หัวเมืองประเทศราช (บุญยเกียรติ การะเวกพันธุ์ และคณะ)

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 17:03, 18 ธันวาคม 2560 โดย Apirom (คุย | ส่วนร่วม) (สร้างหน้าด้วย " เรียบเรียงโดย : อาจารย์บุญยเกียรติ การะเวกพันธุ์ และ...")
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

เรียบเรียงโดย : อาจารย์บุญยเกียรติ การะเวกพันธุ์ และคณะ

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.ปธาน สุวรรณมงคล


ความหมายของหัวเมืองประเทศราช

หัวเมืองประเทศราช เป็นเมืองที่อยู่ห่างไกลจากราชธานี อยู่นอกพระราชอาณาเขต มีการปกครองที่เป็นอิสระเป็นของตนเอง เมืองเหล่านี้มีรูปแบบการปกครองตามวัฒนธรรมเดิมของตน เจ้าผู้ปกครองมีสิทธิ์ขาดในการปกครองดินแดนของตน แต่ต้องแสดงตนว่ายอมอ่อนน้อมหรือยอมเป็นเมืองประเทศราช โดยการส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายตามกำหนดเป็นการแสดงความจงรักภักดี ต้องส่งส่วยและเมื่อเกิดศึกสงครามก็ส่งกำลังและเสบียงอาหารมาช่วยราชธานี หัวเมืองประเทศราชที่สำคัญของไทย เช่น เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน น่าน แพร่ มลายู ลาวและกัมพูชา

การแบ่งหัวเมืองในสมัยสุโขทัย อยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น

การจัดการปกครองในสมัยสุโขทัย อยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีการแบ่งหัวเมืองออกเป็นชั้นๆ ตามลำดับความสำคัญของเมือง โดยการแบ่งหัวเมืองเช่นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการจัดระบอบการปกครอง จัดความสัมพันธ์ระหว่างหัวเมืองกับเมืองหลวง เพราะรัฐไม่มีกำลังทหารเพียงพอที่จะไปปกครองโดยตรง[1]

การจัดระเบียบความสัมพันธ์ทางการปกครองระหว่างราชธานีกับหัวเมืองจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ

1.เมืองที่ปกครองจากราชธานีโดยตรง โดยราชธานีจะส่งผู้ปกครองไปจากส่วนกลาง รูปแบบการปกครองจำลองจากส่วนกลางไปสู่ส่วนภูมิภาค การแบ่งประเภทหัวเมืองแล้วแต่ยุคสมัย เช่น สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแบ่งออกเป็นหัวเมืองชั้นใน คือเมืองลูกหลวง และหัวเมืองชั้นนอกไกลออกจากราชธานีจะเป็นเมืองพระยามหานคร สมัยสมเด็จพระนเรศวรแบ่งเป็นหัวเมืองชั้นเอก โท ตรี

2.เมืองที่ปกครองตนเอง มีการสืบตำแหน่งผู้ปกครองของตนเองแต่แสดงตนว่ายอมอ่อนน้อมต่อราชธานีโดยการส่งเครื่องราชบรรณาการเช่นต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง ส่วยและผลประโยชน์อย่างอื่น เพื่อแสดงว่ายอมเป็นเมืองขึ้น เมืองเหล่านี้มักเป็นเมืองต่างชาติ ต่างภาษา ดังที่สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนิพนธ์ถึงเมืองประเทศราชไว้ว่า “..ลักษณะการปกครองแบบเดิมนั้น นิยมให้เป็นอย่างประเทศราชาธิราช (Empire) อันมีเมืองคนต่างชาติต่างภาษาเป็นเมืองขึ้นอยู่ในพระราชอาณาเขต”[2]

