สงครามเวียดนาม

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง จุฬาพร เอื้อรักสกุล


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


สงครามเวียดนาม

สงครามเวียดนาม หมายถึง ความขัดแย้งทางการทหารระหว่างสหรัฐอเมริกากับพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามในช่วงเวลาตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ.1965 เมื่อสหรัฐได้เปลี่ยนลักษณะของความขัดแย้งนี้โดยใช้วิธีการทิ้งระเบิดเวียดนามเหนืออย่างต่อเนื่องจนถึงการลงนามในข้อตกลงสันติภาพปารีสในเดือนมกราคม ค.ศ. 1973[1] สงครามนี้ได้เห็นถึงการเข้ามาเกี่ยวข้องของทุกมหาอำนาจในยุคสงครามเย็นซึ่งทำให้ความขัดแย้งนี้ยิ่งทวีความซับซ้อน รุนแรง และยืดเยื้อยาวนาน ประเทศไทยก็ได้มีบทบาทสำคัญในสงครามนี้ โดยการเป็นผู้สนับสนุนที่แข็งขันและเป็นฐานปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐในสมรภูมิรบเวียดนาม

สหรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในเวียดนามตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ตามนโยบายสกัดกั้นการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในเอเชีย ความมุ่งมั่นของสหรัฐที่จะต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ในเวียดนามเพราะเห็นว่าถ้าไม่รบในเวียดนาม เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมดจะตกอยู่ใต้อิทธิพลจีนซึ่งหมายถึงว่าเอเชียทั้งหมดจะพ่ายแก่คอมมิวนิสต์ด้วย ส่วนการต่อสู้ของเวียดนามเหนือก็ได้รับความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียตและโดยเฉพาะจากจีน ความช่วยเหลือของจีนเกิดจากความเป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์และที่สำคัญยิ่งกว่าคือผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของจีนที่ต้องการให้พรมแดนจีน - เวียดนามมีความปลอดภัย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนต้องการขจัดอิทธิพลสหรัฐจากเอเชีย ดังนั้น ความกังวลด้านความมั่นคงของจีนนอกเหนือจากไต้หวันแล้วก็คืออินโดจีน[2]

รัฐบาลไทยตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1950 ได้สนับสนุนให้สหรัฐเข้ามาป้องกันคอมมิวนิสต์ในอินโดจีนเพราะต้องการป้องกันพรมแดนด้านตะวันออกให้ปลอดจากคอมมิวนิสต์ ผู้นำรัฐบาลทหารไทยยังเชื่อด้วยว่าเวียดนามเหนือต้องการขยายอิทธิพลคอมมิวนิสต์เข้ามาไทยโดยได้รับการสนับสนุนจากจีน ในกลางทศวรรษ 1950 ภัยคุกคามจากเวียดนามเหนือที่ผู้นำทหารมักอ้างถึง คือการรุกเข้าไปในดินแดนลาวของกองกำลังคอมมิวนิสต์เวียดนามและการเผยแพร่อิทธิพลคอมมิวนิสต์ในหมู่ชาวเวียดนามในภาคอีสาน[3] อย่างไรก็ตาม เหตุผลอื่นที่สำคัญเท่าเทียมกัน คือ ผู้นำทหารไทยคาดหวังความช่วยเหลือด้านการทหารและอื่นๆ จากสหรัฐ

