ผลต่างระหว่างรุ่นของ "29 มกราคม พ.ศ. 2481"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
บรรทัดที่ 6: บรรทัดที่ 6:


----
----
วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2481 เป็นวันที่มีการจับกุมผู้ที่ถูกกล่าวหาที่คิดการจะล้มรัฐบาลคือเป็นกบฏ บางคนเรียกว่า “กบฏพระยาทรงฯ” ขณะนั้นหลวงพิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านเป็นหัวหน้ารัฐบาลต่อมาจากพระยาพหลพลพยุหเสนา
วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2481 เป็นวันที่มีการจับกุมผู้ที่ถูกกล่าวหาที่คิดการจะล้มรัฐบาลคือเป็น[[กบฏ]] บางคนเรียกว่า “[[กบฏพระยาทรงฯ]]” ขณะนั้น[[หลวงพิบูลสงคราม]]เป็น[[นายกรัฐมนตรี]] ท่านเป็น[[หัวหน้ารัฐบาล]]ต่อมาจาก[[พระยาพหลพลพยุหเสนา]]
ผู้ที่ถูกจับกุมมีอยู่กว่าห้าสิบคน มีทั้งขุนนางเก่าและเชื้อพระวงศ์ อีกทั้งข้าราชการ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งประเภทที่มาจากการเลือกตั้งและจากการแต่งตั้ง ในจำนวนนี้มีผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ ชั้นสำคัญ คือ พ.อ.พยะยาทรงสุรเดช คงจะเป็นด้วยเหตุนี้จึงเรียกกันว่า “กบฏพระยาทรงฯ” และในบรรดาผู้ที่ถูกจับกุมก็มีลูกน้องและลูกศิษย์ที่สนิทกับพระยาทรงฯ อยู่หลายคน หลังจากพระยาทรงฯ ถูกจับ ท่านถูกบีบบังคับให้เดินทางออกนอกประเทศ คือไปยังเขมร และต่อมาก็ไปที่เวียดนาม ทั้ง ๆ ที่ขณะนั้นท่านเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ และท่านก็ต้องลาออกจากตำแหน่งผู้แทนราษฎร
ผู้ที่ถูกจับกุมมีอยู่กว่าห้าสิบคน มีทั้งขุนนางเก่าและเชื้อพระวงศ์ อีกทั้งข้าราชการ และ[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]]ทั้งประเภทที่มาจาก[[การเลือกตั้ง]]และจากการแต่งตั้ง ในจำนวนนี้มี[[ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ]] ชั้นสำคัญ คือ [[พ.อ.พยะยาทรงสุรเดช]] คงจะเป็นด้วยเหตุนี้จึงเรียกกันว่า “กบฏพระยาทรงฯ” และในบรรดาผู้ที่ถูกจับกุมก็มีลูกน้องและลูกศิษย์ที่สนิทกับพระยาทรงฯ อยู่หลายคน หลังจากพระยาทรงฯ ถูกจับ ท่านถูกบีบบังคับให้เดินทางออกนอกประเทศ คือไปยังเขมร และต่อมาก็ไปที่เวียดนาม ทั้ง ๆ ที่ขณะนั้นท่านเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ และท่านก็ต้องลาออกจากตำแหน่งผู้แทนราษฎร
หลังการจับกุมผู้ต้องหาแล้ว สภาผู้แทนราษฎรก็ได้ผ่านกฎหมายพระราชบัญญัติตั้งศาลพิเศษเพื่อพิจารณาคดีกบฏออกมาเป็นการเฉพาะ ตอนปลายปีนั้น จึงได้ตัดสินคดีออกมา ดังที่ประเสริฐ  ปัทมะสุคนธ์ บันทึกเล่าเอาไว้
หลังการจับกุมผู้ต้องหาแล้ว สภาผู้แทนราษฎรก็ได้ผ่าน[[กฎหมาย]][[พระราชบัญญัติ]]ตั้งศาลพิเศษเพื่อพิจารณาคดีกบฏออกมาเป็นการเฉพาะ ตอนปลายปีนั้น จึงได้ตัดสินคดีออกมา ดังที่ประเสริฐ  ปัทมะสุคนธ์ บันทึกเล่าเอาไว้


