พระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

พระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

 

ความเป็นมา

               นับตั้งแต่สมัยสุโขทัยสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศตลอดมา ทรงเป็นทั้งเจ้าแผ่นดิน เจ้าชีวิตและเจ้าของที่ดินตลอดทั่วราชอาณาจักร[1] ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 พระราชสถานะของพระมหากษัตริย์ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นพระมหากษัตริย์ภายในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขแห่งรัฐโดยมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยกำหนดการใช้อำนาจอธิปไตย (อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ) ให้พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตยผ่านทางองค์กร 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการ ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 256๐ อันเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ได้กำหนดสถานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไว้ในหมวดที่ 2 ตั้งแต่มาตรา 6 ถึง มาตรา 24 รวม 19 มาตรา บทบัญญัติในหมวดนี้กำหนดขึ้นเพื่อรองรับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

อย่างไรก็ตามในหมวดพระมหากษัตริย์นี้ได้เพิ่มบทบัญญัติที่สำคัญหลายประการอันแตกต่างจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับที่ผ่าน ๆ มาในอดีต ดังนี้[2]

1) การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ และได้มีการปรับปรุงหลักการหลักการจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ โดยให้การสถาปนาฐานันดรศักดิ์ และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่บุคคลใด ย่อมเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะตามพระราชอัธยาศัย และบัญญัติพระราชอำนาจในการถอดถอนฐานันดรศักดิ์ และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไว้ซึ่งแต่เดิมพระราชอำนาจในการถอดถอนฐานันดรศักดิ์และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์จะบัญญัติไว้ในหมวดคณะรัฐมนตรี (มาตรา 9)

2) การจัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกา (มาตรา 15 วรรคสอง) ถือเป็นบทบัญญัติที่เพิ่มขึ้นใหม่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

3) ในกรณีที่พระมหากัตริย์ไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้ เนื่องจากในยุคปัจจุบันนี้การติดต่อสื่อสาร และการเดินทางมีความสะดวกรวดเร็ว และไม่มีปัญหาต่อการบริหารราชการแผ่นดิน การที่กำหนดให้ต้องมีการตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในทุกครั้งไปเช่นเดิมนั้นย่อมไม่สอดคล้องกับความเจริญก้าวหน้าของสังคมในปัจจุบัน

4) วิธีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในกรณีที่มิได้มีการแต่งตั้งไว้แล้วเกิดกรณีจำเป็นที่จะต้องแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (มาตรา 17) บทบัญญัติแห่งมาตรานี้ได้บัญญัติเปลี่ยนแปลงจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการดำเนินการตาม[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_(ฉบับชั่วคราว)_พุทธศักราช_2557_แก้ไขเพิ่มเติม_(ฉบับที่_4)_พุทธศักราช_2560]] (มาตรา 2 วรรคสาม) แต่เดิมมักจะกำหนดกรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไว้ ให้คณะองคมนตรีเสนอชื่อผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในส่วนของการเปลี่ยนแปลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้บัญญัติหลักการใหม่ความว่า “ตามลำดับที่โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมกำหนดไว้ก่อนแล้ว” หมายความว่า พระมหากษัตริย์จะทรงกำหนดบัญชีรายชื่อไว้ล่วงหน้า เมื่อมีเหตุที่คณะองคมนตรีจะเสนอชื่อบุคคลคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นคณะเพื่อเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จะต้องเป็นไปตามลำดับบัญชีรายชื่อที่ทรงกำหนดไว้ก่อนแล้วเท่านั้น

 

สถานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช '2560'

ในส่วนของการมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้นเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมาและการมีประเพณีในการปกครองที่ยาวนานของรัฐนั้นตลอดจนเป็นการแยกพระมหากษัตริย์ออกจากการเมือง เพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาดและรวมศูนย์อำนาจไว้มากเกินไป ทั้งนี้ การมีพระมหากษัตริย์จึงช่วยรักษาดุลยภาพให้เกิดขึ้นทั้งภายในสังคมและในทางการเมือง สะท้อนให้เห็นลักษณะการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ ที่เรียกว่า “ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ” (Limited Monarchy)