การรบระหว่างฝ่ายคอมมิวนิสต์เวียดนามกับเวียดนามใต้ที่มีสหรัฐเป็นผู้สนับสนุนได้ถึงจุดเปลี่ยนสำคัญหลังเหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ยในเดือนสิงหาคม 1964 ที่สหรัฐกล่าวหาว่าเรือตอร์ปิโดของเวียดนามเหนือยิงเรือรบอเมริกัน สหรัฐตอบโต้ด้วยการทิ้งระเบิดเวียดนามเหนือและในต้นปีต่อมา การทิ้งระเบิดได้เกิดขึ้นต่อเนื่อง พร้อมกันนั้น สหรัฐก็ส่งทหารมาภาคใต้เพื่อทำลายกองกำลังฝ่ายคอมมิวนิสต์ ในเดือนมกราคม 1969 ทหารเหล่านี้มีจำนวนมากกว่าครึ่งล้านคน การส่งทหารอเมริกันมารบในเวียดนามทำให้สหรัฐเห็นคุณค่าทางยุทธศาสตร์ของไทย คือ การตั้งอยู่ใกล้สมรภูมิซึ่งทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการทหาร ไทยจึงได้รับบทบาทการเป็นผู้ให้บริการสหรัฐใน 3 ด้าน คือ การให้ที่ตั้งฐานทัพ, ที่ตั้งอุปกรณ์สืบราชการลับ และศูนย์พักผ่อนและพักฟื้นของทหารอเมริกัน จำนวนทหารอเมริกันภาคพื้นดินสูงสุดในปี 1968 คือ 11,494 คน และทหารอากาศสูงสุดในปี 1969 คือ 33,500 จำนวนเครื่องบินอเมริกันในปี 1969 มีประมาณ 600 เครื่อง สหรัฐได้สิทธิใช้ฐานทัพในไทย 7 แห่ง คือ ดอนเมือง โคราช นครพนม ตาคลี อุบลราชธานี และอุดรธานี มีการประมาณการว่าโดยรวมแล้วประมาณ 80% ของการทิ้งระเบิดของสหรัฐในเวียดนามไปจากฐานทัพในไทย[4] รัฐบาลไทยยังส่งทหารร่วมรบกับสหรัฐในเวียดนามด้วยซึ่งเริ่มจากจำนวน 2,207 คน ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1967 และสูงสุดในต้นปี 1969 คือมากกว่า 11,000 คน

ความร่วมมือกับสหรัฐในสงครามเวียดนามซึ่งเกี่ยวข้องกับทั้งเรื่องอธิปไตย ความมั่นคง และเกียรติภูมิแห่งชาติเกิดจากการกำหนดนโยบายในวงแคบที่สุดและมีลักษณะไม่เป็นทางการ ในช่วงเวลานี้ รัฐบาลทหารยังคุมอำนาจภายในได้มั่นคง นโยบายด้านความมั่นคงก็ถูกจำกัดในกลุ่มทหาร การตัดสินใจเรื่องเวียดนาม รวมทั้งการให้สหรัฐใช้สิ่งเกื้อหนุนการทำสงครามในประเทศไทยเกิดในกลุ่มผู้นำทหารและโดยเฉพาะผู้นำสูงสุด 3 คน คือ จอมพลถนอม กิตติขจร (นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหม และผู้บัญชาการทหารสูงสุด), จอมพลประภาส จารุเสถียร (รองนายกรัฐมนตรี, ผู้บัญชาการทหารบกและรัฐมนตรีมหาดไทย) และ พล.อ. ทวี จุลทรัพย์ (รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารอากาศ และรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย) การเจรจาทำข้อตกลงต่างๆ แทบทั้งหมดเกิดขึ้นระหว่างผู้นำทหารและสถานทูตสหรัฐในประเทศไทย ข้อตกลงสำคัญโดยเฉพาะการใช้ฐานทัพส่วนใหญ่ไม่มีลายลักษณ์อักษรและไม่เปิดเผยในเวลานั้น[5] เป็นไปได้ว่า การตัดสินใจนี้ในแง่หนึ่ง บุคคลเหล่านี้มีความเชื่ออย่างลึกซึ้งต่อภัยจากจีนและเวียดนามเหนือ และการส่งทหารไปรบในเวียดนามถูกอธิบายว่าเป็นการป้องกันคอมมิวนิสต์ให้ห่างไกลจากดินแดนไทยให้มากที่สุด[6] ในอีกแง่หนึ่ง การสนับสนุนสหรัฐในเวียดนามช่วยเสริมสร้างความมั่นคงแก่รัฐบาลทหารเพราะความช่วยเหลือจากสหรัฐมุ่งเป้าที่ความมั่นคงและโดยเฉพาะการเสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่ทหารไทย ยิ่งกว่านั้น การลงทุนมหาศาลในไทยในด้านอุปกรณ์เกื้อหนุนสงครามทำให้สหรัฐต้องช่วยรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของประเทศกับรัฐบาลไปด้วย เมื่อนโยบายเวียดนามถูกกำหนดจากทัศนะและผลประโยชน์ของทหารเช่นนี้จึงไม่น่าแปลกใจว่า ประเทศไทยแทบไม่ได้ปรับตัวเลยเมื่อสหรัฐส่งสัญญาณปรับเปลี่ยนนโยบายการทำสงครามซึ่งเห็นชัดตั้งแต่ปี 2512 แต่ผู้นำทหารไทยยังเรียกร้องต่อไปให้สหรัฐใช้นโยบายแข็งกร้าวในสงคราม

