ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:44, 4 มิถุนายน 2564 โดย Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้แต่ง : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


“ชีวิตผมไม่ใช่ข้อยกเว้น เพียงแต่เราต้องปรับโครงสร้างทางสังคมต่าง ๆ เพื่อเปิดทางให้คนส่วนใหญ่เข้าถึงโอกาสได้อย่างเท่าเทียม และที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องให้โอกาสตัวเองได้หวัง ได้ฝัน และก้าวข้ามข้อจำกัดต่าง ๆ ไปได้ ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง”

RTENOTITLE

ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ[1]

          เมื่อได้ยินชื่อ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เราจะนึกถึงชายมุสลิมคนหนึ่งผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการอาเซียน แต่อันที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ ดร.สุรินทร์ ยังได้ทำหน้าที่สำคัญต่าง ๆ มากมายโดยเฉพาะเรื่องนโยบายต่างประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2540-2544 ในฐานะรัฐมนตรีว่ากระทรวงการต่างประเทศ ทำให้ไทยได้มีบทบาทสำคัญในเวทีระดับโลกทั้งในเรื่องการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างอินโดนีเซียกับติมอร์-เลสเตที่บานปลายจนเป็นสงคราม มีประชาชนเสียชีวิตจำนวนมาก รวมถึงเป็นผู้ผลักดันให้ ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ เป็นผู้อำนวยการใหญ่ WTO และบทบาทในฐานะเลขาธิการอาเซียน ก็คือผลงานของชายมุสลิมธรรมดาคนหนึ่งจากแดนใต้ที่มุมานะจนมีตำแหน่งสำคัญในระดับโลกชายผู้มีชื่อว่า ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ

ประวัติการศึกษาและชีวิตครอบครัว

“We dare to dream. We care to share.”[2]

          ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ.2492 เป็นคนบ้านตาล ต.กำแพงเซา อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช พ่อชื่อ ฮัจยี อิสมาแอล แม่ชื่อ ซอฟียะห์ พิศสุวรรณ  เป็นลูกชายคนโตจากทั้งหมด 11 คน[3] มีคุณตาชื่อ ฮัจจียะโกบ พิศสุวรรณ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนปอเนอะบ้านตาลหรือ โรงเรียนประทีปศาสน์ โรงเรียนสอนศาสนาอิสลามของเอกชน ส่วนคุณตาทวดของ ดร.สุรินทร์ เป็นผู้บุกเบิกชุมชนมุสลิมใน จ.นครศรีธรรมราช ชื่อ อิหม่ามตูวันฆูอัลมัรฮูม ฮัจยีซิดฎิก พิศสุวรรณ ดร.สุรินทร์มีชื่อในภาษาอาหรับว่า อับดุลฮาลีม บินอิสมาแอล พิศสุวรรณ ซึ่งแปลว่า “ผู้มีจิตใจสุขุมเยือกเย็น โกรธยาก อภัยเร็ว”[4]

          ในเรื่องการศึกษานั้น ดร.สุรินทร์เข้าศึกษาในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดบ้านตาล มัธยมศึกษาจาก โรงเรียนพรสวัสดิ์วิทยา โรเงรียนเบญจมราชูทิศ และโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช ตามลำดับ ในระดับปริญญาตรีได้ศึกษาที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์โดยเรียนปี 1-2 และได้รับทุน Frank Bell Appleby ไปศึกษาต่อ ปี 3-4 ด้านรัฐศาสตร์ที่ Claremont Men’s College, Claremont University และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากที่นั้น และศึกษาในระดับปริญญาโทและเอกที่ Harvard University ด้านรัฐศาสตร์ โดยได้รับทุนจาก Rockefeller ภายใต้การสนับสนุนของ อ.เสน่ห์ จามริก[5]

          ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ สมรสกับ อลิสา พิศสุวรรณ (ฮัจยะห์อาอีชะฮ์) เมื่อ พ.ศ.2526 มีลูกชายด้วยกัน 3 คน โดยคนโตชื่อ ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ คนที่สองชื่อ ฮุสนี พิศสุวรรณ และคนสุดท้องชื่อ ฟิกรี่ พิศสุวรรณ[6]