“ศาลพิเศษได้พิจารณาพิพากษาคดีกบฏครั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 โดยตัดสินลงโทษผู้ถูกฟ้อง มีโทษประหารชีวิตหลายคนโดยเฉพาะพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร นายพลโทพระยาเทพหัสดิน นายพันเอกหลวงชำนาญยุทธศิลป์ ซึ่งต้องคำพิพากษาคดีให้ประหารชีวิตนั้น ศาลพิจารณาเห็นว่าเป็นผู้ที่ได้ทำคุณความดีให้แก่ประเทศชาติมาก่อน จึงลดโทษลงเป็นจำคุกตลอดชีวิต”
“ศาลพิเศษได้พิจารณาพิพากษาคดีกบฏครั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 โดยตัดสินลงโทษผู้ถูกฟ้อง มีโทษประหารชีวิตหลายคนโดยเฉพาะ[[พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร]] [[นายพลโทพระยาเทพหัสดิน]] [[นายพันเอกหลวงชำนาญยุทธศิลป์]] ซึ่งต้องคำพิพากษาคดีให้ประหารชีวิตนั้น ศาลพิจารณาเห็นว่าเป็นผู้ที่ได้ทำคุณความดีให้แก่ประเทศชาติมาก่อน จึงลดโทษลงเป็นจำคุกตลอดชีวิต”


[[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2475-2500]]
[[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2475-2500]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 09:22, 16 กันยายน 2556

ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2481 เป็นวันที่มีการจับกุมผู้ที่ถูกกล่าวหาที่คิดการจะล้มรัฐบาลคือเป็นกบฏ บางคนเรียกว่า “กบฏพระยาทรงฯ” ขณะนั้นหลวงพิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านเป็นหัวหน้ารัฐบาลต่อมาจากพระยาพหลพลพยุหเสนา

ผู้ที่ถูกจับกุมมีอยู่กว่าห้าสิบคน มีทั้งขุนนางเก่าและเชื้อพระวงศ์ อีกทั้งข้าราชการ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งประเภทที่มาจากการเลือกตั้งและจากการแต่งตั้ง ในจำนวนนี้มีผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ ชั้นสำคัญ คือ พ.อ.พยะยาทรงสุรเดช คงจะเป็นด้วยเหตุนี้จึงเรียกกันว่า “กบฏพระยาทรงฯ” และในบรรดาผู้ที่ถูกจับกุมก็มีลูกน้องและลูกศิษย์ที่สนิทกับพระยาทรงฯ อยู่หลายคน หลังจากพระยาทรงฯ ถูกจับ ท่านถูกบีบบังคับให้เดินทางออกนอกประเทศ คือไปยังเขมร และต่อมาก็ไปที่เวียดนาม ทั้ง ๆ ที่ขณะนั้นท่านเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ และท่านก็ต้องลาออกจากตำแหน่งผู้แทนราษฎร

หลังการจับกุมผู้ต้องหาแล้ว สภาผู้แทนราษฎรก็ได้ผ่านกฎหมายพระราชบัญญัติตั้งศาลพิเศษเพื่อพิจารณาคดีกบฏออกมาเป็นการเฉพาะ ตอนปลายปีนั้น จึงได้ตัดสินคดีออกมา ดังที่ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์ บันทึกเล่าเอาไว้

“ศาลพิเศษได้พิจารณาพิพากษาคดีกบฏครั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 โดยตัดสินลงโทษผู้ถูกฟ้อง มีโทษประหารชีวิตหลายคนโดยเฉพาะพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร นายพลโทพระยาเทพหัสดิน นายพันเอกหลวงชำนาญยุทธศิลป์ ซึ่งต้องคำพิพากษาคดีให้ประหารชีวิตนั้น ศาลพิจารณาเห็นว่าเป็นผู้ที่ได้ทำคุณความดีให้แก่ประเทศชาติมาก่อน จึงลดโทษลงเป็นจำคุกตลอดชีวิต”