ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สภาตรายาง"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 7: บรรทัดที่ 7:
----
----


== สภาตรายาง ==
'''“อดอยากปากแห้ง”''' เป็นคำที่ล้อเลียนกระทบกระเทียบเปรียบเปรยสมาชิกพรรคการเมืองของพรรคฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่เคยเป็นรัฐบาลมาก่อนเพราะย่อมเข้าใจดีว่าในระหว่างที่พรรคการเมืองเป็นรัฐบาลหรือร่วมรัฐบาลในรัฐบาลผสมอยู่นั้น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สังกัดพรรครัฐบาลมักจะได้รับผลประโยชน์จากการกำหนดและการกำกับดูแลนโยบายของรัฐบาลเป็นอย่างมาก อาทิ เงินอุดหนุนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไปพัฒนาจังหวัดที่ตนเป็นผู้แทนราษฎร หรือที่เรียกกันว่า “งบ ส.ส.” ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และผลประโยชน์อื่น ๆ อีกมาก ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้สนับสนุนพรรครัฐบาลมีความสุขสำราญหรือที่เรียกว่า “อิ่มหมีพลีมัน” แต่เมื่อต้องมาเป็นพรรคฝ่ายค้าน ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับผลประโยชน์ต่าง ๆ ลดน้อยลงไปมากหรือแทบไม่ได้เลย จึงทำให้เกิดภาวะการขัดสนหรือที่เรียกว่า “อดอยากปากแห้ง” นั่นเอง   จึงเป็นคำกล่าวล้อเลียนในพรรคการเมืองไทยว่า “เป็นพรรครัฐบาลอิ่มหมีพลีมัน เป็นพรรคฝ่ายค้านอดอยากปากแห้ง”
 
“สภาตรายาง” เป็นคำพังเพยที่ล้อเลียนกระทบกระเทียบเปรียบเปรยการปฏิบัติหน้าที่ของ[[สมาชิกสภานิติบัญญัติ]] (สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา) ของไทยที่ไม่เป็นไปตามหลักการอิสระเสรี ในการออกเสียง[[ลงมติ]]ของสมาชิกสภาตามหลัก[[ประชาธิปไตย]] หากแต่กลับ[[ออกเสียงลงมติ]]ไปตามความประสงค์ของผู้มีอำนาจและอิทธิพลเหนือเสียงส่วนใหญ่ของสภานั้น ทำให้การลงมติของสภาเปรียบเสมือน “สภาตรายาง” นั่นเอง
ที่มาของคำว่า “อดอยากปากแห้ง” มาจากการที่นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ได้กล่าวถึงสมาชิกฝ่ายค้านทั้งหลายที่ได้รับผลประโยชน์สนับสนุนทางการเงินและอื่น จากงบประมาณแผ่นดินน้อยกว่าสมาชิกพรรคฝ่ายรัฐบาล ต่อมาคำนี้ได้ใช้กันแพร่หลายและมีลักษณะล้อเลียนนักการเมืองฝ่ายค้านโดยทั่วไป
 
คำพังเพย “สภาตรายาง” มีที่มาจากการที่นักการเมืองที่มีอำนาจและอิทธิพลหลังจาก[[การเปลี่ยนแปลงการปกครอง]]ของไทย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา  นักการเมืองที่มีอำนาจและอิทธิพลผู้ซึ่งดำรงตำแหน่ง[[นายกรัฐมนตรี]]และ[[หัวหน้าพรรค|หัวหน้าพรรคการเมือง]]ที่มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรในขณะเดียวกันมักใช้อำนาจและอิทธิพลของตนในการสั่งการโดยตรงหรือโดยอ้อมให้สมาชิกสภาในสังกัดพรรคการเมืองของตน (หรือพรรคการเมืองอื่นในบางกรณี) ใน[[สภาผู้แทนราษฎร]]ให้ออกเสียงลงมติที่เป็นไปตามความประสงค์ของผู้มีอำนาจนั้น ถึงแม้ว่าในการ[[ประชุมสภา]]ผู้แทนราษฎรจะมีการประชุมที่มี[[การอภิปราย]]อย่างเข้มข้นเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อมีการลงมติของสภาก็จะเป็นไปตามที่ผู้มีอำนาจต้องการ มติการประชุมของสภาจึงเปรียบเสมือน “สภาตรายาง”   ในการสร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจของผู้มีอำนาจและอิทธิพลเหนือสภานิติบัญญัตินั่นเอง
 
