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งได้จำนวนไม่เกินที่เขตเลือกตั้งนั้นจะพึงมี เช่น การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๑๘ และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๑๙ ทั้งสองครั้งนี้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๗ หรือการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๒๒ และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๒๖ ทั้งสองครั้งนี้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๒๑ (ภายใต้บทเฉพาะกาล) เป็นต้น
๓.๒ การเลือกตั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อ เป็นการกำหนดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งได้เขตละหนึ่งคน โดยจังหวัดใดมีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรเกินกว่าหนึ่งคน ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้งตามจำนวนเท่ากับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะพึงมีในจังหวัดนั้น และกำหนดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกบัญชีรายชื่อใดบัญชีรายชื่อหนึ่งที่พรรคการเมืองจัดทำขึ้นส่งสมัครรับเลือกตั้งเพียงบัญชีเดียว โดยให้ถือเขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง เช่น การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๔๔ และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ ทั้งสองครั้งนี้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ เป็นต้น
การคำนวณจำนวนราษฎรเพื่อแบ่งเขตเลือกตั้ง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนสี่ร้อยแปดสิบคน แบ่งออกเป็นมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวนสี่ร้อยคน และมาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วน จำนวนแปดสิบคน
- การคำนวณจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะพึงมีได้ในแต่ละเขตเลือกตั้งและการกำหนดเขตเลือกตั้งให้ดำเนินการดังต่อไปนี้
๑. ให้คำนวณเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกหนึ่งคน โดยคำนวณจากจำนวนราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มีการเลือกตั้ง เฉลี่ยด้วยจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสี่ร้อยคน
๒. จังหวัดใดมีราษฎรไม่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกหนึ่งคน ให้จังหวัดนั้นมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้หนึ่งคน จังหวัดใดมีราษฎรเกินเกณฑ์ จำนวนราษฎรต่อสมาชิกหนึ่งคน ให้จังหวัดนั้นมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน ทุกจำนวนราษฎรที่ถึงเกณฑ์การคำนวณ
๓. เมื่อได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละจังหวัดแล้ว ถ้าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่คำนวณได้ ยังไม่ครบสี่ร้อยคนให้จังหวัดที่มีเศษเหลือจากการคำนวณมากที่สุดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน และให้เพิ่มจำนวนในจังหวัดลำดับรองลงมาตามลำดับจนครบสี่ร้อยคน
๔. การแบ่งเขตเลือกตั้งให้ดำเนินการโดยจังหวัดใดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกินสามคนให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง แต่ถ้าจังหวัดใดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เกินกว่าสามคน ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้ง โดยจัดให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสามคน ในกรณีที่ไม่อาจแบ่งเขตเลือกตั้งในจังหวัดให้มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสามคนครบทุกเขตไม่ได้ ให้แบ่งเขตเลือกตั้งออกเป็นเขตละสามคนเสียก่อนแต่เขตที่เหลือต้องมีไม่น้อยกว่าเขตละสองคน ถ้าจังหวัดใดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้สี่คนให้แบ่งเขตเลือกตั้งออกเป็นสองเขตเขตละสองคน
๕. จังหวัดใดมีการแบ่งเขตเลือกตั้งมากกว่าหนึ่งเขตต้องแบ่งพื้นที่ของเขตเลือกตั้งแต่ละเขตให้ติดต่อกันและต้องมีจำนวนราษฎรในแต่ละเขตใกล้เคียงกัน
ส่วนการกำหนดเขตเลือกตั้งสำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วนมีวิธีการดำเนินการโดยให้จัดแบ่งพื้นที่ประเทศไทยออกเป็นแปดกลุ่มจังหวัด และให้แต่ละกลุ่มจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง โดยแต่ละเขตเลือกตั้งให้มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้สิบคน ในการจัดกลุ่มจังหวัดให้จังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกันอยู่ในกลุ่มจังหวัดเดียวกัน และในกลุ่มจังหวัดทั้งแปดกลุ่มต้องมีจำนวนราษฎรรวมกันแล้วใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ จะแบ่งพื้นที่ของจังหวัดแยกออกไปรวมกับเขตเลือกตั้งอื่นอีกไม่ได้
วิธีการแบ่งเขตเลือกตั้งในปัจจุบัน
