สวนไกลกังวลสมัยรัชกาลที่ 7

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง : ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ


สวนไกลกังวลสมัยรัชกาลที่ 7

                   พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี โปรดเสด็จประพาสชายทะเลหัวหินมาตั้งแต่ยังมิได้เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ ดังนั้นทั้งสองพระองค์จึงทรงทราบดีว่า หัวหินขาดแคลนน้ำจืด ดังนั้นเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ได้มินาน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติการจัดสภาบำรุงสถานที่ชายทะเลฝั่งทิศตะวันตก พุทธศักราช 2469 เพื่ออนุวัตรตามแนวพระราชดำริให้ประเทศสยามปกครองในระบอบประชาธิปไตยในภายหน้าใช้ชื่อว่า “สภาบำรุงสถานที่ชายฝั่งทะเลทิศตะวันตก” เสมือนเป็นการทดลองการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่นในรูปแบบของ “municipality” หรือ “ประชาภิบาล” (ภายหลังเรียกว่า “เทศบาล”) “เพื่อให้ราษฎรรู้จักการควบคุมกิจการท้องถิ่นด้วยตัวเองก่อนที่เขาจะพยายามควบคุมราชการแผ่นดินโดยผ่านทางรัฐบาล” สภาบำรุงฯ นี้มีภารกิจครอบคลุมตั้งแต่หัวหินถึงชะอำเป็นโครงการนำร่องการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่นในรูปแบบเทศบาล

                   พร้อมกันนั้นรัชกาลที่ 7 มีพระราชประสงค์สร้างที่ประทับส่วนพระองค์พระราชทานสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี รัชกาลที่ 7 จึงโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากร ผู้อำนวยการศิลปากรสถานแห่งราชบัณฑิตยสภาเป็นสถาปนิกโดยใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จากพระคลังข้างที่ เริ่มก่อสร้างตั้งแต่พุทธศักราช 2469 จนถึง 2471 โปรดให้สร้างที่ประทับและอาคารแวดล้อม ประทานชื่อว่า “สวนไกลกังวล” เนื่องจากทรงตั้งพระราชหฤทัยสร้างเพื่อพระราชทานแด่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี มีตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์ “เมฆรัศมี” รูปแสงพระอาทิตย์ส่องผ่านก้อนเมฆขาวประดับตกแต่งหลายแห่งที่วังไกลกังวล

                   สวนไกลกังวล มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบสเปน เช่น มีการใช้หลังคาบางส่วนเป็นรูปโค้ง การทำลานโล่ง (Court yard) ที่ดัดแปลงให้เหมาะสมกับภูมิอากาศร้อนชื้นของไทย เป็น “บ้าน” ที่มีความภูมิฐานแต่อ่อนโยนมากกว่าพระราชวังใหญ่โตและเคร่งครัดในระเบียบแบบแผน เมื่อแล้วเสร็จสมบูรณ์ประกอบด้วย พระตำหนักที่ประทับ ตำหนักเจ้านาย เรือนหลวง พระราชทานนามคล้องจองกันว่า “เปี่ยมสุข ปลุกเกษม เอิบเปรม เอมปรีดิ์” และท้องพระโรง นามว่า “ศาลาเริง” พระตำหนักต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นพระตำหนักที่แสดงให้เห็นถึงความละเอียดลออของสถาปนิก ที่ใช้วัสดุในการก่อสร้างอย่างเหมาะสมกับท้องถิ่น เช่น การประดับด้วยหินก้อนใหญ่ที่ฐานเพื่อแสดงความหนักแน่นของอาคารแล้วค่อยกลายเป็นผิวฉาบปูนปาดแกรียงรูปโค้ง มีการใช้รูปโค้งประกอบทั้งส่วนของช่องเปิดตามที่ต่าง ๆสอดรับกับรูปโค้งของหลังคาบางส่วน นอกจากนั้นยังมีรายละเอียดที่น่าสนใจในองค์ประกอบสถาปัตยกรรม เช่น จันทัน ฝ้าเพดาน ทับหลัง บัวน้ำตก เป็นต้น นับเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับงานสถาปัตยกรรมในรัชกาลที่ 7 นอกจากพระตำหนักต่าง ๆ แล้ว ยังมีสวนหน้าพระตำหนักเปี่ยมสุข ที่จัดทำเป็นสวนแบบตะวันตกเป็นลวดลายแบบเรขาคณิต ไม้พุ่มได้รับการตกแต่งเป็นรูปทรงต่าง ๆ มีศาลาระหว่างพระตำหนักเปี่ยมสุขและพระตำหนักน้อยทรงมีทางเท้าเดินเชื่อมต่อกัน ปลูกต้นปาลม์ 2 ข้างและมีส่วนประดับภูมิทัศน์ ได้แก่ รูปงานประติมากรรมแกะสลักหินของบาหลี อุปกรณ์การเดินเรือ และนาฬิกาแดดโบราณ เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีโคมไฟ และหินก้อนใหญ่รูปทรงงดงามประดับตามทางเดินและสอดแทรกไปตามส่วนต่าง ๆ อย่างน่าสนใจ