หน้าที่การงานและตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญ

          หลังจากจบการศึกษาปริญญาเอกจาก Harvard University ดร.สุรินทร์ ต้องกลับมาเป็น อาจารย์ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตามเงื่อนไขของทุนการศึกษาที่ได้รับไปศึกษาในระดับปริญญาโทและเอก โดยเป็นอาจารย์เมื่อปี พ.ศ.2525[7] ต่อมาใน พ.ศ.2529 ชีวิตการเป็นนักการเมืองของ ดร.สุรินทร์จึงได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อสัมพันธ์ ทองสมัคร มาโนชย์ วิชัยกุล และคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ ส.ส.จังหวัดนครศรีธรรมราชจากพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางมาหา ดร.สุรินทร์ ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และได้ชักชวนให้ ดร.สุรินทร์ สมัคร ส.ส.จังหวัดนครศรีธรรมราช ในนามของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งในตอนแรกนั้น ดร.สุรินทร์ ไม่ได้ตอบรับในทันที แต่ในเวลาต่อมาก็ตอบรับคำที่จะลงสมัครและก็ได้รับเลือกตั้งในที่สุด เมื่อได้เป็น ส.ส. ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ชักชวนให้ ดร.สุรินทร์ มารับหน้าที่เป็นเลขานุการประธานสภาฯ[8] หลังจากนั้นเมื่อมีการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ในปี พ.ศ.2531 ดร.สุรินทร์ ก็ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.อีกครั้งและได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขานุการให้กับ ไตรรงค์ สุวรรณคีรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ด้วยเหตุที่ ดร.สุรินทร์ ศึกษามาทางด้านรัฐศาสตร์อยู่แล้วทางผู้ใหญ่ในพรรคจึงเห็นว่าน่าจะเหมาะสมที่จะไปช่วยงานในกระทรวงมหาดไทย หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2535 เมื่อชวน หลีกภัยได้รับการเลือกตั้งจากสภาฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดร.สุรินทร์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย 1 พ.ศ.2535-2538) และในปี พ.ศ.2540 เมื่อประเทศไทยประสบวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ลาออกจากตำแหน่ง เปิดทางให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ และในครั้งนี้ชวน หลีกภัยได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 2 คณะรัฐมนตรีชวน 2 ครั้งนี้ได้แต่งตั้งให้ ดร.สุรินทร์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย 1 พ.ศ.2540-2544)[9] และได้มีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศในช่วงหลังวิกฤตเพื่อนำพาประเทศกลับสู่ภาวะปกติ รวมถึงมีการผลักดันบทบาทของอาเซียนในการแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างสมาชิกภายในอาเซียนอีกด้วย (จะอธิบายในส่วนผลงานที่สำคัญในทางการเมือง) ต่อมาในปี พ.ศ.2551 ประเทศไทยได้รับสิทธิในการเสนอชื่อผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศจึงได้ทำการสรรหาบุคคลที่ประเทศไทยจะส่งไปดำรงตำแหน่งดังกล่าว และในที่สุด จึงได้เสนอชื่อ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการอาเซียนตั้งแต่ปี พ.ศ.2551-2555[10] ในระหว่างการเป็นเลขาธิการอาเซียนนั้น ดร.สุรินทร์ ได้ดำเนินการเพื่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียนให้สัตยาบันกฎบัตรอาเซียนให้สามารถประกาศใช้ได้ และยังรณรงค์และประชาสัมพันธ์เพื่อประชาชนในประเทศสมาชิกตระหนักถึงความสำคัญของอาเซียน หลังจากหมดวาระ ดร.สุรินทร์ ก็ยังทำงานในการเผยแพร่และให้ความรู้เกี่ยวกับอาเซียนต่อไป ปัจจุบันมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มอบตำแหน่งธรรมศาสตราภิชาน ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อเป็นเกียรติแก่ ดร.สุรินทร์

ผลงานที่สำคัญในทางการเมือง

          ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ได้มีบทบาททางอย่างสำคัญในเรื่องการต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่ง ดร.สุรินทร์ มีผลงานที่โดดเด่นอยู่ 2 เรื่องด้วยกัน โดยในเรื่องแรกนั้น ในปี พ.ศ.2540 ดร.สุรินทร์เป็นผู้รณรงค์หาเสียง และสนับสนุน ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ณ ขณะนั้นให้ได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization; WTO) ซึ่ง ณ ช่วงเวลานั้นต้องแข่งกับ ไมค์ มัวร์ (Mike Moore) อดีตนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ซึ่งมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ในการแข่งขันการเป็นผู้อำนวยการใหญ่ WTO นี้มีการแข่งขันอย่างดุเดือดมากถึงขั้นมีการเดินขบวนนำพวงหรีดไปวางไว้ที่หน้าสถานทูตสหรัฐอเมริกาในประเทศไทยจนอาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ จนในท้ายที่สุด ดร.สุรินทร์ ได้มีโอกาสคุยโทรศัพท์กับแมเดลีน อัลไบรท์ (Madeleine Albright) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ในเรื่องดังกล่าวจนนำไปสู่ข้อเสนอของ ดร.สุรินทร์ ที่ให้ผลัดกันเป็นผู้อำนวยการใหญ่ WTO คนละ 3 ปี โดยให้ ไมค์ มัวร์ ได้เป็นก่อนแล้วตามด้วย ดร.ศุภชัยในวาระต่อไปอีก 3 ปี[11]

