การสาธารณสุข

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 12:59, 19 พฤษภาคม 2560 โดย Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง : วิกัลย์ พงศ์พนิตานนท์

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นางสาวิตรี สุวรรณสถิตย์

ความเป็นมา

รัฐให้ความสำคัญการสาธารณสุขเนื่องจากเกี่ยวข้องโดยตรงต่อชีวิตประชาชนและส่งผลถึงความมั่นคงผาสุกของสังคมในสมัยสังคมจารีต การป้องกันโรคระบาดที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก ส่วนใหญ่ทำตามความเชื่อเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ เช่น พิธีอาพาธพินาศเมื่ออหิวาตกโรคระบาด และทำตามความรู้ที่ถ่ายทอดในสังคมรวมทั้งส่งผ่านจากภายนอก ได้แก่ การป้องกันไข้ทรพิษมีการปลูกฝีทรพิษตามแนวทางแพทย์จีนมาเป็นเวลายาวนาน ตราบกระทั่งผลสำเร็จจากการเพาะหนองฝีวัว เมื่อมิชชันนารีเผยแพร่สู่สยามในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น รัฐจึงสนับสนุนการปลูกฝีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไข้ทรพิษไม่เป็นปัญหาทางสาธารณสุขของประเทศอีกต่อไป

ในรัชกาลที่ ๕ การพัฒนาบ้านเมืองปรากฏเป็นรูปธรรมชัดเจน เป็นยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นสมัยใหม่ ด้านการสาธารณสุขเริ่มต้นมีหน่วยงานระดับกรม ใน พ.ศ. ๒๔๓๑ คือ กรมพยาบาล ทำหน้าที่ดูแลกิจการโรงพยาบาล จัดการศึกษาวิชาแพทย์ รับผิดชอบการผลิตและจัดหายาและจัดการปลูกฝีเป็นทานแก่ประชาชน ต่อมา ใน พ.ศ. ๒๔๕๙ เปลี่ยนชื่อกรมพยาบาล เป็นกรมประชาภิบาล สังกัดกระทรวงมหาดไทย

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสาธารณสุขประกาศใช้เป็นครั้งแรก คือ พระราชกำหนดศุขาภิบาล กรุงเทพฯ รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๖ (พ.ศ. ๒๔๔๐) ตั้งกรมสุขาภิบาล ในกระทรวงนครบาล ทำหน้าที่รักษาความสะอาด ป้องกันโรคภยันตราย ในกรุงเทพฯ มีนายแพทย์สุขาภิบาล และเจ้าพนักงานตำแหน่งช่างใหญ่ศุขาภิบาล ผู้บัญชาการกรมศุขาภิบาลคนแรก คือ พระยาเทเวศรวงษ์วิวัฒน์ (หม่อมราชวงศ์หลาน กุญชร ต่อมาเป็นเจ้าพระยา)

พ.ศ. ๒๔๖๑ รัชกาลที่ 6 ทรงพระราชดำริว่าหน่วยงานดูแลรับผิดชอบการสาธารณสุขมีทั้งในกระทรวงนครบาล และกระทรวงมหาดไทย จึงโปรดเกล้าฯ ให้แยกการศุขาภิบาลออกจากกระทรวงนครบาล รวมกับกรมประชาภิบาลในกระทรวงมหาดไทย ตั้งขึ้นเป็นกรมสาธารณสุข สังกัดกระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่ดำเนินการสาธารณสุขของประเทศโดยทั่วไป งานหน้าที่ของนายแพทย์สุขาภิบาลโอนรวมไว้ในกรมสาธารณสุข อธิบดีกรมสาธารณสุขเมื่อแรก คือ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนไชยนาทนเรนทร (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร) ทรงอยู่ในตำแหน่งจนถึง พ.ศ. ๒๔๖๘ จึงทรงลาออกจากราชการ ส่วนการนคราภิบาล (Municipality) ให้ขึ้นกับกระทรวงนครบาลตามเดิม (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นกรมนคราทร แล้วเปลี่ยนเป็น กรมโยธาเทศบาล เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖)

 

การสาธารณสุขในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

รัฐมอบหมายงานสาธารณสุขผ่านกรมสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย ซึ่งเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๑ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แยกงานแผนก Public Health (ป้องกันความป่วยไข้ ให้ความศุขแก่ประชาชน) จากกรมศุขาภิบาลไปรวมกับกรมสาธารณสุข แต่ในเวลานั้นมีเหตุทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ จนถึงเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๖๘ จึงดำเนินการโอนงานสาธารณสุขในกรมศุขาภิบาลไปรวมกับกรมสาธารณสุข กรมสาธารณสุขดำเนินงานในปีแรกของรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามโครงสร้างใหม่ ดังนี้

๑ การปกครองและจัดการเกี่ยวแก่โรงพยาบาลต่าง ๆ มี

ก. โรงพยาบาลกลาง

ข. โรงพยาบาลบางรัก

ค. โรงพยาบาลคนเสียจริต

ฆ. โรงพยาบาลโรคติดต่อ

๒ ที่ทำการตรวจหาเชื้อโรคต่าง ๆ

๓ การตรวจ และป้องกันโรคฝ่ายบก (โรคติดต่อ) มี

ก. ตรวจ และป้องกันไข้ทรพิษ

ข. การตรวจ และป้องกันอหิวาตกะโรค

ค. การตรวจ และป้องกันกาฬโรค รวมทั้งการทำลายสัตว์ร้ายต่าง ๆ

๔ การตรวจศพ

๕ การตรวจ และป้องกันโรคร้ายทางทะเล

วันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๘ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนหม่อมเจ้าสกลวรรณากร ผู้ช่วยอธิบดีกรมสาธารณสุขขึ้นเป็นอธิบดีกรมสาธารณสุข

พ.ศ. ๒๔๗๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งสภาการสาธารณสุขประจำชาติ เนื่องด้วยการผดุงและสงวนไว้ซึ่งอนามัยของประชาชน เป็นกิจการสำคัญสำหรับชาติ การสาธารณสุข ประกอบด้วย การสุขาภิบาล การบำบัดโรค การป้องกันและปราบปรามโรคระบาด และโรคร้ายแรงบางชนิด การอนามัยพิทักษ์ การอนามัยศึกษา ฯลฯ แต่มีหน่วยงานทั้งของรัฐและเอกชนดำเนินการต่างฝ่ายต่างทำ สภาการสาธารณสุขประจำชาติที่ตั้งขึ้นนี้ทำหน้าที่ประสานระหว่างหน่วยงาน แบ่งปันหน้าที่มิให้ซับซ้อนก้าวก่าย วางแผนป้องกันปราบปรามโรคระบาดโรคร้ายบางชนิด และการบรรเทาทุกข์สาธารณภัย อธิบดีกรมสาธารณสุขเป็นสภานายกโดยตำแหน่ง มีกรรมการจากกระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

เหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับงานสาธารณสุขในรัชกาล

อหิวาตกโรคระบาด พ.ศ. ๒๔๖๙ นับเป็นการระบาดใหญ่ในพระนคร พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ บริษัทห้างร้าน และเอกชน ร่วมกันต่อสู้โรคร้ายมีการจัดตั้งโรงพยาบาลชั่วคราวเพื่อรับผู้ป่วยไว้รักษา ดังเช่น พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมขุนไชยนาทนเรนทร อดีตอธิบดีกรมสาธารณสุข ประทานวังเดิมให้เป็นโรงพยาบาลชั่วคราว สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสามาตุจฉาเจ้า พระราชทานยาไอซาลสำหรับพ่นทำลายเชื้อในสิ่งขับถ่ายที่ออกมาจากผู้ป่วยแก่โรงพยาบาลชั่วคราว และโรงพยาบาลบางรัก สภากาชาดสยามให้วัคซีนป้องกันอหิวาตกโรคแก่กรมสาธารณสุข ให้ยืมรถยนต์พยาบาลรับส่งผู้ป่วย มีบริษัทห้างร้านข้าราชการให้ยืมรถยนต์ เรือยนต์ สำหรับรับส่งผู้ป่วย มอบเครื่องพ่นยาไอซาลและเครื่องทำลายเชื้อโรคแก่กรมสาธารณสุข

ด้วยความร่วมมือของหมู่ชนทุกระดับ ทำให้กรมสาธารณสุขสามารถควบคุมโรคระบาดครั้งนั้นได้รวดเร็วมีประสิทธิภาพ