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร[3] ในปัจจุบันตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ เป็นการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบผสม กล่าวคือ เป็นการผสมแบบรวมเขตจังหวัด แบบแบ่งเขตและแบบสัดส่วน เป็นการกำหนดให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนตามหรือใกล้เคียงกัน โดยจังหวัดใดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่เกินสามคนให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง และจังหวัดใดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เกินกว่าสามคน ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้ง ทั้งนี้ แต่ละเขตเลือกตั้งจะต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าสองคนและไม่เกินสามคน ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งได้จำนวนไม่เกินสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เขตเลือกตั้งนั้นจะพึงมี ส่วนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน กำหนดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกพรรคการเมืองที่จัดทำบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งได้หนึ่งเสียง โดยกำหนดให้แบ่งพื้นที่ของประเทศไทยออกเป็นแปดกลุ่มจังหวัด แต่ละกลุ่มจังหวัดนี้ต้องมีพื้นที่ติดต่อกัน มีจำนวนราษฎรตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มีการเลือกตั้งรวมกันแล้วใกล้เคียงกัน และให้ถือกลุ่มจังหวัดนั้นเป็นเขตเลือกตั้ง วิธีการนี้ใช้ในคราวเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ อันเป็นการเลือกตั้งที่มีขึ้นครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้แบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งสิ้น ๑๕๗ เขตเลือกตั้งและแบบสัดส่วน อีก ๘ เขตเลือกตั้ง
สำหรับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา[4] ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญเกี่ยวกับการเลือกตั้งไว้หลายประการ อาทิ เช่น ที่มาของสมาชิกวุฒิสภามี ๒ แบบด้วยกัน คือ มาจากการสรรหา และการเลือกตั้ง
คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ดำเนินการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาแล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๑ และเป็นการเลือกตั้งที่ใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง แต่ละจังหวัดให้มีสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดละหนึ่งคน โดยราษฎรผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ลงคะแนนเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งได้หนึ่งคน และมีเขตเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาทั้งสิ้น ๗๖ เขตเลือกตั้ง
การเลือกตั้งไม่ว่าจะเป็นระดับชาติและระดับท้องถิ่นมีปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องคือ ประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง พรรคการเมือง เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเลือกตั้ง และกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งหรือแม้จะมีเขตเลือกตั้ง ที่มีการแบ่งเขตเลือกตั้งอย่างดีที่แล้ว หากแต่การเลือกตั้งที่ยังมีการซื้อสิทธิขายเสียง ไม่มีความบริสุทธิ์ ยุติธรรมของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ประเทศชาติก็ไม่สามารถที่จะมีประชาธิปไตยที่เบ่งบานได้เลย
อ้างอิง
- ↑ เขตเลือกตั้งเป็นอย่างไร. [ออนไลน์] สืบค้นจาก http://academic.obec.go.th/new2550/th/democracy/page9.doc เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๒.
- ↑ สุเทพ เอี่ยมคง. สภาผู้แทนราษฎร. [ออนไลน์] สืบค้นจาก http://www.librarianmagazine.com เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๒.
- ↑ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง. ข้อมูล สถิติ การสรรหาและการเลือกตั้ง สมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๑. กรุงเทพฯ : สำนักงาน, ๒๕๕๑.
- ↑ ______. ข้อมูล สถิติ และผลการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๐. กรุงเทพฯ : สำนักงาน, ๒๕๕๐.
บรรณานุกรม
“เขตเลือกตั้งเป็นอย่างไร”. [ออนไลน์] สืบค้นจาก http://academic.obec.go.th/new2550/th/democracy/page9.doc เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๒.
แม่แบบ : การเลือกตั้ง ส.ส. ในไทย. [ออนไลน์] สืบค้นจาก http://th.wikipedia.org/wiki/. เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๒.
วัชราพร ยอดมิ่ง. ระบบการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทยตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐. กรุงเทพฯ : สำนักวิชาการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, ๒๕๕๐.
สมพร ถาวร. การนำระบบวิธีการเลือกตั้งหนึ่งคนหนึ่งเสียงมาใช้ในกฎหมายเลือกตั้งของไทย. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๓.
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง. ก่อนจะเป็น ส.ว. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ : สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง, ๒๕๔๙.
_______. ข้อมูล สถิติ การสรรหาและการเลือกตั้ง สมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๑. กรุงเทพฯ : สำนักงาน, ๒๕๕๑.
_______. ข้อมูล สถิติ และผลการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๐. กรุงเทพฯ : สำนักงาน, ๒๕๕๐.
_______. แผนกลยุทธ์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (พ.ศ.๒๕๔๘-๒๕๕๒). กรุงเทพฯ : ม.ป.ป.
สุเทพ เอี่ยมคง. สภาผู้แทนราษฎร. [ออนไลน์] สืบค้นจาก http://www.librarianmagazine.com/VOL1NO8/index.html เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๒.
เอกสารแนะนำให้อ่านต่อ
ปริญญา นาคฉัตรีย์. การจัดการเลือกตั้ง ส.ส. และส.ว. ปัญหาและแนวทางแก้ไข. นนทบุรี : สถาบันพระปกเกล้า, ๒๕๔๗.
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง. ๙ ปี กกต มิติใหม่แห่งการเลือกตั้ง. กรุงเทพฯ : สำนักงาน, ๒๕๕๐.
_______. ๑๐ ปี กกต. ก้าวต่อไปเพื่อประชาธิปไตยที่ยั่งยืน. กรุงเทพฯ : สำนักงาน, ๒๕๕๑.