พระราชพิธีโสกันต์สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ฯ

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 09:37, 9 ตุลาคม 2558 โดย Suksan (คุย | ส่วนร่วม) (หน้าที่ถูกสร้างด้วย ''''''ผู้เรียบเรียง :''''' ''ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร'' '''''ผู้ทรง...')
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง : ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.สนธิ เตชานันท์




ความหมายของโสกันต์ เกศากันต์ และการโกนจุก

ตามราชประเพณีโบราณ พระราชโอรสหรือพระราชธิดาของพระมหากษัตริย์ และเจ้านายทั้งหลายมักไว้พระเมาฬีเมื่อยังเยาว์พระชันษาเช่นเดียวกันกับที่บุตรธิดาของสามัญชนไว้จุก หากเป็นเจ้านายระดับพระองค์เจ้าขึ้นไปจนถึงเจ้าฟ้าเรียกว่า “พระราชพิธีโสกันต์” เจ้านายระดับหม่อมเจ้า เรียกว่า “พิธีเกศากันต์” และเด็กชายหญิงสามัญชน เรียกว่า “การโกนจุก” โดยที่พระราชโอรสจะโสกันต์เมื่อพระชนมายุ ๑๑-๑๓ พรรษา และพระราชธิดาตั้งแต่ ๑๑ พรรษาขึ้นไป ดังนั้นความหมายของ โสกันต์ เกศากันต์ และการโกนจุกจึงมีความหมายเป็นการก้าวผ่านจากวัยเด็กไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ประการหนึ่ง [1]


พระราชพิธีโสกันต์ : ความเป็นมาในสยาม

ในประเทศสยามนั้นพระราชพิธีโสกันต์ พิธีเกศากันต์และประเพณีการโกนจุกเป็นธรรมเนียมประเพณีที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานเรื่องราวชัดเจน พระราชหัตถเลขาชุมนุมพระราชาธิบายในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หมวดโบราณคดี ว่าด้วยราชประเพณีโบราณเรื่องประเพณีลงสรงโสกันต์ ระบุว่า “ธรรมเนียมลงสรงโสกันต์เป็นพิธีสำหรับราชตระกูลในแผ่นดินสยามสืบมาในต้นแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และจัดในเดือนสี่ร่วมกับพระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์ หรือพิธีตรุษไทย (คือ พิธีสิ้นปี หรือพิธีตรุษสุดปี) [2] ต่อมาได้เลื่อนเข้ามาประกอบร่วมกับพระราชพิธีเดือนยี่ ได้แก่ พระราชพิธีตรียัมปวาย หรือ พระราชพิธีโล้ชิงช้า

ในบริบททางสังคม พิธีโกนจุกมีความสืบเนื่องมาจากประเพณีการโกนผมไฟ พระยาอนุมานราชธน (ยง เสฐียรโกเศศ) อธิบายเพิ่มเติมในหนังสือ “ประเพณีการเกี่ยวกับการเกิดของคนไทย” ว่า “...เมื่อเด็กมีอายุครบได้เดือนกับวัน (เห็นจะให้แน่ว่าครบเดือนโดยบริบูรณ์จึงเติมเข้าอีกวันหนึ่ง) เป็นอันว่าล่วงพ้นอันตรายจากภัยไข้เจ็บซึ่งเข้าใจว่าผีเป็นผู้กระทำ ก็จัดการโกนผมไฟและทำขวัญเป็นพิธีใหญ่ออกหน้าออกตา บางทีก็มีตั้งชื่อเด็กในตอนนี้ เป็นเรื่องรับรองเด็กที่เกิดใหม่ขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิกของสกุล การโกนผมไฟนั้น ต้องทำบัตรพลีสังเวยพระภูมิเจ้าที่ตามธรรมเนียม ผมที่โกนให้เหลือไว้ที่ขม่อมหย่อมหนึ่ง ว่ากันว่าขม่อมยังบางอยู่...” ผมที่เหลือไว้หย่อมหนึ่งที่กลางขม่อมนั้น เมื่อเด็กเติบโตขึ้นพร้อมกับผมที่ยาวขึ้นตามวัย ผู้ใหญ่จึงจัดการรวบผมที่กลางขม่อมนั้นให้เป็นจุก และคงให้เด็กนั้นไว้จุกต่อมาจนเด็กผู้ชายมีอายุได้ ๑๓ ปี และเด็กหญิงมีอายุครบ ๑๑ ปี จึงจะจัดให้มีการโกนจุกหรือโสกันต์ในกรณีที่เป็นเจ้านาย