เมื่อพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ในหลายประเด็น กล่าวคือ

2.1 สถานะของพระมหากษัตริย์

พระมหากษัตริย์ทรงมีสถานะเป็นประมุขของรัฐ (Head of State) ซึ่งมีสถานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระนามพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้ (มาตรา 6) และยังมีสถานะอื่น ๆ คือ ทรงเป็นพุทธมามกะและทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก (มาตรา 7) ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย (มาตรา 8)

การลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ถือเป็นกระบวนการตรากฎหมายในรูปแบบของรัฐสภา สืบเนื่องจากหลัก “ประมุขของรัฐไม่ต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดิน” (King can do no wrong) จึงทำให้พระราชอำนาจของพระองค์ทรงอยู่เหนือการเมือง ตามบทบัญญัติมาตรา 6 “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้” ในอดีตการลงนามรับสนองพระบรมราชโองการไม่ใช่หลักความรับผิดชอบแทนพระมหากษัตริย์ แต่เป็นหลักที่มาจากกฎหมายที่ออกจากพระมหากษัตริย์ในสมัยก่อนต้องได้รับการยินยอมจากประธานคณะที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ ด้วยการลงนามกำกับว่ากฎหมายที่ออกจะไม่ขัดต่อจารีตประเพณี

ภายหลังเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย นายกรัฐมนตรีจึงเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ เว้นแต่นายกรัฐมนตรีจะมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีหรือบุคคลอื่นใดเป็นผู้ทำหน้าที่แทน บุคคลผู้รับลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ คือ บุคคลที่จะต้องรับผิดชอบในทุกทาง เพราะในทางปฏิบัติพระมหากษัตริย์ทรงเป็นกลางทางการเมืองและไม่ทรงยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ดังนี้ จึงเป็นการเหมาะสมภายใต้หลักประมุขของรัฐไม่ต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดิน

2.2 พระราชอํานาจของพระมหากษัตริย์

พระราชอํานาจของพระมหากษัตริย์ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้บัญญัติในส่วนของพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ไว้ ดังนี้

1) ในส่วนพระราชอำนาจของการสถาปนาและถอดถอนฐานันดรศักดิ์ พระราชอำนาจในการพระราชทานและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ (มาตรา 9)  

2) พระราชอำนาจในการทรงเลือกและทรงแต่งตั้งประธานองคมนตรีและคณะองคมนตรี (มาตรา 10) 

3) พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในกรณีที่ไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักรหรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม (มาตรา 16)

4) พระมหากษัตริย์ยังทรงมีพระราชอำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 ทรงเป็นพระราชอำนาจเฉพาะของพระองค์เท่านั้น (มาตรา 20) และพระราชอำนาจในการแต่งตั้งพระรัชทายาทตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467

สำหรับในทางกฎหมายแล้วพระมหากษัตริย์ถือเป็นบ่อเกิดแห่งกฎหมาย เนื่องจากร่างกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาแล้วจะต้องให้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ลงนามก่อนที่จะมีการประกาศใช้ หากพระมหากษัตริย์ไม่ลงนามในร่างกฎหมายฉบับใดร่างกฎหมายนั้นก็ไม่มีผลบังคับใช้ นอกจากนี้ยังมีพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษซึ่งเป็นหลักสากลที่ประมุขของรัฐเป็นผู้มีอำนาจดังกล่าว ดังนั้น เมื่อพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขแห่งรัฐเป็นบ่อเกิดแห่งกฎหมายแล้วยังสามารถระงับยับยั้งผลแห่งกฎหมายนั้นได้ด้วย ตามความในมาตรา 3 แห่งรัฐธรรมนูญที่บัญญัติว่า “อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อํานาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ”

การลงพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ สืบเนื่องจากพระราชอำนาจที่มีมาแต่ดั้งเดิม “พระบรมราชานุภาพของพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยามนี้ มิได้มีปรากฏในกฎหมายอันหนึ่งอันใดด้วยเหตุที่ถือว่าเป็นล้นพ้น ไม่มีสิ่งใดหรือผู้ใดจะบังคับขัดขวางได้” หมายความว่า พระราชดำรัสถือเป็นองค์อธิปัตย์ในการดำเนินการทั้งปวง หลังจากมีรัฐธรรมนูญ ที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย จึงกำหนดให้พระราชอำนาจบางประเภทของพระองค์ยังดำรงอยู่ เช่น อำนาจในการยุบสภา การยับยั้งร่างกฎหมาย การประกาศสงคราม การอภัยโทษ เป็นต้น

การสืบราชสมบัติของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช '2560'

               รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้กำหนดในส่วนของการสืบราชสมบัติของพระมหากษัตริย์ ไว้ดังนี้

          1. การสืบราชสมบัติให้เป็นไปตามกฎมนเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พุทธศักราช 2467 ทั้งเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะในการแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาล[3]

          2. กรณีของราชบัลลังก์ว่างลง รัฐธรรมนูญฯ กำหนดเป็น 3 ประการ[4]

                    1) กรณีราชบัลลังก์ว่างลงและมีการแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันนติวงศ์ พุทธศักราช 2467

                              (1) เป็นหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่จะต้องทำการแจ้งให้ประธานรัฐสภารับทราบ และให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบ

                              (2) ประธานรัฐสภาทำการอัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์

สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ

                    2) กรณีราชบัลลังก์ว่างลงและและไม่มีการแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันนติวงศ์ พุทธศักราช 2467

                              (1) เป็นหน้าที่ขององคมนตรีในการเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบ ในการนี้ จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้

                              (2) เมื่อรัฐสภาเห็นชอบ ประธานสภารัฐสภาจะดำเนินการอัญเชิญองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ

                    3) กรณีแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

                              เมื่อราชบัลลังก์ว่างลงและและไม่มีการแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันนติวงศ์ พุทธศักราช 2467 ทั้งยังไม่มีการประกาศอัญเชิญองค์พระรัชทายาทหรือองค์ผู้สืบสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ เช่นนี้ รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะได้ประกาศอัญเชิญองค์พระรัชทายาทหรือองค์ผู้สืบสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์

 

เปรียบเทียบความแตกต่างในหมวดพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

 

ประเด็นสำคัญ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560

1) พระราชอำนาจที่จะสถาปนาและถอดถอนฐานันดรศักดิ์และพระราชทานและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์

กำหนดไว้ในมาตรา 11 และมาตรา 226 ในหมวดคณะรัฐมนตรี

บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540

แก้ไขด้วยการตัดในหมวดคณะรัฐมนตรีมาบัญญัติไว้ในที่เดียวกันในมาตรา 9 “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะสถาปนาและถอดถอนฐานันดรศักดิ์ และพระราชทานและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์”

2) ลักษณะต้องห้ามขององคมนตรี

องคมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครอง กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือสมาชิกหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง และต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใด ๆ

 

 

บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 แต่ได้ปรับแก้ไขถ้อยคำ “ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา” เป็น “ผู้ตรวจการแผ่นดิน

ปรับแก้ไขการกำหนดลักษณะต้องห้ามขององคมนตรี
“องคมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือสมาชิกหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง หรือข้าราชการเว้นแต่การเป็นข้าราชการในพระองค์ในตำแหน่งองคมนตรี และต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใด ๆ” ตัดตุลาการศาลปกครองออกเนื่องจากถือว่าเป็นข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอยู่แล้ว

3) การแต่งตั้งและให้ข้าราชการในพระองค์พ้นจากตำแหน่ง

มาตรา 17 “การแต่งตั้ง
และการให้ข้าราชการในพระองค์และสมุหราชองครักษ์พ้นจากตำแหน่ง ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย”