          ในเรื่องที่สอง ดร.สุรินทร์ เป็นคนสำคัญที่ไปเจรจาของบประมาณช่วยเหลือจากญี่ปุ่นเพื่อใช้ในการส่งกองกำลังรักษาสันติภาพ ไทย-ฟิลิปปินส์ เพื่อไปรักษาสันติภาพในติมอร์-เลสเต (Timor-Leste) หรือ ติมอร์ตะวันออก (East Timor) ซึ่งเพิ่งแยกตัวออกและจากอินโดนีเซีย และในขณะนั้นเกิดความขัดแย้งและความวุ่นวายจนบานปลายกลายเป็นปัญหาระหว่างอินโดนีเซีย-ติมอร์-เลสเต จนนำไปสู่การฆ่าพลเมืองติมอร์-เลสเต จำนวนมาก ประชาคมโลกต้องการให้เหตุการณ์ดังกล่าวยุติลง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีประเทศมหาอำนาจใดเข้ามาควบคุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าบริเวณดังกล่าวจะอยู่ภายใต้เขตอิทธิพลของออสเตรเลีย แต่ออสเตรเลียก็กลัวที่จะเข้าไปแทรกแซงเพราะอาจจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ในท้ายที่สุดจึงประสานให้ไทย ซึ่งขณะนั้นอยู่ในวาระการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนช่วยเป็นแกนหลักในการขอความช่วยเหลือจากประเทศในอาเซียนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ดังกล่าว แม้แต่โคฟี อันนัน (Kofi Annan) เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (United Nations) และ บิล คลินตัน (Bill Clinton) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาก็ขอความช่วยเหลือให้ไทยช่วยเป็นแกนนำหลักในการแก้ปัญหาดังกล่าว ในท้ายที่สุดก็ได้ข้อยุติโดยมีฟิลิปปินส์กับไทยที่พร้อมจะส่งกองกำลังรักษาสันติภาพจำนวน 3,400 นาย ไปที่ติมอร์-เลสเต แต่ด้วยที่ทั้งไทยและฟิลิปปินส์ประสบปัญหาในวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง (วิกฤตการเงิน พ.ศ.2540) อยู่จึงไม่มีงบประมาณในการสนับสนุนการส่งกองกำลังดังกล่าวได้ ในที่สุด ดร.สุรินทร์ ได้ไปเจรจาของบประมาณสนับสนุนดังกล่าวจากญี่ปุ่น และญี่ปุ่นได้อนุมัติเงินจำนวน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้การส่งกองกำลังร่วมไทย-ฟิลิปปินส์เพื่อไปรักษาสันติภาพที่ติมอร์-เลสเตประสบความสำเร็จในที่สุด[12]

          หลังจากครบวาระของรัฐบาลชวนหลีกภัย 2 (พ.ศ.2540-2544) ดร.สุรินทร์ไม่ได้รับตำแหน่งใด ๆ ในทางการเมือง จนในปี พ.ศ.2551 เป็นวาระที่ไทยจะต้องเป็นเลขาธิการอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศจึงได้มีการสรรหาบุคคลที่เหมาะสมในตำแหน่งดังกล่าว และได้มีมติให้เสนอชื่อ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็นเลขาธิการอาเซียนตั้งแต่ ปี พ.ศ.2551-2555 ซึ่ง ดร.สุรินทร์ มีส่วนสำคัญในการผลักดันในประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศให้สัตยาบันต่อกฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) จนแล้วเสร็จในวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 และได้ประกาศใช้ในที่สุด นอกจากนี้แล้ว ดร.สุรินทร์ยังได้รณรงค์และประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนทั้ง 10 ชาติตระหนักและรู้จักอาเซียนให้มากขึ้นอีกด้วย[13]

          ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 ณ โรงพยาบาลรามคำแหง ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน สิริอายุรวม 68 ปี 

 

บรรณานุกรม

สีดา สอนศรี และคนอื่น ๆ, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ : การเมือง เศรษฐกิจและการต่างประเทศหลังวิกฤตเศรษฐกิจ (พ.ศ. '2540-2550)', (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2554)

สุเจน กรรพฤทธิ์ (สัมภาษณ์), “สัมภาษณ์ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ห้าปีบนเก้าอี้เลขาธิการอาเซียน,” นิตยสารสารคดี, 336 (กุมภาพันธ์ 2556), Retrived From http://www.sarakadee.com/2013/04/10/dr-surintra/3/#sthash.ggduMrDg.dpuf, February 21, 2016.