หม่อมเจ้าหญิง พูนพิศมัย ดิศกุล ทรงบรรยายในหนังสือประเพณีพิธีไทยว่า “เมื่อเด็กมีอายุย่างเข้าเขตวัยหนุ่มสาวจึงมีการพิธีจึงมีการพิธีเพื่อบอกแก่ญาติและเพื่อนฝูงอีกครั้งหนึ่ง คือ การโกนจุก การโกนจุกนี้ มักจะหาโอกาสทำรวมกับพิธีมงคลอื่นๆ เพราะนับเป็นงานมงคลเช่นเดียวกัน มีสวดมนต์เย็นวัน ๑ รุ่งขึ้นเลี้ยงพระแล้วก็ตัดจุกเด็กตามเวลาฤกษ์ ตอนบ่ายมีเวียนเทียนสมโภชทำขวัญเด็กตามพิธีพราหมณ์ ถ้าเจ้าของงานเป็นผู้มั่งคั่ง ก็มีการเลี้ยงดูเพื่อนฝูงต่อไปตามต้องการ เช่น เลี้ยงน้ำชา หรือ ข้าวเย็น ข้าวกลางวันและมีโขน ละคร การเล่นต่างๆ ตามเวลาและความพอใจ ส่วนของขวัญนั้น ผู้ใดจะให้เด็กอย่างไร ก็นำมามอบให้เด็กหน้าผู้ใหญ่ หรือ จะส่งมาให้ภายหลังงานก็ได้” [3]

พระราชพิธีโสกันต์ในสมัยรัตนโกสินทร์เริ่มมาแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยมีทั้งพิธีสงฆ์และพิธีพราหมณ์ พิธีสงฆ์นั้นจัดที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ช่วงบ่ายก่อนวันพระราชพิธีเป็นเวลา ๓ วัน รวมทั้งตอนเช้าของวันพระราชพิธี ในระหว่างนี้เจ้านายที่จะโสกันต์จะเสด็จไปฟังสวดโดยกระบวนแห่ ส่วนพิธีพราหมณ์จะจัดขึ้นตามวิธีไสยศาสตร์ รวม ๔ วัน ณ หอเวทวิทยาคม สถานที่ประกอบพระราชพิธีโสกันต์มีลักษณะดังนี้ เจ้านายที่เป็นพระเจ้าลูกยาเธอชั้นเจ้าฟ้า พระเจ้าลูกเธอชั้นเจ้าฟ้าหรือเทียบเท่าจะทำพิธีสรงน้ำบนเขาไกรลาสจำลอง สำหรับเจ้านายที่เป็นพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกเธอที่ไม่ได้ดำรงพระยศเจ้าฟ้า รวมถึงพระเจ้าหลานเธอและบุตรธิดาของพระอนุวงศ์ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ร่วมโสกันต์ จะสร้างพระแท่นสรงน้ำบนลานมุมพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เมื่อถึงวันโสกันต์เจ้านายที่เข้าพิธีโสกันต์จะแต่งพระองค์เต็มยศ โกนพระเกศารอบจุก เกล้าจุกปักปิ่น สวมมาลัยหรือสวมพระเกี้ยวตามแต่ชั้นยศ เสด็จประทับพระราชยานหรือพระเสลี่ยงเข้ากระบวนแห่ไปประกอบพระราชพิธี โดยโหรจะเป็นผู้ถวายพระฤกษ์ จรดพระกรร บิดพระกรรไกร เมื่อได้ฤกษ์ชาวภูษามาลาจะถอดพระเกี้ยว แล้วแบ่งพระเกศาออกเป็น ๓ ปอยโดยใช้พานเงิน พานทอง และพายนาค แล้วเอาลวดทอง ลวดเงิน ลวดนาค และสายสิญจน์ผูกปลายพระเกศาแต่ละปอยกับแหวนนพรัตน์ และใบมะตูม ปอยแรกให้ประธานในพระราชพิธีตัด ปอยที่สองให้ผู้เป็นใหญ่ในตระกูลตัด และปอยที่สามให้บิดาตัดแล้วจึงโกนพระเกศาให้เรียบร้อย ขณะประกอบพิธีตัดปอยพระเกศาโหรจะลั่นฆ้องไชย เป่าสังข์ แตร ประโคมปี่พาทย์

