ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สังคมก้าวหน้า (พ.ศ. 2517)"
สร้างหน้าใหม่: '''ผู้เรียบเรียง''' นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ---- '''ผู้ทรงคุณวุฒิป... |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 1: | บรรทัดที่ 1: | ||
'''ผู้เรียบเรียง''' นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ | '''ผู้เรียบเรียง''' รองศาสตราจารย์ ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ | ||
---- | ---- | ||
บรรทัดที่ 10: | บรรทัดที่ 10: | ||
พรรคสังคมก้าวหน้าเป็น[[พรรคการเมือง]]ที่จดทะเบียนตาม[[พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2517]] มีนายญาติ ไหวดี เป็น[[หัวหน้าพรรค]] นายดำรง ขุนเณรพานิช เป็น[[เลขาธิการพรรค]] คำขวัญของพรรค คือ “บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่สังคม” | |||
== นโยบายของพรรคสังคมก้าวหน้า == | == นโยบายของพรรคสังคมก้าวหน้า == | ||
แนวนโยบายแบบสังคมนิยม ภาวะเศรษฐกิจ แก้ไขด้วยการเกษตร | แนวนโยบายแบบสังคมนิยม ภาวะเศรษฐกิจ แก้ไขด้วยการเกษตร สร้างโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหม่แบบ[[สังคมนิยม]] ไม่เอื้ออารีคนมั่งมี พรรคสังคมก้าวหน้ามองว่า ปัญหาหลักในทางเศรษฐกิจคือ เรื่องปากท้องและเศรษฐกิจ ดังนั้น จึงต้องมีโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหม่ โดยพรรคสังคมก้าวหน้าจะผลักดันให้รัฐบาลดำเนินการจัดระบบเศรษฐกิจในรูปสหกรณ์ต่าง ๆ จัดให้มีเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร เจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชน อนามัย ตำรวจ ประจำตำบลต่าง ๆ อย่างทั่วถึงและใกล้ชิดประชาชน | ||
นโยบายทางการเมือง พรรคสังคมก้าวหน้า | นโยบายทางการเมือง พรรคสังคมก้าวหน้า เห็นว่าจำเป็นต้องมีการ[[แก้ไขรัฐธรรมนูญ]]ในประเด็นสำคัญ ๆ ได้แก่ การกำหนดอายุผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 18 ปี การกระจายอำนาจการปกครองให้ประชาชนในท้องถิ่นมีสิทธิในการปกครองตนเอง รับรองสิทธิในการแสดงความคิดเห็นในการโฆษณาให้มากขึ้น สิทธิในการที่จะดำรงชีวิตได้อย่างปลอดภัย สิทธิในการฟ้องร้องค่าเสียหาย ผลักดันการจัดตั้ง[[ศาลปกครอง]] ผลักดันการจัดทำ[[กฎหมาย]]ให้อำนาจประชาชนในการฟ้องร้องค่าเสียหายให้รัฐบาลต้องชดใช้ ถ้ารัฐธรรมนูญกำหนดให้]]รัฐสภา]]มีระบบ 2 สภา พรรคสังคมก้าวหน้าเสนอให้วุฒิสภาต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน จังหวัดละ 2 คน แต่ถ้าเป็นไปได้ควรจะยกเลิกวุฒิสภา เพื่อให้มีสภาเดียว นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญต้องกำหนดให้การประกาศสงครามและการประกาศ[[กฎอัยการศึก]]ของ[[รัฐบาล]]ต้องมีการปรึกษาหรือขอความเห็นชอบจาก[[รัฐสภา]]ก่อน | ||