อย่างไรก็ตาม สงครามเวียดนามได้ก่อกระแสการคัดค้านและต่อต้านในกลุ่มนักคิด นักเขียน นักวิชาการ และนักศึกษามหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่งซึ่งจะขยายวงกว้างและรุนแรงขึ้นพร้อมๆ กับการขยายตัวของสงคราม ในทัศนะคนเหล่านี้ รัฐบาลทหารร่วมมือกับสหรัฐทำสงครามที่ไร้ความชอบธรรมและไร้ศีลธรรม การต่อสู้ของชาวเวียดนามและอินโดจีนเป็นการต่อสู้เพื่อเอกราชช ยิ่งกว่านั้น ฐานทัพและทหารอเมริกันในไทยได้ทำให้ไทยเสียเอกราชและอธิปไตย อีกทั้งสร้างความเสื่อมโทรมในสังคมด้วย[7]

เมื่อสงครามเวียดนามยุติตามข้อตกลงปารีสในเดือนมกราคม 1973 และสหรัฐถอนทหารจากไทยในเวลาต่อมานั้น ประเทศไทยได้รับผลสะเทือนมากที่สุด ทั้งเพราะได้ร่วมในสงครามและได้ผูกพันความมั่นคงของประเทศไว้กับสหรัฐมายาวนาน และเหนืออื่นใดคือความโกรธแค้นเกลียดชังไทยของชาวอินโดจีน 3 ประเทศ ชัยชนะของฝ่ายคอมมิวนิสต์ในอินโดจีนยังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในดุลอำนาจด้านภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย รัฐบาลพลเรือนในยุคหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 1973 จึงต้องเผชิญกับภาวะยากลำบากยิ่งในการปรับตัวให้อยู่กับประเทศเพื่อนบ้าน

