แนวร่วมสังคมนิยม (พ.ศ. 2517)
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
พรรคแนวร่วมสังคมนิยม
พรรคแนวร่วมสังคมนิยมจดทะเบียนพรรคการเมืองเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2517[1] โดยมีนายแคล้ว นรปติ เป็นหัวหน้าพรรค พรรคแนวร่วมสังคมนิยมได้ส่งผู้สมัครลงแข่งขันเลือกตั้งผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2518 จำนวน 74 คน ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็นจำนวน 10 คน ซึ่งทั้งหมดเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด ในส่วนสมาชิกพรรคแนวร่วมสังคมนิยมที่ได้รับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519 มีจำนวน 1 คนลดลงจากเดิม 9 ที่นั่ง จากจำนวนผู้สมัครทั้งหมดของพรรคจำนวน 37 คน[2] ได้แก่ นายแคล้ว นรปติ จากจังหวัดขอนแก่น
ในช่วงที่พรรคแนวร่วมสังคมนิยมมีบทบาทในทางการเมืองนั้น พรรคดังกล่าวมิได้มีบทบาทในฐานะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลแม้แต่เพียงครั้งเดียว กล่าวคือเป็นการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองในฐานะฝ่ายค้านทั้งในสมัยหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช และหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช[3] นั่นเอง
ในช่วงระหว่างปี 2522- 2524 สมาชิกพรรคแนวร่วมสังคมนิยมได้เข้ารวมตัวกับสมาชิกพรรคสังคมนิยมและจัดตั้งกลุ่มทางการเมืองที่เรียกตัวเองว่ากลุ่มสังคมประชาธิปไตยเพราะในช่วงระยะเวลาดังกล่าวยังไม่มีกฎหมายพรรคการเมือง จึงไม่มีการจดทะเบียนพรรค ต่อมาเมื่อมีพระราชบัญญัติพรรคการเมืองเกิดขึ้น กลุ่มดังกล่าวจึงได้ยื่นเรื่องจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้น เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2525 โดยใช้ชื่อว่าพรรคสังคมประชาธิปไตย
อนึ่ง ชื่อพรรคแนวร่วมสังคมนิยมนั้น เคยได้ถูกนำมาใช้เรียกการรวมตัวกันในลักษณะของแนวร่วม เมื่อเดือนกันยายน ปี 2499 ซึ่งประกอบด้วยพรรคเศรษฐกร พรรคขบวนการไฮด์ปาร์ค พรรคสังคมประชาธิปไตย พรรคเสรีประชาธิปไตย โดยมีนายเทพ โชตินุชิต เป็นหัวหน้ากลุ่มดังกล่าว ต่อมาการรวมกลุ่มดังกล่าวก็ต้องถูกยกเลิกไปเมื่อเกิดการรัฐประหาร 20ตุลาคม พ.ศ. 2501 ที่นำโดยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัตน์ ได้สั่งให้ยกเลิกพรรคการเมือง
แนวนโยบายและการดำเนินการ[4]
ด้านการเมือง ทางพรรคมีนโยบายในการสนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ให้เสรีภาพในการพูด เขียน โฆษณา นับถือลัทธิทางการเมืองศาสนาและต้องการขจัดอิทธิพลของต่างชาติ
ด้านการปกครอง
1.จัดระบบการบริหารการเมืองในแบบประชาธิปไตยแต่ในด้านเศรษฐกิจจะเป็นไปในรูปแบบสังคมนิยม
2.สร้างการมีส่วนทางการเมืองของประชาชนโดยจัดให้มีการเลือกตั้งในทุกระดับ
3.ไม่สนับสนุนการจัดกำลังทหารเพื่อเตรียมการทำสงคราม
ด้านเศรษฐกิจ
1.สถาบันทางการเงินต่างๆต้องดำเนินการภายใต้การนำของรัฐ สนับสนุนให้เอกชนมีการรวมตัวกันในรูปแบบสหกรณ์
2.รัฐต้องจัดสรรทรัพยากรต่างๆให้ประชาชนอย่างเหมาะสม
3.ส่งเสริมสหกรณ์การพาณิชย์
4.สนับสนุนการค้าระหว่างประเทศที่กระทำโดยรัฐหรือสหกรณ์
ด้านเกษตรกรรม รัฐต้องจัดสรรที่ดินให้เกษตรกรมีที่ดินเป็นของตนเอง ปลดเปลื้องหนี้สินของเกษตรกรอย่างเป็นธรรม ส่งเสริมการผลิตและแรงงานการผลิตทางการเกษตรให้มีประสิทธิภาพ
ด้านอุตสาหกรรมและหัตกรรม รัฐต้องเป็นผู้ดำเนินการอุตสาหกรรมขั้นพื้นฐาน เร่งพัฒนาอุตสาหกรรมที่ส่งเสริมการเกษตร ไม่รับการลงทุนของต่างประเทศที่มีลักษณะเอารัดเอาเปรียบ สร้างความเป็นธรรมให้กับแรงงานในภาคอุตสาหกรรม
ด้านแรงงาน
1.ประกันสวัสดิภาพ สวัสดิการโดยเท่าเทียมกัน
2.ส่งเสริมการตั้งสหภาพแรงงาน
3.กำหนดค่าแรงค่าจ้างให้ผู้ใช้แรงงานทุกประเภท
4.ดูแลผู้ใช้แรงงานเมื่อถึงวัยชราหรือทุพพลภาพ
5.คุ้มครองแรงงานสตรีและเยาวชน
ด้านการศึกษา
1.ส่งเสริมการศึกษาให้แก่ประชาชนโดยไม่คิดมูลค่า
2.ส่งเสริมการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ ประชาธิปไตย ภาษาทั้งของชนชาติส่วนน้อยและภาษาไทย
ด้านสาธารณสุข
1.ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์อย่างทั่วถึง
2.จัดหาเวชภัณฑ์แบบให้เปล่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย
3.ผลิตแพทย์ให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน
4.สนับสนุน ส่งเสริมและพัฒนาแพทย์แผนโบราณ
ด้านต่างประเทศ เป็นมิตรกับทุกประเทศ ไม่แทรกแซงทางการเมือง เศรษฐกิจและการทหาร ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศที่มีพันธะ