หลังจากการโสกันต์แล้วพระเจ้าอยู่หัวไปถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ ถวายเครื่องไทยทานแล้วเสด็จไปสรงน้ำที่เขาไกรลาส โดยมีเสนาบดีคอยรับเสด็จสี่คน สมมุติเป็นท้าวจตุโลกบาลเดินเคียงเสลี่ยงไปสรงน้ำ ณ พระแท่นเชิงเขาไกรลาส พราหมณ์ถวายน้ำกลศ (น้ำเทพมนต์) น้ำสังข์ แล้วเสด็จเข้าไปในพลับพลาเปลื้องเครื่องเพื่อผลัดพระภูษา จากนั้นเสด็จขึ้นบนยอดเขาไกรลาสเพื่อเฝ้าพระอิศวรขอประทานพร โดยสมมุติพระบรมวงศ์ใหญ่เป็นพระอิศวรประทับบนพระแท่นบุษบก เสร็จแล้วเสด็จโดยพระราชยานหรือพระเสลี่ยงเข้ากระบวนแห่เวียนรอบเขาไกรลาสจากซ้ายไปขวา ๓ รอบ แล้วจึงเสด็จกลับ ในช่วงบ่ายจะประกอบพิธีเวียนเทียนสมโภช วันรุ่งขึ้นพนักงานจะเชิญพระเกศาไปลอยแม่น้ำ เป็นอันเสร็จสิ้นพระราชพิธีโสกันต์

พระราชพิธีโสกันต์ครั้งสำคัญที่จัดเต็มตามตำราโบราณ คือ พระราชพิธีโสกันต์สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ (สมัยรัชกาลที่ ๔) และต่อมา ด้วยในแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระราชโอรส พระราชธิดาทั้งที่ดำรงพระอิสริยยศชั้นเจ้าฟ้า และพระองค์เจ้าหลายพระองค์ รวมทั้งพระราชพิธีโสกันต์สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ (สมัยรัชกาลที่ ๕) จึงมีแบบแผนที่ชัดเจนและจึงมีลักษณะที่ไม่แตกต่างกันมากนัก


พระราชพิธีโสกันต์สมเด็จฯ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขไทยธรรมราชา

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจัดงานพระราชพิธีโสกันต์เมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ฯทรงมีพระชนมายุ ๑๒ พรรษา ปรากฏหลักฐานในหนังสือราชกิจจานุเบกษาฉบับวันที่ ๑๑ มีนาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๔ (พ.ศ. ๒๔๔๘) [4] ระบุถึงรายละเอียดและลำดับการพระราชพิธีโสกันต์สมเด็จฯเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ฯ ดังนี้