เมืองประเทศราชมักจะเป็นเมืองที่ห่างไกลจากราชธานีและมีอำนาจทางการเมืองของตน ในกฎมณเฑียรบาลในกฎหมายตราสามดวงกล่าวว่า มีเมืองกษัตริย์แต่ได้ถวายต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง 20 เมือง คือ เมืองทางเหนือ 16 เมือง ได้แก่ เมืองนครหลวง (กัมพูชา) ศรีสัตนาคนหุต เชียงใหม่ ตองอู เชียงไกร เชียงกราน เชียงแสน เชียงรุ้ง เชียงราย แสนหวี เขมราช แพร่ น่าน ใต้ทอง โคตรบอง และแรวแกว ทางใต้ 4 เมืองคือ อุยองตะหนะ มะละกา มลายูและวรวารี[3]

การส่งเครื่องราชบรรณาการ

การปกครองของเมืองประเทศราชจะมีการปกครองที่ค่อนจะเป็นอิสระแต่ต้องมีการแสดงความอ่อนน้อมและจงรักภักดีต่อราชธานีโดยการส่งเครื่องราชบรรณาการ ซึ่งประกอบด้วย

1.เครื่องราชบรรณาการ เป็นเครื่องหมายของการยอมอยู่ใต้อำนาจ หากไม่ส่งจะถือว่าเป็นกบฏ เครื่องราชบรรณาการประกอบด้วยสิ่งสำคัญคือ ต้นไม้ทองและต้นไม้เงิน ขนาดเท่ากัน 1 คู่ และสิ่งของอีกจำนวนหนึ่งตามความเหมาะสม โดยไม่จำกัดชนิดและจำนวน หลักฐานในสมัยรัชกาลที่ 4 พบส่งต้นไม้เงินทองเงินสูง 3 ศอกคืบ 7 ชั้น และไม้ขอนสัก 300 ต้น หรือบางปีส่งน้ำรักแทนในจำนวน 150 หรือ 300 กระบอก ต้นไม้เงินต้นไม้ทองที่ส่งมาถวายไม่มีค่าทางเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับส่วยและการเกณฑ์สิ่งของที่มีมูลค่าสูงกว่ามาก[4]

กำหนดที่เมืองประเทศราชจะส่งเครื่องราชบรรณาการแล้วแต่ระยะทางใกล้ไกลและความสำคัญของแต่ละเมือง บางเมืองต้องถวายบรรณาการทุกปี แต่โดยปกติแล้วจะส่งสามปีต่อครั้ง โดยคำนึงถึงระยะทางและความไว้วางใจ

การถวายต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง มาจากความเชื่อในลัทธิไศเลนทร์ที่ว่าพระเจ้าแผ่นดินเป็นพระศิวะ ซึ่งประทับบนเขาไกรลาส และเมืองขึ้นก็เปรียบเหมือนต้นไม้เงิน ต้นไม้ทองในป่าหิมพานต์เชิงเขาไกลาส[5]

ลักษณะรูปแบบสำคัญของต้นไม้เงิน ต้นไม้ทองที่ใช้เป็นเครื่องราชบรรณาการ สมัยรัตนโกสินทร์มีลักษณะที่สำคัญคือ ต้องจัดทำเป็นคู่ ทำด้วยเงินแท้ทั้งต้น ต้นไม้ทองทำด้วยทองคำแท้ตั้งต้น น้ำหนักของต้นไม้ทองคำและต้นไม้เงิน ที่เป็นคู่กันต้องมีน้ำหนักเท่ากัน มีลำต้น กิ่งก้าน กาบดอก และใบครบถ้วนสมบูรณ์ รูปร่างลักษณะและความสูงต่ำของต้นไม้ ที่เป็นคู่กันต้องเหมือนหรือเท่ากัน มีกระถางหรือแจกันรองรับ เหมือนกัน เป็นคู่กัน ความสวยงาม ความประณีต และแบบต้นไม้ จะเป็นอย่างไรนั้นสุดแต่เมืองนั้นๆ จะคิดและประดิษฐ์ ส่วนมากมักจะมีครอบแก้ว ครอบต้นไม้เงิน ต้นไม้ทองมาด้วย เพื่อป้องกันการชำรุดเสียหายระหว่างทางและสะดวกในการเก็บรักษาทำความสะอาด[6]