นโยบายด้านการศึกษา พรรคสังคมก้าวหน้า จะผลักดันให้มีการบัญญัติกฎหมายการศึกษาแห่งชาติ หรือธรรมนูญการศึกษาแห่งชาติ โดยรวบรวมกฎหมายทางการศึกษาทุกฉบับเข้าเป็นกฎหมายฉบับเดียวกัน มีการกำหนดให้รัฐต้องกระจายอำนาจทางการศึกษา โดยกำหนดให้การศึกษาประชาบาลเท่านั้นที่เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการ | นโยบายด้านการศึกษา พรรคสังคมก้าวหน้า จะผลักดันให้มีการบัญญัติกฎหมายการศึกษาแห่งชาติ หรือธรรมนูญการศึกษาแห่งชาติ โดยรวบรวมกฎหมายทางการศึกษาทุกฉบับเข้าเป็นกฎหมายฉบับเดียวกัน มีการกำหนดให้รัฐต้องกระจายอำนาจทางการศึกษา โดยกำหนดให้การศึกษาประชาบาลเท่านั้นที่เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการ | ||
นโยบายด้านการปกครอง | นโยบายด้านการปกครอง พรรคสังคมก้าวหน้าจะผลักดัน[[การกระจายอำนาจ]]การบริหารโดยให้มี[[การเลือกตั้ง]][[ผู้ว่าราชการจังหวัด]] [[นายอำเภอ]] ส่วน[[การปกครองท้องถิ่น]]กำหนดให้[[นายกเทศมนตรี]]มาจากการเลือกตั้ง มีการเลือกตั้งสภาตำบล สภาบริหารส่วนอำเภอ สภาบริหารส่วนจังหวัด | ||
นโยบายด้านการบริหารราชการ พรรคสังคมก้าวหน้าเห็นว่า ต้องมีการปฏิรูปการบริหารราชการ | นโยบายด้านการบริหารราชการ พรรคสังคมก้าวหน้าเห็นว่า ต้องมีการปฏิรูปการบริหารราชการ โดยแก้ไข[[กฎหมาย]]ข้าราชการพลเรือน เปลี่ยนทัศนคติของข้าราชการใหม่ โดยให้มุ่งรับใช้ประชาชน ไม่ใช่เป็นนายประชาชน ข้าราชการต้องเป็นผู้เห็นอกเห็นใจประชาชนในท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ๆ และหน่วยงานราชการต้องมีหน้าที่ช่วยเหลือให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามนโยบายของ[[รัฐบาล]] การแก้ไขปัญหา[[คอรัปชั่น]]ต้องมีการกำหนดโทษขั้นรุนแรงต่อผู้กระทำผิดฐาน[[ฉ้อราฎร์บังหลวง]] โดยเชื่อมโยงมาตรการแก้ไขปัญหาความประพฤติของข้าราชการเข้ากับบทบัญญัติกฎหมายข้าราชการพลเรือน | ||
นโยบายด้านเศรษกิจ พรรคสังคมก้าวหน้าจะประกาศสงครามกับความยากจน โดยสร้างโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหม่แบบสังคมนิยม ไม่เอื้ออารีคนมั่งมี การเมืองเป็นอิสระ ไม่ต้องการจักรวรรดินิยม เสรีนิยมหรือเผด็จการ สังคมไทยต้องมีการปฏิรูปใหม่ | นโยบายด้านเศรษกิจ พรรคสังคมก้าวหน้าจะประกาศสงครามกับความยากจน โดยสร้างโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหม่แบบสังคมนิยม ไม่เอื้ออารีคนมั่งมี การเมืองเป็นอิสระ ไม่ต้องการจักรวรรดินิยม เสรีนิยมหรือเผด็จการ สังคมไทยต้องมีการปฏิรูปใหม่ |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 22:27, 13 สิงหาคม 2553
ผู้เรียบเรียง รองศาสตราจารย์ ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
พรรคสังคมก้าวหน้า
พรรคสังคมก้าวหน้าเป็นพรรคการเมืองที่จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2517 มีนายญาติ ไหวดี เป็นหัวหน้าพรรค นายดำรง ขุนเณรพานิช เป็นเลขาธิการพรรค คำขวัญของพรรค คือ “บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่สังคม”
นโยบายของพรรคสังคมก้าวหน้า