อ้างอิง

  1. จุดเริ่มต้นของสงครามเวียดนาม เริ่มตั้งแต่การต่อสู้ของชาวเวียดนามที่ป้องกันมิให้ฝรั่งเศสกลับมารื้อฟื้นระบอบอาณานิคมอีกหลังจากการสิ้นสุดของสงครามแปซิฟิก สหรัฐเข้ามาให้ความช่วยเหลือด้านการทหารแก่ฝรั่งเศสจนกระทั่งฝรั่งเศสถอนตัวออกไปตามข้อตกลงเจนีวา ค.ศ. 1954 ข้อตกลงนี้กำหนดให้แบ่งเวียดนามชั่วคราวที่เส้นขนาน 17 องศา และให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อกำหนดอนาคตประเทศภายใน 2 ปี สหรัฐคว่ำบาตรข้อตกลงนี้เพราะเห็นว่าเป็นการยอมรับให้เกิดรัฐคอมมิวนิสต์ขึ้นมาในภาคเหนือของเวียดนาม ดังนั้นจึงสนับสนุนการก่อตั้งรัฐในภาคใต้ขึ้นรวมทั้งสนับสนุนรัฐบาลเวียดนามใต้ในการใช้มาตรการทางทหารปราบฝ่ายคอมมิวนิสต์ ผลก็คือการรบระหว่างเวียดนามทั้ง 2 รุนแรงขึ้นตามลำดับเพราะรัฐบาลคอมมิวนิสต์ในภาคเหนือมีนโยบายรวมประเทศอย่างแน่วแน่ โปรดดูรายละเอียดใน Paul Kattenburg, The Vietnam Trauma in American Foreign Policy, 1945 – 75, (News Brunswick, NJ: Transaction Books, 1980), Gabriel Kolko, Intervention : Anatomy of a war 1940 – 1975, (London: Allem&Unein, 1986
  2. การก่อตั้งระบอบใหม่ภายหลังการต่อสู้นองเลือดยาวนานทำให้ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนหวาดระแวงภัยความมั่นคงมาก โดยเฉพาะจากสหรัฐตั้งแต่สงครามเกาหลีที่จีนส่งทหารเข้ารบกับสหรัฐในปลายปี 1950 มีการศึกษาที่ชี้ว่าทัศนะการมองภัยการถูกรุกรานด้านการทหารจากสหรัฐบ่อยครั้งเลยเกิดจนเป็นจินตนาการซึ่งทำให้ผู้นำจีนเตรียมพร้อมตอบโต้ทั้งด้านการเมืองและการทหารอย่างจริงจัง โปรดดูใน Shuguang Zang, “Treat Perception and Chinese Communist Foreign Policy”, in Melvyn P. Lettler and David S. Painter, Origins of the Cold War, (London: Routledge, 1994)
  3. การรุกรานไปดินแดนลาวและกัมพูชาหลายครั้ง ในปี 1953 – 1954 เป็นยุทธวิธีหนึ่งของฝ่ายคอมมิวนิสต์เวียดนามในการต่อสู้กับกองกำลังฝรั่งเศส และในบางครั้งได้ยึดเมืองลาวไว้ระยะหนึ่งด้วย เช่น ในเดือนธันวาคม 1953 ได้ยึดเมืองท่าแขกซึ่งอยู่บนแม่น้ำโขงใกล้กับชายแดนไทย ดู William J. Duiker, The Communist Road to Poueer in Vietnam, (Boulder: Westview Press, 1981), pp. 157-160 อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยตื่นตระหนกต่อเหตุการณ์โดยเห็นว่าเป็นเรื่อง “ร้ายแรงและกระทบต่อความมั่นคงของประเทศไทยโดยตรง” จนมีการประกาศภาวะฉุกเฉินใน 9 จังหวัดชายแดนภาคอีสาน และในเดือนพฤษภาคม 1954 ได้ขอให้สหประชาชาติพิจารณาเรื่องนี้ แต่ไร้ผลเพราะสหภาพโซเวียตใช้สิทธิยังยั้ง นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังกลัวว่าชาวเวียดนามราว 50,000 คนที่อาศัยในภาคอีสานอาจถูกชักจูงให้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความขัดแย้งนี้ด้วย ดู โอวาด สุทธิวาทนฤพุฒิ, “การเข้าเป็นภาคีของประเทศไทยในสนธิสัญญาการป้องกันร่วมกันแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สปอ.)”, ใน ฉันทิมา อ่องสุรักษ์, นโยบายต่างประเทศบนทางแพร่ง, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2533) หน้า 91-93.
  4. R. Sean Randolph, The United States and Thailand Alliance Dynamics, 1950 – 1985, (Institute of East Asian Studies, University of California, Berkeley, 1986), Chapter 3, pp. 49 - 81.
  5. สัมภาษณ์จอมพลถนอม กิตติขจร, 9 กันยายน 1985 และดูด้วยใน Randolph, op.cit, pp. 72 - 73.
  6. John Funston, Thai Foreign Policy from Sarit to Seni, Phd thesis, Department of international Relations, the Australian National University, 1989, p.239.
  7. โปรดดูรายละเอียดใน พวงทอง รุ่งสวัสดิทรัพย์ ภวัคพันธ์, สงครามเวียดนาม: สงครามกับความเป็นจริงของ “รัฐไทย”, (กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2549) และโสภา ชานะมูล, “ชาติไทย” ในทัศนะปัญญาชนหัวก้าวหน้า, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน, 2550)