สมเด็จฯเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ฯทรงฉลองพระองค์ ฟังสวดในพระราชพิธีโสกันต์ เกล้าพระเมาฬีประดับพระเกี้ยวยอด ฉลองพระองค์ผ้าตาดแขนยาว ทรงกรองพระศอ ฉลองพระองค์ผ้าตาดขาว ทรงกรองพระศอประดับนพพระอังสารูปหงส์คาบหยาดเพชร ทรงพระสังวาล ทรงพาหุรัด ข้อพระกรสวมปะวะหล่ำ กำไล แหวนรอบและลูกไม้ปลายมือ ทรงพระภูษาโจงหางหงส์ทับสนับเพลาเชิงงอนปักประดับอัญมณี ทรงสายคาดรัดพระองค์ พระปั้นเหน่งเพชร สวมพระธำมรงค์ ๙ นิ้วพระหัตถ์ ทรงชายไหวชายแครง ปักและประดับด้วยชายครุย รอบข้อพระบาทสวมทองพระบาทหัวนาคปะวะหล่ำ แหวนรอบและลูกไม้ข้อพระบาท ทรงถุงพระบาทยาว ฉลองพระบาทปักหุ้มส้น

พระราชพิธีโสกันต์สมเด็จฯเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ฯ จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ – ๗ มีนาคม รศ. ๑๒๔ นับเป็นคราวที่ ๕๒ ในรัชกาลที่ ๕ และเป็นลำดับที่ ๓๑๒ คราวเดียวกันกับพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช เป็นลำดับที่ ๓๑๓ จัดเป็นพิธีโสกันต์ใหญ่มีการจัดเตรียมพระแท่นมณฑลที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในวันที่ ๔ มีนาคม รศ. ๑๒๔ [5]

การเฉลิมพระนามสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ เป็นเจ้าฟ้าต่างกรมมีพระนามจารึกในพระสุพรรณบัฎว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ฯลฯ เจ้าฟ้ากรมขุนศุโขไทยธรรมราชาฯ แล้ว พระสงฆ์สวดชยันโต พราหมณ์เป่าสังข์ และประโคมขับอย่างเวลาโสกันต์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงหลั่งน้ำพระมหาสังข์และทรงเจิมพระราชทาน โปรดเกล้าฯพระราชทานพระสุพรรณบัฏ และทรงสวมสังวาลย์จักรีบรมวงศ์พระราชทานพร้อมด้วยใบประกาศเฉลิมพระนามและเครื่องยศ คือ พระมาลาหุ้มตาดเครื่องลงยาราชาวดี ๑ ฉลองพระองค์ทรงประพาศ ๑ เจียรบาด ๑ ประคำทองคำ ๑๐๘ เม็ด สายทองคำ ๑ สาย พระดิ่ง ๕ มีสายทองคำ ๑ สาย พระตะกรุดลงยาประดับเพชรสายทองคำ ๑ สาย พานหมากเสวยทองคำลงยามีเครื่องพร้อม ๑ หีบหมากเสวยทองคำลงยาพระเกี้ยว๑ พระเต้าน้ำพานรองทองคำลงยา ๑ บ้วนพระโอษฐ์ทองคำลงยา ๑ กากระบอกถาดรองทองคำ ๑ ถาดชาป้านจานรองและจุ๊นรองถ้วย ศิลาทองคำ๑ พระแสงนาค ๓ เศียรฝักทองคำลงยา ๑ พระแสงญี่ปุ่นฝักทองคำลงยา ๑ เสร็จแล้ว สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนศุโขไทยธรรมราชาได้ทูลเกล้าถวายต้นไม้ทองเงิน และดอกไม้ธูปเทียนแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


พระราชพิธีโสกันต์ในสมัยรัชกาลที่ ๗

ต่อมาเมื่อสมเด็จฯเจ้าฟ้าประชาธิปกฯ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชาขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ เจ้านายที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานโสกันต์คือ พระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาต เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๑ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอินทุรัตนา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ และครั้งสุดท้ายในพ.ศ. ๒๔๗๕ พระราชทานแก่พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงสุทธสิริโสภา พระธิดาในสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมหลวงเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองเพียงเล็กน้อย

ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบรัฐธรรมนูญใน พ.ศ. ๒๔๗๕ ราชประเพณีโบราณนี้เป็นอันสุดสิ้นลง พระราชพิธีโสกันต์ไม่มีการจัดอีก เพราะเจ้านายไว้ผมจุกเริ่มมีน้อย เปลี่ยนเป็นไว้ผมยาวเป็นปกติ แต่สมัยนี้พบว่ามีประชาชนบางกลุ่มยังคงสืบทอดประเพณีโกนจุกกุลบุตรกุลธิดาที่โบสถ์พราหมณ์ (เสาชิงช้า) ในทุกปีช่วงเดือนมกราคม


บรรณานุกรม

จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. ๒๕๔๗. ชุมนุมพระราชาธิบายและประชุมพระราชนิพนธ์ ภาคปกิณกะพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ.๒๕๓๘. โคลงดั้นเรื่องโสกันต์ : บาญชีตัดจุก รายพระ นามแลนาม ผู้ซึ่งพระบาทสมเด็จฯพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตัดจุก.กรุงเทพฯ :สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ.

จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ.๒๕๓๘.พระราชพิธีสิบสองเดือน(ปกแข็ง)๒๕๕๒. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ศิลปาบรรณาคาร.

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ (บรรณาธิการ). ๒๕๔๘. “ประกาศการพระราชพิธีลงสรงโสกันต์พระเจ้าลูกเธอ ณ วันพุธเดือนยี่ ขึ้น ๔ ค่ำ ปีจอ จัตวาศก”, ประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔, กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์

นิพัทธพงศ์ พุมมา (เรียบเรียง). ๒๕๕๔. พัฒนาการของการโกนจุกในสัคมไทย พิษณุโลก: ดาวเงิน การพิมพ์.

พูนพิศมัย ดิศกุล, หม่อมเจ้าหญิง. ๒๕๑๗. ประเพณีพิธีไทย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์และทำปกเจริญ ผล.

หนังสือราชกิจจานุเบกษา เล่ม๒๒ วันที่ ๑๑ มีนาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๔ เรี่อง “พระ ราชพิธีมหามงคลการโสกันต์และพระราชทานพระสุพรรณบัฏเฉลิมพระนามสมเด็จ พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ และโสกันต์พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอุรุพงษ์รัชสมโภช.

ราชบัณฑิตยสถาน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๒๕ Bradley Dan Beach, Dr. อักขราภิธานศรับท์ ค.ศ. ๑๘๗๓.


อ้างอิง

  1. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๒๕, หน้า ๘๕๘ กล่าวว่า “โสกันต์” เป็นคำกริยา แปลว่า “โกนจุก ใช้แก่พระองค์เจ้าขึ้นไป” และ หนังสืออักขราภิธานศรับท์หมอบรัดเลย์(Dr. Danbeach Bradley) ฉบับพิมพ์ ค.ศ.๑๘๗๓ ( พ.ศ.๒๔๑๖ ) หน้า ๖๙๓ อธิบายว่า “ โสกันต์ คือ โกนผม ตัดผม, เขาพูดเปนคำสูงสำหรับเจ้าเปนต้น, ตัดผมจุก ว่า โสกันต์”
  2. จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว,พระบาทสมเด็จพระ. พระราชพิธีสิบสองเดือน (ปกแข็ง) ,กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ศิลปาบรรณาคาร , ๒๕๕๒.
  3. หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล, ประเพณีพิธีไทย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์และทำปกเจริญผล, ๒๕๑๗, หน้า ๑๔-๑๘.
  4. หนังสือราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๒๒ , หน้า ๑๑๔๐-๑๑๔๘.
  5. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, คณะอนุกรรมการจัดทำเอกสารและบทความสดุดีบุคคลสำคัญในคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จัดพิมพ์เรื่อง โคลงดั้นเรื่องโสกันต์ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๕ และบาญชีตัดจุก รายพระนามแลนามผู้ซึ่งพระบาทสมเด็จฯพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตัดจุก. กรุงเทพฯ : รุ่งศิลป์การพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๓๘, หน้า ๘๒.