                   หลังจากนั้น รัชกาลที่ 7 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข ระหว่างวันที่ 10 - 11 เมษายน พุทธศักราช 2472 มีการแสดงดนตรีไทย ดนตรีสากล และการแสดงรีวิวไกลกังวล เป็นงานรื่นเริงในหมู่พระประยูรญาติและข้าราชบริพารผู้ใกล้ชิดเป็นการส่วนพระองค์ ปรากฎหลักฐานทั้งภาพถ่ายและภาพยนตร์ในสมัยนั้น

                   นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี โปรดเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับ ณ วังไกลกังวล อยู่เนื่องนิจ ทรงสำราญพระราชหฤทัยท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ของชายทะเลหัวหิน ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวยังเคยทรงสั่งราชการและประชุมเสนาบดีจากสวนไกลกังวลด้วย

                   เช้าตรู่ของวันที่ 24 มิถุนายน พุทธศักราช 2475 อยู่ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับ ณ สวนไกลกังวล หัวหิน

                   ส่วนทางพระนคร คณะราษฎรได้ยึดอำนาจการปกครองประเทศ “เพื่อจะให้ประเทศสยามมีธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน” และมอบหมายให้นาวาตรีหลวงศุภชลาศัย (บุง ศุภชลาศัย) นำเรือรบหลวงสุโขทัยเชิญหนังสือไปกราบบังคมทูลเชิญให้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดินต่อไป และกราบบังคมทูลเชิญเสด็จกลับพระนคร เพื่อกลับไปเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ทั้งสองพระองค์จึงเสด็จนิวัติพระนครโดยรถไฟพระที่นั่งถึงสถานีหลวงจิตรลดา เวลา 00.35 น. ของวันที่ 26 มิถุนายน พุทธศักราช 2475 วันต่อมาคือ 27 มิถุนายน รัชกาลที่ 7 ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินชั่วคราว

                   ครั้นต่อมา เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พุทธศักราช 2476 เกิดเหตุการณ์กบฏบวรเดช พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ประทับที่สวนไกลกังวล เมื่อทหารจากหัวเมืองนำโดยพระองค์เจ้าบวรเดช กับทหารฝ่ายรัฐบาลได้รบพุ่งกันที่ทุ่งดอนเมือง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสลดพระทัยยิ่งนักเพื่อให้พ้นจากสองฝ่ายจึงเสด็จฯ โดยเรือศรวรุณ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ท่ามกลางอากาศอันเลวร้ายเป็นเวลากว่าสองวันจึงถึงจังหวัดสงขลา และเสด็จประทับ ณ พระตำหนักเขาน้อย สงขลา เพื่อรอให้เหตุการณ์กบฏบวรเดชสงบลง

                   สวนไกลกังวล จึงนับว่าเป็นชื่อเรียกพระราชนิเวศน์ที่ทรงใช้แปรพระราชฐานให้ห่างจากพระนครเพื่อไกลจากความกังวลที่บังเกิดขึ้นทั้งช่วงก่อนและหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง


บรรณานุกรม

กรรณิการ์ ตันประเสริฐ. จดหมายเหตุวังไกลกังวลสมัยรัชกาลที่ 7 กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน ,2546.

แน่งน้อย ศักดิ์ศรี, ม.ร.ว. “สถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว” เอกสารประกอบการเสวนาเรื่อง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกับศิลปกรรม จัดโดยสำนักบรรณสารสนเทศ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช,2542.

แน่งน้อย ศักดิ์ศรี และคณะ องค์ประกอบทางกายภาพกรุงรัตนโกสินทร์ พระนคร : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2534.

พฤทธิสาณ ชุมพล, ม.ร.ว. “หัวหินและวังไกลกังวลสมัยรัชกาลที่ 7” รายงานกิจการของมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ประจำปี 2542.


index.php?title=หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมือง index.php?title=หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2475-2500 index.php?title=หมวดหมู่:ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ index.php?title=หมวดหมู่:พระปกเกล้าศึกษา index.php?title=หมวดหมู่:สารานุกรม คำศัพท์ต่าง ๆ