ในสมัยรัชกาลที่ 5 เครื่องราชบรรณาการจากไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู มีต้นไม้เงิน 1 ต้นไม้ทอง 1 แต่ละต้นสูง 6 ศอก มีกิ่งไม้ 8 ชั้น มีดอกไม้เงิน ทอง รวม 638 ดอก ใบไม้เงิน ทอง 980 ใบ มีงู 2 คู่ เงินคู่ ทองคู่ นกอีก 4 ตัว และกวางเงิน 2 บนยอดมีดอกไม้เงิน ทองใหญ่อย่างละ 1 มีกลีบเป็น 3 ชั้น[7]

จากหนังสือสยามประเภทของนาย ก.ศ.ร. กุหลาบ สยามประเภท เล่ม 2 ตอน 17. วันที่ 1 ส.ค. ร.ศ.118 เรื่องต้นเหตุเมืองแขกมะละกาขึ้นกับไทย ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้กล่าวถึงต้นไม้เงินต้นไม้ทอง ที่เป็นเครื่องราชบรรณาการ ในสมัยอยุธยาไว้ว่า ราว พ.ศ.2045 ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบรมราชามหาพุทธางกูร สยามเป็นไมตรีกับโปรตุเกส โปรตุเกสขอกำลังกองทัพเรือไทยไปช่วยตีเมืองมะละกา เพราะชาวมะละกาทำร้ายพ่อค้าโปรตุเกสที่เข้าไปค้าขาย กองทัพเรืออยุธยาตีเมืองมะละกาได้ พระเจ้าแผ่นดินสยามขณะนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าราชบุตรแขกเมืองมะละกาเป็นเจ้าเมืองสืบแทนพระบิดา ให้มีพระนามว่า จ้าวมะหะหมัดรัตนะรายามหาราช และให้เป็นเมืองประเทศราชถวายดอกไม้เงินทองสิ่งของเครื่องราชบรรณาการแก่กรุงศรีอยุธยาตามประเพณีมีมาแต่โบราณ[8]

2.ส่วย เป็นสิ่งของที่ต้องส่งทุกปีในอัตราที่ค่อนข้างแน่นอน เช่นส่วยที่สำคัญที่เชียงใหม่ต้องส่งคือ ไม้ขอนสัก ตามหลักฐานสมัยรัชกาลที่ 3 เชียงใหม่ส่งไม้ขอนสัก 500 ต้น น่าน 4000 ต้น ลำปาง 400 ต้น แพร่ 200ต้น ลำพูน 200 ต้น[9]

3.การเกณฑ์สิ่งของ เมื่อมีงานพระราชพิธี เช่นพระบรมศพ จะมีการเกณฑ์สิ่งของ พระราชพิธีพระบรมศพรัชกาลที่ 1 พ.ศ.2352 เชียงใหม่ถูกเกณฑ์ส่งกระดาษหัว 20,000 แผ่น ลำปางส่งกระดาษหัว 15,000 แผ่น ลำพูน 5,000 แผ่น แพร่ 20,000 แผ่น ป่าน 5 หาบ และเมืองน่านส่งกระดาษหัว 3,000 แผ่น ป่าน 5 หาบหรือเมื่อรัชกาลที่ 4 ทรงสร้างพระราชวังที่ลพบุรี ลำปางส่งไม้สัก 1,000 ต้น[10]

4.การเกณฑ์ไพร่พลในราชการสงคราม ยามมีศึกสงครามเมืองประเทศราชจะถูกเกณฑ์กำลังทหารเข้าร่วมในกองทัพ เช่น การเกณฑ์ประเทศราชฝ่ายเหนือเข้าร่วมกับกองทัพสยามในคราวกบฏเจ้าอนุวงศ์ พ.ศ.2369 นอกจากนี้เมืองประเทศราชอยู่ในสภาวะที่ต้องเตรียมพร้อมป้องกันบ้านเมืองเสมอ[11]