แนวนโยบายแบบสังคมนิยม ภาวะเศรษฐกิจ แก้ไขด้วยการเกษตร สร้างโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหม่แบบสังคมนิยม ไม่เอื้ออารีคนมั่งมี พรรคสังคมก้าวหน้ามองว่า ปัญหาหลักในทางเศรษฐกิจคือ เรื่องปากท้องและเศรษฐกิจ ดังนั้น จึงต้องมีโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหม่ โดยพรรคสังคมก้าวหน้าจะผลักดันให้รัฐบาลดำเนินการจัดระบบเศรษฐกิจในรูปสหกรณ์ต่าง ๆ จัดให้มีเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร เจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชน อนามัย ตำรวจ ประจำตำบลต่าง ๆ อย่างทั่วถึงและใกล้ชิดประชาชน
นโยบายทางการเมือง พรรคสังคมก้าวหน้า เห็นว่าจำเป็นต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นสำคัญ ๆ ได้แก่ การกำหนดอายุผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 18 ปี การกระจายอำนาจการปกครองให้ประชาชนในท้องถิ่นมีสิทธิในการปกครองตนเอง รับรองสิทธิในการแสดงความคิดเห็นในการโฆษณาให้มากขึ้น สิทธิในการที่จะดำรงชีวิตได้อย่างปลอดภัย สิทธิในการฟ้องร้องค่าเสียหาย ผลักดันการจัดตั้งศาลปกครอง ผลักดันการจัดทำกฎหมายให้อำนาจประชาชนในการฟ้องร้องค่าเสียหายให้รัฐบาลต้องชดใช้ ถ้ารัฐธรรมนูญกำหนดให้]]รัฐสภา]]มีระบบ 2 สภา พรรคสังคมก้าวหน้าเสนอให้วุฒิสภาต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน จังหวัดละ 2 คน แต่ถ้าเป็นไปได้ควรจะยกเลิกวุฒิสภา เพื่อให้มีสภาเดียว นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญต้องกำหนดให้การประกาศสงครามและการประกาศกฎอัยการศึกของรัฐบาลต้องมีการปรึกษาหรือขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน
นโยบายด้านการศึกษา พรรคสังคมก้าวหน้า จะผลักดันให้มีการบัญญัติกฎหมายการศึกษาแห่งชาติ หรือธรรมนูญการศึกษาแห่งชาติ โดยรวบรวมกฎหมายทางการศึกษาทุกฉบับเข้าเป็นกฎหมายฉบับเดียวกัน มีการกำหนดให้รัฐต้องกระจายอำนาจทางการศึกษา โดยกำหนดให้การศึกษาประชาบาลเท่านั้นที่เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการ
นโยบายด้านการปกครอง พรรคสังคมก้าวหน้าจะผลักดันการกระจายอำนาจการบริหารโดยให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ส่วนการปกครองท้องถิ่นกำหนดให้นายกเทศมนตรีมาจากการเลือกตั้ง มีการเลือกตั้งสภาตำบล สภาบริหารส่วนอำเภอ สภาบริหารส่วนจังหวัด
นโยบายด้านการบริหารราชการ พรรคสังคมก้าวหน้าเห็นว่า ต้องมีการปฏิรูปการบริหารราชการ โดยแก้ไขกฎหมายข้าราชการพลเรือน เปลี่ยนทัศนคติของข้าราชการใหม่ โดยให้มุ่งรับใช้ประชาชน ไม่ใช่เป็นนายประชาชน ข้าราชการต้องเป็นผู้เห็นอกเห็นใจประชาชนในท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ๆ และหน่วยงานราชการต้องมีหน้าที่ช่วยเหลือให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล การแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นต้องมีการกำหนดโทษขั้นรุนแรงต่อผู้กระทำผิดฐานฉ้อราฎร์บังหลวง โดยเชื่อมโยงมาตรการแก้ไขปัญหาความประพฤติของข้าราชการเข้ากับบทบัญญัติกฎหมายข้าราชการพลเรือน
นโยบายด้านเศรษกิจ พรรคสังคมก้าวหน้าจะประกาศสงครามกับความยากจน โดยสร้างโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหม่แบบสังคมนิยม ไม่เอื้ออารีคนมั่งมี การเมืองเป็นอิสระ ไม่ต้องการจักรวรรดินิยม เสรีนิยมหรือเผด็จการ สังคมไทยต้องมีการปฏิรูปใหม่