 

บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540

บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540แต่ได้มีการเพิ่มเติมไว้ในมาตรา 15 วรรคสอง “การจัดระเบียบ
ราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกา”

4) การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการในกรณีที่พระมหากษัตริย์จะไม่ประทับในประเทศ

มาตรา 18ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม จะได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ”

บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540

มาตรา 16 ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม จะทรงแต่งตั้งบุคคลคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นคณะขึ้น ให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้

5) การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการตามลำดับ

มาตรา 19 “...ให้คณะองคมนตรีเสนอชื่อผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งสมควรดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ประธานรัฐสภาประกาศในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ แต่งตั้งผู้นั้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540

มาตรา 17 “...ให้คณะองคมนตรีเสนอชื่อบุคคลคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นคณะ ตามลำดับที่โปรดเกล้าโปรด

กระหม่อมกำหนดไว้ก่อนแล้ว ให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แล้วแจ้งประธานรัฐสภาเพื่อประกาศในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ แต่งตั้งผู้นั้นขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์”

6) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต้องปฏิญาณตนในที่ประชุมรัฐสภา

 

มาตรา 21 วรรคสอง

ในระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ ให้วุฒิสภาทำหน้าที่รัฐสภาตามมาตรานี้ ”

บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540

มาตรา 19 วรรคสอง “ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งเคยได้รับการแต่งตั้งและปฏิญาณตนมาแล้ว ไม่ต้องปฏิญาณตนอีก” เป็นผลจากการปรับแก้ไขใหม่จากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณา
จักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พุทธศักราช 256๐ มาตรา 39/1 วรรคสิบเอ็ด

7) ขั้นตอนการอัญเชิญ

องค์พระรัชทายาทในกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ หรือการอัญเชิญองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ในกรณีที่

พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลง

มาตรา 23 วรรคหนึ่ง “ในกรณีที่...พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้...ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบ และให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบและให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ”

'มาตรา 23 วรรคสอง“ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทา'ยาทไว้ตามวรรคหนึ่ง ให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ตามมาตรา 2๐ ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาเพื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ในการนี้ จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไปแล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ”

มาตรา 23 วรรคท้าย “ในระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ ให้วุฒิสภาทาหน้าที่รัฐสภาในการรับทราบตามวรรคหนึ่งหรือให้ความเห็นชอบตามวรรคสอง”

บัญญัติลักษณะเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540

มาตรา 21 วรรคหนึ่งและวรรคสองบัญญัติกระบวนการและขั้นตอนไว้เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มาตรา 23 วรรคหนึ่งและวรรคสอง

โดยได้ตัดบทบัญญัติในวรรคท้ายของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ทิ้งไป

8) วิธีการถวายสัตย์ปฏิญาณ

ไม่มีกำหนด

ไม่มีกำหนด

มาตรา 24  “การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย พระมหากษัตริย์จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กระทำต่อพระรัชทายาทซึ่งทรงบรรลุนิติภาวะแล้วหรือต่อผู้แทนพระองค์ก็ได้”

วรรคสอง “ในระหว่างที่ยังมิได้ถวายสัตย์ปฏิญาณตามวรรคหนึ่ง จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผู้ซึ่งต้องถวายสัตย์ปฏิญาณปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อนก็ได้”

 

บรรณานุกรม

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 256๐.( 6 เมษายน 256๐). ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 134 ตอนที่ 4๐ ก.

มานิตย์ จุมปา. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.254๐). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์นิติธรรม. 2545.

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. ความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560. พฤษภาคม 2562.

 

อ้างอิง

[1] มานิตย์ จุมปา. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.254๐).กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์นิติธรรม. 2545. หน้า 28.

[2] สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. ความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560. พฤษภาคม 2562, หน้า 9-33.

[3] มาตรา 2๐ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 256๐.

[4] มาตรา 21 มาตรา 22 และมาตรา 23 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 256๐.