ประโยชน์ที่หัวเมืองประเทศราชได้รับ

1.การได้รับความคุ้มครองจากราชธานี การเป็นเมืองประเทศราชจะได้รับการแผ่อิทธิพลทางการเมืองของราชธานีเพื่อคุ้มครอง ถ้าเมืองประเทศราชถูกรุกรานจากรัฐอื่น หรือมีสงครามให้เมืองประเทศราชแจ้งราชธานีเพื่อจะส่งกำลังไปช่วยเหลือ[12]

2.รายได้ของผู้ปกครอง มีดังนี้[13]

(1) รายได้จากภาษีอากร ซึ่งอยู่ในรูปของเงินหรือผลิตผล เช่น ข้าว

(2) รายได้จากทรัพยากร เช่น แร่ธาตุ สัตว์น้ำ สัตว์ป่า ไม้สัก ซึ่งถือเป็นของหลวง ผู้ที่เก็บได้จะต้องเสียบางส่วนเข้าท้องพระคลัง

(3) รายได้จากการปรับไหม ได้จากการปรับไหมผู้ที่ถูกพิจารณาตัดสินลงโทษโดยการปรับไหม

(4) รายได้จากส่วยไร หรือบรรณาการเมืองขึ้น ซึ่งเจ้าเมืองจะเก็บจากเมืองบริวาร

(5) รายได้จากการทำสงคราม หลังจากที่ส่งกองทัพไปร่วมรบ เมื่อรบชนะแล้วยึดทรัพย์สิน ตลอดจนจับผู้คนเป็นเชลย

(6) เมื่อประชาชนตายและไม่มีผู้สืบมรดกให้ทรัพย์สินตกเป็นของคลังหลวง

3.การได้รับสิ่งของพระราชทาน เมื่อเมืองประเทศราชส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวาย ราชธานีจะพระราชทานสิ่งของตอบแทนผ่านผู้คุมบรรณาการ ดังตัวอย่างที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกพระราชทานสิ่งของให้กับเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่เมื่อมาถวายราชบรรณาการใน พ.ศ.2435 ดังนี้[14]

ปืนนกคุ้มกระสุน 2 นิ้ว 2 กระบอก

ปืนเล็กกระสุน 3 นิ้ว 2 กระบอก

กระสุนปืนใหญ่ 3,4,5 นิ้ว 2,500 ลูก

ดีบุก 5 หาบ

สุพันถัน 3 หาบ

ฉาบพล 2,000 ใบ

กระทะเหล็ก 7 ใบ

ทองคำเปลว 5,000 แผ่น

กระจก 10 หาบ

ความสัมพันธ์ทางการปกครองกับราชธานี

เมืองประเทศราชจะมีการปกครองอิสระของตนเอง โดยแสดงความอ่อนน้อมและจงรักภักดีโดยการถวายเครื่องราชบรรณาการตามกำหนด ซึ่งเมืองประเทศราชที่ไม่ได้ส่งเครื่องราชบรรณาการจะอยู่ในสถานะความเป็นกบฏและจะได้รับโทษขั้นรุนแรง ดังปรากฏกฎหมายลักษณะกระบดศึกว่า...อนึ่งพระเจ้าอยู่หัวให้ผู้ใดไปรั้งเมืองครองเมืองแลมิได้เอาสุวรรณบุปผาเข้ามาบังคมถวายแลแขวงเมือง อนึ่งผู้ใดเอาใจไปเผื่อแผ่ข้าศึกศัตรู นัดแนะให้ยกเข้ามาเบียดเบียนพระนครขอบขัณฑเสมาธานีน้อยใหญ่ ถ้าผู้ใดกระทำดังกล่าวมานี้ โทษผู้นั้นเปนอุกฤษฐโทษ 3 สถาน ๆ หนึ่ง ให้ริบราชบาทฆ่าเสียให้สิ้นทังโคตร สถานหนึ่ง ให้ริบราชบาทฆ่าเสีย 7 ชั่วโคตร สถานหนึ่ง ให้ริบราชบาตรแล้วให้ฆ่าเสีย โคตรนั้นอย่าให้เลี้ยงสืบไปเลย เมื่อประหารชีวิตนั้น ให้ได้ 7 วันจึงให้สิ้นชีวิต เมื่อประหารนั้นอย่าให้โลหิตแลอาศภตกลงในแผ่นดิน ให้ใส่แพลอยเสียตามกระแสน้ำ[15]