พรรคสังคมก้าวหน้าจะกระจายเงินพรีเมี่ยมสองพันกว่าล้านบาทสู่ประชาชน เพื่อช่วยเหลือให้ชาวนาสามารถเพาะปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ ปลูกพืชผลการเกษตรได้เพียงพอ เมื่อเกษตรกรสามารถดำรงชีพได้ดีขึ้น ก็จะส่งผลให้เกิดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ อันส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมือง
พรรคสังคมก้าวหน้ามีแนวคิดที่จะให้รัฐผูกขาดการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพื่อตัดปัญหาคนกลาง ตัวอย่างเช่น นำเงินสองพันล้านบาทไปซื้อข้าวเปลือกจากแต่ละจังหวัด ลงทุนตั้งโรงสีและยุ้งฉาง ประกันราคามาตรฐานสินค้าเกษตร เป็นต้น ทั้งนี้พรรคสังคมก้าวหน้าจะดำเนินการตัดรายจ่ายภาครัฐที่ไม่จำเป็น เช่น งบราชการลับ งบกลาง เป็นต้น สำหรับมาอุดหนุนการผลิตในภาคเกษตรกรรมของประเทศ
นโยบายด้านอุตสาหกรรม พรรคสังคมก้าวหน้าจะส่งเสริมให้คนไทยเป็นเจ้าของการผลิตอุตสาหกรรมเป็นหลัก โดยจะส่งเสริมการจัดตั้งโรงงานอุตสาหกรรมเครื่องจักรและปัจจัยการผลิตอุตสาหกรรมก่อน จากนั้นจะส่งเสริมการตั้งโรงงานผลิตปุ๋ย และโรงงานงานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเครื่องอุปโภคบริโภค รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรมหนัก โดยรัฐจะเป็นผู้หาตลาดสำหรับจำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรมทั้งหมด โดยอาศัย “กระทรวงเศรษฐการ” เป็นองค์กรหลัก
นโยบายด้านสังคม พรรคสังคมก้าวหน้าจะดำเนินกาให้รัฐลงทุนสร้างที่พักอาศัยให้แก่ประชาชน โดยให้ประชาชนเช่าซื้อในระยะ 30 ปี โดยผู้เช่าซื้อต้องสัญญาว่าจะต้องทำการเกษตรกรรมตลอด 30 ปีนี้ จะมีการกำหนดมาตรการประกันสังคม ประกันชราภาพ จัดระบบบริการทางแพทย์และอนามัยแบบให้ฟรี จัดระบบบริการการศึกษาแบบให้เปล่าทุกระดับชั้นจนถึงระดับมหาวิทยาลัย โดยมหาวิทยาลัยจะต้องเปิดเป็นระบบตลาดวิชา
ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2518 พรรคสังคมก้าวหน้าส่งผู้สมัครลงแข่งขันรับเลือกตั้งในเขตต่าง ๆ ทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 13 คน แต่ไม่ได้รับเลือกตั้งแม้แต่คนเดียว
ที่มา
สุจิต บุญบงการ, การพัฒนาการเมืองของไทย: ปฏิสัมพันธ์ระหว่างทหาร สถาบันทางการเมือง และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2531
เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช, การสมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรคการเมืองในประเทศไทย, วิทยานิพนธ์หลักสูตรชั้นปริญญาโท ภาค 2 ทางรัฐศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2519
วสันต์ หงสกุล, 37 พรรคการเมือง ปัจจัยพิจารณาเปรียบเทียบ, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ตะวันนา, 2518
ปรีชา หงษ์ไกรเลิศ, พรรคการเมืองและปัญหาพรรคการเมืองไทย, กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2524