สิทธิสตรีในสมัยรัชกาลที่ 7

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 15:10, 19 มิถุนายน 2568 โดย Adminkpi (คุย | ส่วนร่วม) (สร้างหน้าด้วย "'''ผู้เรียบเรียง :''' ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร '''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ :''' ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ '''<big>สิทธิสตรีในสมัยรัชกาลที่ 7</big>''' '''             '''      ร...")
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง : ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ


สิทธิสตรีในสมัยรัชกาลที่ 7

                   รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 (พ.ศ. 2468-2477) เป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย แม้ว่ายุคสมัยนี้เริ่มมีการพัฒนาการของเรื่องสิทธิสตรีบ้างแล้ว แต่ก็ยังคงตั้งอยู่บนรากฐานของความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกัน นั่นคือ ผู้หญิงถูกครอบงำโดยผู้ชายซึ่งมีอำนาจเหนือกว่า สถานภาพของสตรีในช่วงทศวรรษดังกล่าว บ่งชี้ถึงความก้าวหน้าทางสังคมอย่างหนึ่งก็คือ เสรีภาพด้านการศึกษา มีการขยายโอกาสทางการศึกษาให้แก่สตรีอย่างมาก สตรีเริ่มเข้าศึกษาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและเข้ารับการฝึกหัดเป็นนักวิชาชีพ เช่น ด้านกฎหมาย ซึ่งแต่ก่อนนี้ยังสงวนไว้สำหรับบุรุษเท่านั้น นอกจากนั้นสตรียังสามารถเข้าชิงทุนเล่าเรียนหลวง ซึ่งเปิดโอกาสให้ได้ไปศึกษาต่อในต่างประเทศ ถึงกระนั้นก็ยังมีความแตกต่างกันมากระหว่างสตรีชนชั้นสูงกับผู้หญิงชาวบ้าน แม้ว่าจะมีชนชั้นกลาง คือ สตรีนักวิชาชีพเพิ่มขึ้นก็ตาม ทั้งนี้ผู้หญิงที่เป็นชนชั้นกลางระดับล่างดูจะมีเสรีภาพมากทีเดียวในการที่จะเลือกว่าจะมีวิถีชีวิต (lifestyles) เช่นใด เราจะเห็นเขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบประเพณีหรือชุดกระโปรงแบบตะวันตก และสำหรับสตรีชั้นสูงขึ้นมา การสวมถุงน่องและรองเท้า หญิงชนชั้นกลางระดับล่างเหล่านั้นทำงานในสำนักงาน ร้านค้า โรงพยาบาล ฯลฯ ส่วนที่เป็นชนชั้นสูงขึ้นมาก็เริ่มเป็นนักวิชาชีพ เช่น ทนายความ ครู อาจารย์ แพทย์ พยาบาล ตลอดจนนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ เป็นต้น

                   ในช่วงเวลานั้น สตรีไทยทุกสถานภาพทางสังคมมีเสรีภาพมากกว่าที่เป็นอยู่ของสตรีทั่วไปในเอเชีย เสรีภาพที่จะเลือกการแต่งกาย การเข้ารับการศึกษา และการเข้าสู่อาชีพใดนี้ไม่ได้เป็นเพราะเป็นผลจากตะวันตกเท่ากับเป็นวิวัฒนาการมาจากค่านิยมในสยามแต่เดิม แน่นอนว่า ผู้หญิงไทยยังคงห่างไกลความเสมอภาคกับผู้ชาย อย่างไรก็ตาม เสรีภาพในการเปรียบเทียบนี้ หญิงไทยมีนั้นนับว่าน่าสังเกตในวัฒนธรรมเอเชียในทศวรรษที่ 1920[1]

                   ผลจากวิวัฒนาการสู่ความเป็นสมัยใหม่ (modernization) ก็คือ การให้คุณค่าแก่ค่านิยมตามยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการแต่งงาน (มีคู่ครอง) เมื่อคนไทยรับรู้ว่าตะวันตกเห็นว่าการมีเมียหลายคนเป็นสิ่งล้าหลังป่าเถื่อน ชนชั้นนำของไทยจึงเริ่มมีภรรยาเพียงคนเดียว

                   พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้นำในระบบ “ผัวเดียวเมียเดียว” โดยพระราชจริยาวัตรก็ทรงมีพระมเหสีเพียงพระองค์เดียวและไม่ทรงมีพระสนมนางในใดใดเลย ผู้ที่สนับสนุนระบบผัวเดียวเมียเดียวได้แก่ ปัญญาชนชายที่มีค่านิยมในระบบครอบครัวแบบตะวันตก รวมทั้งกลุ่มสตรีหัวก้าวหน้า อันเป็นผลผลิตของระบบการศึกษาแบบใหม่ อันเป็นกรอบคิดแบบตะวันตกและถูกยกเป็นวัฒนธรรมแห่งชาติของไทยในเวลาต่อมา กล่าวคือในทศวรรษ 2480 [2] ผัวเดียวเมียเดียวเป็นอุดมคติที่ผนวกเข้าไปในโครงการสร้างชาติ โดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม

                   การพัฒนาสิทธิสตรีในประเทศไทยได้รับการสนับสนุนและเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ซึ่งสามารถจำแนกเป็นหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้

                   1. การศึกษาและการทำงานของสตรี (Education and Employment) มีการขยายโอกาสทางการศึกษา การเปิดโรงเรียนสตรีและส่งเสริมให้สตรีได้เรียนในระดับสูงขึ้นรวมถึงการเปิดโรงเรียนเฉพาะทางสำหรับสตรี เช่น โรงเรียนฝึกหัดครู แพทย์ พยาบาลและการผดุงครรภ์

                   2. เปิดโอกาสให้สตรีเข้าร่วมในภาคแรงงานและการอุตสาหกรรม อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ทำให้สตรีมีโอกาสในการทำงานมากขึ้นโดยเฉพาะในภาคการบริการ การค้าขายและงานราชการมากขึ้น

                   3. กฎหมายและนโยบายที่สนับสนุนสิทธิสตรีใน พ.ศ. 2470 รัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ ให้มีการยกร่างกฎหมายครอบครัวขึ้นมาใหม่ เรียกว่า “ร่างพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว” แม้ว่าจะไม่ได้มีความแตกต่างจากรัชสมัยของรัชกาลที่ 6 มากนัก อย่างไรก็ตามข้อถกเถียงเรื่องการร่างพระราชบัญญัติใน พ.ศ. 2471 ให้ความสำคัญต่อการเรียกร้องระบบผัวเดียวเมียเดียวมากขึ้น

                   สภากรรมการองคมนตรีอันเป็นสภาที่รัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้นใหม่เพื่อทดลองการประชุมแบบรัฐสภา เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2471 พิจารณาร่างพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว เป็นครั้งแรก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการให้เสนาบดีทุกคนทบทวนเรื่องการมีภรรยาคนเดียวหรือหลายคน ผลปรากฏว่า ในเสนาบดี 14 คน สนับสนุนระบบเมียเดียวเพียง 6 คน และอีก 8 คน สนับสนุนระบบหลายเมีย ข้อถกเถียงดังกล่าวยังคงมีเรื่อยมาจนนำมาสู่จุดเร่มต้นของการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะผัวเมีย พ.ศ. 2473 บัญญัติให้มีการจดทะเบียนสมรส หย่า และรับรองบุตร[3] กล่าวได้ว่าเป็นกฎหมายฉบับแรกที่รับรองสถานะหญิงที่เป็นภรรยาด้วยทะเบียนสมรส เพื่อปรับปรุงการจัดการด้านการสมรส การหย่า และการรับรองบุตร ทว่าการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงค่านิยมดั้งเดิมมิใช่เรื่องง่าย ๆ ทรงใช้วิธีการโดยละมุนละม่อมโดยการตราพระราชบัญญัตินี้ไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2473 และให้มีผลบังคับใช้ใน วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2475 คือ อีกสองปีต่อมา พระราชบัญญัตินี้ระบุให้มีการจดทะเบียนสมรส จดทะเบียนหย่า และการจดทะเบียนการรับรองบุตรเพื่อทดแทนธรรมเนียมเดิม หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 รัฐบาลของคณะราษฎรได้นำสาระสำคัญของพระราชบัญญัติฉบับนี้มารวมไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพที่ 5 ว่าด้วยเรื่องครอบครัวและประกาศใช้ เมื่อ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2478 สร้างความมั่นคงและความเท่าเทียมกันในครอบครัวมาจนปัจจุบัน

                   จากการศึกษาพบว่า รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการบุกเบิกพัฒนาสิทธิสตรีในประเทศไทย และมีลักษณะสำคัญที่สุดของแนวพระราชดำริเกี่ยวกับสังคมไทยก็คือ มุ่งที่จะให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปสู่ความก้าวหน้าตามแบบตะวันตก และทรงตระหนักถึงปัญหาพื้นฐานทางสังคมไทย โดยทรงมุ่งที่จะคลี่คลายปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องสิทธิสตรี


บรรณานุกรม

คณพล จันทน์หอม. พัฒนาการของกฎหมายครอบครัว ว่าด้วยเงื่อนไขการสมรส. รายงานผลการวิจัยเสนอต่อ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาบันพระปกเกล้า, 2562.

ราชกิจจานุเบกษา “พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะผัวเมีย พุทธศักราช 2473” ลง วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473 เล่มที่ 47. ประกาศมา ณ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473.

สุรเชษ์ฐ สุขลาภกิจ. ผัวเดียวเมียเดียว อาณานิคมครอบครัวในสยาม. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, 2561.

Joseph J. Wright, Jr. The Balancing Act, A History of Modern Thailand, 1991.


[1] Joseph J. Wright,Jr.The Balancing Act, A History of Modern Thailand, 1991. P. 30.

[2] สุรเชษ์ฐ สุขลาภกิจ. ผัวเดียวเมียเดียวอาณานิคมครอบครัวในสยาม กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, 2561. หน้า 244.

[3] ดูรายละเอียดได้ใน ราชกิจจานุเบกษา วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473 เล่มที่ 47 หน้า 399-414.