การยกเลิกหัวเมืองประเทศราช

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเทศสยามเผชิญกับการคุกคามของการล่าอาณานิคมจากประเทศตะวันตก เมืองประเทศราชหลายๆเมืองตกเป็นเมืองขึ้นของตะวันตก เช่น การเสียเมืองประเทศราชทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขง อันได้แก่หลวงพระบาง เวียงจันทน์ให้กับฝรั่งเศส ในหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ค.ศ.1904[16] การเสียประเทศราชในกัมพูชา อันได้แก่พระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณให้กับฝรั่งเศส ในหนังสือสัญญาระหว่างพระเจ้าแผ่นดินสยาม กับ เปรสิเดนต์แห่งรีปับลิกฝรั่งเศส ค.ศ.1907[17] การเสียมลายูให้กับอังกฤษใน สัญญาในระหว่างกรุงสยามกับกรุงอังกฤษ ลงชื่อกันที่กรุงเทพฯ ณ วันที่ 10 มีนาคม รัตนโกสินทร์ ศก 127[18]

ในส่วนที่เหลือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเริ่มปฏิรูปการปกครองโดยการรวมเมืองประเทศราชทางเหนือ เช่น นครเชียงใหม่, นครน่าน, นครลำปาง, นครลำพูน, แพร่, เถิน เข้าเป็นมณฑลลาวเฉียง และทรงแต่งตั้งพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นพิชิตปรีชากร เป็นข้าหลวงต่างพระองค์ประจำนครเชียงใหม่ ใน พ.ศ.2427[19] รวมเมือง อุดรธานี, ขอนแก่น, นครพนม, สกลนคร, เลย, หนองคาย เป็นมณฑลลาวพวน รวมอุบลราชธานี, นครจำปาศักดิ์, ศรีสะเกษ, สุรินทร์, ร้อยเอ็ด, มหาสารคาม, กาฬสินธุ์ เป็นมณฑลลาวกาว[20]

ใน พ.ศ.2437 ทรงจัดทั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น เมืองประเทศราชกลายเป็นส่วนหนึ่งของพระราชอาณาจักร เมืองประเทศราชทางเหนือ คือ นครเชียงใหม่,นครน่าน,นครลำปาง,นครลำพูน,แพร่ กลายเป็นมณฑลพายัพ เมืองประเทศราชทางใต้คือ ปัตตานี ยะลา ระแงะ(ภายหลังรวมกับอำเภอบางนรา แล้วเปลี่ยนชื่อ เป็น นราธิวาส) กลายเป็นมณฑลปัตตานี เมืองประเทศราชทางทิศตะวันออกกลายเป็นมณฑลอุดรและมณฑลอีสานหรืออุบล ถือเป็นการสิ้นสุดหัวเมืองประเทศราช

ดังที่สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงแสดงไว้ว่า...เมื่อเป็นพระราชอาณาเขตแล้ว จึงเลิกประเพณีที่เมืองประเทศราชถวายต้นไม้ทอง ต้นไม้เงิน และให้เปลี่ยนนามมณฑลลาวเฉียงเป็นมณฑลพายัพ เปลี่ยนนามมณฑลลาวพวนเป็นมณฑลอุดร และเปลี่ยนนามมณฑลลาวกาวเป็นมณฑลอีสาน ทั้งให้เลิกเรียกชาวมณฑลทั้ง 3 ว่าลาวด้วย[21]