ในสมัยที่มีวุฒิสภาที่สมาชิกมาจากการแต่งตั้ง  ซึ่งตามรัฐธรรมนูญในสมัยนั้น ๆ ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการรับสนอง[[พระบรมราชโองการ]]ของ[[พระมหากษัตริย์]]ใน[[การลงพระปรมาภิไธย]]แต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา ส่วนใหญ่นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นมักแต่งตั้งข้าราชการประจำ (ทหารและพลเรือน)  พนักงานรัฐวิสาหกิจ  ข้าราชการบำนาญ นักธุรกิจ และบุคคลอื่นที่ตนไว้วางใจและควบคุมได้ให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา ทำให้การลงมติใด ของวุฒิสภามักเป็นไปตามที่นายกรัฐมนตรีผู้นั้นต้องการ รวมถึง[[วุฒิสภา]]ที่มาจากการเลือกตั้งตาม[[รัฐธรรมนูญ]]แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ซึ่งถ้าการลงมติของวุฒิสภาเรื่องใดก็ตามที่ไม่เป็นไปตามหลักการตัดสินใจโดยอิสระเสรีของสมาชิกตามหลักประชาธิปไตย หากแต่เป็นไปตามความประสงค์ของผู้มีอำนาจและอิทธิพลเหนือการลงมตินั้น


[[หมวดหมู่:สารานุกรมการเมืองไทย]]
[[หมวดหมู่:สารานุกรมการเมืองไทย]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 15:17, 30 พฤษภาคม 2555

ผู้เรียบเรียง รศ.ดร.ปรีชา หงษ์ไกรเลิศ


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ ศ.อนันต์ เกตุวงศ์


“อดอยากปากแห้ง” เป็นคำที่ล้อเลียนกระทบกระเทียบเปรียบเปรยสมาชิกพรรคการเมืองของพรรคฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่เคยเป็นรัฐบาลมาก่อนเพราะย่อมเข้าใจดีว่าในระหว่างที่พรรคการเมืองเป็นรัฐบาลหรือร่วมรัฐบาลในรัฐบาลผสมอยู่นั้น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สังกัดพรรครัฐบาลมักจะได้รับผลประโยชน์จากการกำหนดและการกำกับดูแลนโยบายของรัฐบาลเป็นอย่างมาก อาทิ เงินอุดหนุนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไปพัฒนาจังหวัดที่ตนเป็นผู้แทนราษฎร หรือที่เรียกกันว่า “งบ ส.ส.” ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และผลประโยชน์อื่น ๆ อีกมาก ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้สนับสนุนพรรครัฐบาลมีความสุขสำราญหรือที่เรียกว่า “อิ่มหมีพลีมัน” แต่เมื่อต้องมาเป็นพรรคฝ่ายค้าน ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับผลประโยชน์ต่าง ๆ ลดน้อยลงไปมากหรือแทบไม่ได้เลย จึงทำให้เกิดภาวะการขัดสนหรือที่เรียกว่า “อดอยากปากแห้ง” นั่นเอง จึงเป็นคำกล่าวล้อเลียนในพรรคการเมืองไทยว่า “เป็นพรรครัฐบาลอิ่มหมีพลีมัน เป็นพรรคฝ่ายค้านอดอยากปากแห้ง”

ที่มาของคำว่า “อดอยากปากแห้ง” มาจากการที่นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ได้กล่าวถึงสมาชิกฝ่ายค้านทั้งหลายที่ได้รับผลประโยชน์สนับสนุนทางการเงินและอื่น ๆ จากงบประมาณแผ่นดินน้อยกว่าสมาชิกพรรคฝ่ายรัฐบาล ต่อมาคำนี้ได้ใช้กันแพร่หลายและมีลักษณะล้อเลียนนักการเมืองฝ่ายค้านโดยทั่วไป