สุรินทร์ พิศสุวรรณ (เรื่อง), อโนมา สอนบาลี (ผู้เรียบเรียง), ความสำเร็จไม่มีข้อยกเว้น : ชีวิตจากปอเนาะเลาะไปอาเซียนของ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ, (พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ : อมรินทร์,
 2556)

อ้างอิง 

[1] สุรินทร์ พิศสุวรรณ เรื่อง ; อโนมา สอนบาลี ผู้เรียบเรียง, ความสำเร็จไม่มีข้อยกเว้น : ชีวิตจากปอเนาะเลาะไปอาเซียนของ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ, (พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2556), คำนำ.

[2] สุรินทร์ พิศสุวรรณ เรื่อง ; อโนมา สอนบาลี ผู้เรียบเรียง, ความสำเร็จไม่มีข้อยกเว้น : ชีวิตจากปอเนาะเลาะไปอาเซียนของ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ, (พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2556), น.145.

[3] สุรินทร์ พิศสุวรรณ เรื่อง ; อโนมา สอนบาลี ผู้เรียบเรียง, ความสำเร็จไม่มีข้อยกเว้น : ชีวิตจากปอเนาะเลาะไปอาเซียนของ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ, (พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2556), น.52.

[4] สุรินทร์ พิศสุวรรณ เรื่อง ; อโนมา สอนบาลี ผู้เรียบเรียง, ความสำเร็จไม่มีข้อยกเว้น : ชีวิตจากปอเนาะเลาะไปอาเซียนของ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ, (พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2556), น.9-14.

[5] สุรินทร์ พิศสุวรรณ เรื่อง ; อโนมา สอนบาลี ผู้เรียบเรียง, ความสำเร็จไม่มีข้อยกเว้น : ชีวิตจากปอเนาะเลาะไปอาเซียนของ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ, (พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2556), น.15, 30-32, 41, 59-62, 72, 77, 82.

[6] สุรินทร์ พิศสุวรรณ เรื่อง ; อโนมา สอนบาลี ผู้เรียบเรียง, ความสำเร็จไม่มีข้อยกเว้น : ชีวิตจากปอเนาะเลาะไปอาเซียนของ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ, (พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2556),  น.96-97, 167-168, 170-171.

[7] สุรินทร์ พิศสุวรรณ เรื่อง ; อโนมา สอนบาลี ผู้เรียบเรียง, ความสำเร็จไม่มีข้อยกเว้น : ชีวิตจากปอเนาะเลาะไปอาเซียนของ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ, (พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2556), น.82, 96.

[8] สุรินทร์ พิศสุวรรณ เรื่อง ; อโนมา สอนบาลี ผู้เรียบเรียง, ความสำเร็จไม่มีข้อยกเว้น : ชีวิตจากปอเนาะเลาะไปอาเซียนของ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ, (พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2556), น.99-100, 105.

[9] สุรินทร์ พิศสุวรรณ เรื่อง ; อโนมา สอนบาลี ผู้เรียบเรียง, ความสำเร็จไม่มีข้อยกเว้น : ชีวิตจากปอเนาะเลาะไปอาเซียนของ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ, (พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2556), น.105, 126.

[10] สุรินทร์ พิศสุวรรณ เรื่อง ; อโนมา สอนบาลี ผู้เรียบเรียง, ความสำเร็จไม่มีข้อยกเว้น : ชีวิตจากปอเนาะเลาะไปอาเซียนของ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ, (พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2556), น.140-142.

[11] สุรินทร์ พิศสุวรรณ เรื่อง ; อโนมา สอนบาลี ผู้เรียบเรียง, ความสำเร็จไม่มีข้อยกเว้น : ชีวิตจากปอเนาะเลาะไปอาเซียนของ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ, (พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2556), น.134-139.

[12] สุรินทร์ พิศสุวรรณ เรื่อง ; อโนมา สอนบาลี ผู้เรียบเรียง, ความสำเร็จไม่มีข้อยกเว้น : ชีวิตจากปอเนาะเลาะไปอาเซียนของ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ, (พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2556), น.126-134.

[13] สุรินทร์ พิศสุวรรณ เรื่อง ; อโนมา สอนบาลี ผู้เรียบเรียง, ความสำเร็จไม่มีข้อยกเว้น : ชีวิตจากปอเนาะเลาะไปอาเซียนของ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ, (พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2556), น.147-153.