อ้างอิง

  1. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี, บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์,(กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549),หน้า 32.
  2. สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ, นิทานโบราณคดี, (กรุงเทพมหานคร, ศิลปะบรรณาคาร, 2509), หน้า 20.
  3. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี, บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์,หน้า 30.
  4. สรัสวดี อ๋องสกุล, ประวัติศาสตร์ล้านนา, (กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์, 2556), หน้า 361.
  5. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี, บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์ ,หน้า 28.
  6. สมศักดิ์ ฤทธิ์ภักดี ,(2557), ต้นไม้เงิน ต้นไม้ทองสมัยรัตนโกสินทร์, ค้นเมื่อ 10 กรกฎาคม 2557 จาก http://emuseum.treasury.go.th/article/238-goldtree-a-sivertree.html
  7. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี, บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์ , หน้า 136.
  8. สมศักดิ์ ฤทธิ์ภักดี ,(2557), ต้นไม้เงิน ต้นไม้ทองสมัยรัตนโกสินทร์ , ค้นเมื่อ 10 กรกฎาคม 2557 จาก http://emuseum.treasury.go.th/article/238-goldtree-a-sivertree.html
  9. ปริศนา ศิรินาม, ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและประเทศราชในหัวเมืองล้านนาไทย สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น, วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต (บัณฑิตวิทยาลัย : วิทยาลัยการศึกษาประสานมิตร ,2516),หน้า 105.
  10. เพิ่งอ้าง, หน้า 10.
  11. สรัสวดี อ๋องสกุล,ประวัติศาสตร์ล้านนา, หน้า 364.
  12. เพิ่งอ้าง, หน้า 364.
  13. ชวลีย์ ณ ถลาง, ประเทศราชของสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว,(กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.2541), หน้า 10.
  14. สรัสวดี อ๋องสกุล,ประวัติศาสตร์ล้านนา, หน้า 362.
  15. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี, บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์ , หน้า 41-42.
  16. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ , ลัทธิชาตินิยมไทย/สยามกับกัมพูชา : และกรณีศึกษาปราสาทเขาพระวิหาร, (กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์,2552), หน้า 201-208.
  17. เพิ่งอ้าง,หน้า 219-222
  18. ชวลีย์ ณ ถลาง.ประเทศราชของสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว.(กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.2541) , หน้า 340-342.
  19. ธันยวัฒน์ รัตนสัค, การบริหารราชการไทย,(เชียงใหม่ : สำนักวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2555), หน้า 78-79.
  20. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, พระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 5. (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มติชน, 2545), หน้า 185-191.
  21. ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ , ความเป็นมาของทฤษฎีแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ไทย, (กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์,2555) ,หน้า22-23.

บรรณานุกรม

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ , ลัทธิชาตินิยมไทย/สยามกับกัมพูชา : และกรณีศึกษาปราสาทเขาพระวิหาร, กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์,2552.

ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ , ความเป็นมาของทฤษฎีแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ไทย, กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2555.

ธันยวัฒน์ รัตนสัค, การบริหารราชการไทย, เชียงใหม่ : สำนักวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2555.

ชวลีย์ ณ ถลาง, ประเทศราชของสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.2541.

ปริศนา ศิรินาม, ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและประเทศราชในหัวเมืองล้านนาไทย สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น, วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ,บัณฑิตวิทยาลัย : วิทยาลัยการศึกษาประสานมิตร ,2516.

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี, บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549.

สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ, นิทานโบราณคดี, กรุงเทพมหานคร, ศิลปะบรรณาคาร, 2509.

สรัสวดี อ๋องสกุล, ประวัติศาสตร์ล้านนา, กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์, 2556.

สมศักดิ์ ฤทธิ์ภักดี ,(2557), ต้นไม้เงิน ต้นไม้ทองสมัยรัตนโกสินทร์, ค้นเมื่อ 10 กรกฎาคม 2557 จาก http://emuseum.treasury.go.th/article/238-goldtree-a-sivertree.html

หนังสือแนะนำอ่านเพิ่มเติม

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี, บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์, กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549.

ชวลีย์ ณ ถลาง, ประเทศราชของสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.2541.

สรัสวดี อ๋องสกุล, ประวัติศาสตร์ล้านนา, กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์, 2556.