การป้องกันไข้ทรพิษ ในช่วงเวลาที่ไข้ทรพิษเป็นปัญหาทางสาธารณสุข กรมสาธารณสุขจ่ายหนองฝีแก่เจ้าพนักงานไปจัดการปลูกป้องกันตามท้องที่ต่าง ๆ

ในรัชสมัย เมื่อพ.ศ. ๒๔๗๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ มีประกาศให้ใช้พระราชบัญญัติจัดการป้องกันไข้ทรพิษ พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ ในมณฑลอุดร ทั้งนี้ เนื่องจากเมื่อประกาศใช้มีความว่าถ้าจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระราชบัญัตินี้ในมณฑลใด จะได้ประกาศในหนังสือราชกิจจานุเบกษาเป็นสำคัญ

การกำกับตรวจตราคนต่างด้าวเข้าประเทศสยามกำหนดโรคของคนต่างด้าวทำให้เป็นคนไม่พึงปรารถนาคือ โรคเรื้อน (Leprosy) ริดสีดวงตา (Trachoma) วัณโรค (Tuberculosis) และกามโรค (Venereal Diseases) นอกเหนือจากบุคคลซึ่งยังมิได้ปลูกฝีป้องกันทรพิษ และไม่ยอมปลูกฝีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ หรือเป็นผู้มีร่างกายพิการหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ หรือเป็นโรคซึ่งทำให้ไม่สามารถประกอบการหาเลี้ยงชีพได้ ให้ส่งไปควบคุมไว้ยังโรงพยาบาลซึ่งนายแพทย์จะได้กะกำหนดให้เพื่อจัดการต่อไป หรือจะสั่งให้กักไว้ในยานพาหนะทางน้ำซึ่งนำคนต่างด้าวผู้นั้นเข้ามา หรือจะสั่งให้กลับออกไปโดยยานพาหนะทางน้ำนั้นก็ทำได้ แล้วแต่จะเป็นสมควร

นอกเหนือจากงานสาธารณสุขในความรับผิดชอบของรัฐบาล สภากาชาดสยามทำการบำบัดโรคและการอนามัยมีหน่วยงานเอกชน เช่น คณะมิชชันนารีทำการบำบัดโรคเรื้อน และเปิดสถานพยาบาล

วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๖ รัฐบาลขอโอนโรงพยาบาลโรคเรื้อนที่พระประแดง ในสังกัดสภากาชาดสยาม เป็นโรงพยาบาลของรัฐ ตามที่รัฐบาลเห็นว่ารัฐให้เงินอุดหนุนเป็นส่วนใหญ่ สภากาชาดจึงโอนงานและสำนักคนป่วยโรคเรื้อนที่พระประแดงพร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ และเงินค่าใช้จ่ายส่วนการโรคเรื้อน ให้กระทรวงมหาดไทยรับไปดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗

ยาเสพติดให้โทษเป็นปัญหาใหญ่ของสังคม รัฐควบคุมการนำเข้ามา ขายไป และจำนวนคงอยู่ และรายงานไปยังสันนิบาตชาติเป็นประจำปี ยาเสพติดดังกล่าว ได้แก่ มอร์ฟีน โคคะอีน เฮโรอิน ฝิ่นยา โคเดอีน และไดโอนีน ยาเสพติดให้โทษนี้หากมีปริมาณที่ลักลอบนำเข้าผิดกฎหมาย ให้กรมศุลกากรยึดส่งกรมสาธารณสุข

สรุปได้ว่างานสาธารณสุขในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวดำเนินการโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานเอกชน พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และประชาชน นับเป็นยุคสมัยการบุกเบิกเป็นรากฐานการสาธารณสุขได้พัฒนาหน่วยงานขึ้นเป็นกระทรวงในเวลาต่อมา

 

บรรณานุกรม

พระยาบริรักษ์เวชชการ และ คณะ. ๒๔๗๗. การสาธารณสุขและสาธารณูปการ. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง. เว็บไซต์ฐานข้อมูลราชกิจจานุเบกษาและการพัฒนากฎหมายอิเล็กทรอนิกส์ ๒๕๕๗: สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา. http://www.ratchakitcha.soc.go.th. (สืบค้นเมื่อ กันยายน-ตุลาคม ๒๕๕๗)