ผลต่างระหว่างรุ่นของ "6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 26: บรรทัดที่ 26:
การกำหนดจำนวนถึง “สองในห้า” ของสมาชิกจึงนับว่ามากไป ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ายค้านยังมีเสียงไม่ถึง 1 ใน 4 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นจำนวนที่ระบุไว้ในมาตรา 304 ของรัฐธรรมนูญที่จะมีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อ[[ประธานวุฒิสภา]] เพื่อให้ถอดถอนบุคคลที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและข้าราชการระดับสูง ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 303 ของรัฐธรรมนูญอีกด้วย ซึ่งบุคคลเหล่านี้ก็มีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีรวมอยู่ด้วย
การกำหนดจำนวนถึง “สองในห้า” ของสมาชิกจึงนับว่ามากไป ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ายค้านยังมีเสียงไม่ถึง 1 ใน 4 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นจำนวนที่ระบุไว้ในมาตรา 304 ของรัฐธรรมนูญที่จะมีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อ[[ประธานวุฒิสภา]] เพื่อให้ถอดถอนบุคคลที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและข้าราชการระดับสูง ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 303 ของรัฐธรรมนูญอีกด้วย ซึ่งบุคคลเหล่านี้ก็มีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีรวมอยู่ด้วย


การที่พรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้งได้เสียงดังที่กล่าวมาแล้วนี้แทนที่จะทำให้รัฐบาลของพรรคไทยรักไทยในสมัยที่ 2 มีเสถียรภาพทางการเมืองมากดังที่มีคนคาดการณ์ไว้กลับ ปรากฏว่าพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลต่อมาได้ประมาณหนึ่งปีก็พบกันแรงค้านในสภาและการชุมนุมต่อต้านนอกสภา จนนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร ต้องหาทางแก้ปัญหาทางการเมืองโดยการ[[ยุบสภา]]ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 เพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ ทั้ง ๆ ที่บริหารประเทศภายหลังการเลือกตั้งมาได้ไม่ถึงหนึ่งปี และการเลือกตั้งทั่วไปที่มีขึ้นมาใหม่ในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 ก็เป็นการเลือกตั้งที่พรรคฝ่ายค้านเดิม 3 พรรคร่วมกัน[[ประท้วง]]โดยไม่ยอมลงแบ่งปันด้วย และเป็นการเลือกตั้งที่[[ศาลรัฐธรรมนูญ]]วินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
การที่พรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้งได้เสียงดังที่กล่าวมาแล้วนี้แทนที่จะทำให้รัฐบาลของพรรคไทยรักไทยในสมัยที่ 2 มีเสถียรภาพทางการเมืองมากดังที่มีคนคาดการณ์ไว้กลับ ปรากฏว่าพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลต่อมาได้ประมาณหนึ่งปีก็พบกันแรงค้านในสภาและการชุมนุมต่อต้านนอกสภา จนนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร ต้องหาทางแก้ปัญหาทางการเมืองโดยการ[[ยุบสภา]]ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 เพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ ทั้ง ๆ ที่บริหารประเทศภายหลังการเลือกตั้งมาได้ไม่ถึงหนึ่งปี และการเลือกตั้งทั่วไปที่มีขึ้นมาใหม่ในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 ก็เป็นการเลือกตั้งที่พรรคฝ่ายค้านเดิม 3 พรรคร่วมกัน[[ประท้วง]]โดยไม่ยอมลงแข่งขันด้วย และเป็นการเลือกตั้งที่[[ศาลรัฐธรรมนูญ]]วินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ




[[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2520-ปัจจุบัน]]
[[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2520-ปัจจุบัน]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 13:32, 22 ตุลาคม 2556

ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 เป็นวันเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 21 เป็นการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น เพราะอายุของสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ได้รับการเลือกตั้งมาเมื่อ พ.ศ. 2544 ครบวาระ 4 ปี ในวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2548 จึงเป็นการเลือกตั้งอันเนื่องมาจากสภาฯ อยู่ครบวาระที่หาได้ยากมากในประเทศไทย ในการเลือกตั้งครั้งนี้ก็เป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 2 ของการใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 จึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งรูปแบบและเขตเลือกตั้งเหมือนกับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งก่อน นายกรัฐมนตรีขณะที่มีการเลือกตั้งครั้งนี้ได้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พรรคการเมืองที่เป็นคู่แข่งสำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้แก่พรรคไทยรักไทยที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเพราะมีพรรคอื่นยุบมารวม และเป็นพรรครัฐบาล กับพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นพรรคฝ่ายค้านสำคัญ และมีนายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรค

การเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งมีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย เป็น 44,572,101 คน และมีผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งจริง 32,341,330 คน คิดเป็นอัตราร้อยละ 72.56 นับว่ามากกว่าการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีก่อน ผลการเลือกตั้งหลังการประกาศรับรองผลของคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีดังนี้

1. พรรคไทยรักไทย ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรวมกัน 377 คน

2. พรรคประชาธิปัตย์ ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรวมกัน 96 คน

3. พรรคชาติไทย ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรวมกัน 25 คน

4. พรรคมหาชน ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเฉพาะเขตเล็ก 2 คน

รวม 500 คน

ดังนั้น เมื่อเปิดการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พรรคไทยรักไทยเพียงพรรคการเมืองเดียวก็ตั้งรัฐบาลได้ ในวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2548 มีการแต่งตั้ง พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อมาทันที พรรคการเมืองอื่น 3 พรรคจึงเป็นพรรคฝ่ายที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคฝ่ายค้านหลัก การที่พรรคไทยรักไทยชนะมากได้เสียงในสภาผู้แทนราษฎรเกินกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดก็ทำให้รัฐบาลของพรรคไทยรักไทยสามารถบริหารงานโดยพรรคฝ่ายค้านแทบจะตรวจสอบอะไรนายกรัฐมนตรีไม่ได้ เพราะจำนวนสมาชิกพรรคฝ่ายค้าน 123 คนนั้นมีไม่พอที่จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 185 บัญญัติว่า

“สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าสองในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร มีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี...”

การกำหนดจำนวนถึง “สองในห้า” ของสมาชิกจึงนับว่ามากไป ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ายค้านยังมีเสียงไม่ถึง 1 ใน 4 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นจำนวนที่ระบุไว้ในมาตรา 304 ของรัฐธรรมนูญที่จะมีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภา เพื่อให้ถอดถอนบุคคลที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและข้าราชการระดับสูง ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 303 ของรัฐธรรมนูญอีกด้วย ซึ่งบุคคลเหล่านี้ก็มีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีรวมอยู่ด้วย

การที่พรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้งได้เสียงดังที่กล่าวมาแล้วนี้แทนที่จะทำให้รัฐบาลของพรรคไทยรักไทยในสมัยที่ 2 มีเสถียรภาพทางการเมืองมากดังที่มีคนคาดการณ์ไว้กลับ ปรากฏว่าพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลต่อมาได้ประมาณหนึ่งปีก็พบกันแรงค้านในสภาและการชุมนุมต่อต้านนอกสภา จนนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องหาทางแก้ปัญหาทางการเมืองโดยการยุบสภาในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 เพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ ทั้ง ๆ ที่บริหารประเทศภายหลังการเลือกตั้งมาได้ไม่ถึงหนึ่งปี และการเลือกตั้งทั่วไปที่มีขึ้นมาใหม่ในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 ก็เป็นการเลือกตั้งที่พรรคฝ่ายค้านเดิม 3 พรรคร่วมกันประท้วงโดยไม่ยอมลงแข่งขันด้วย และเป็นการเลือกตั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