ผลต่างระหว่างรุ่นของ "แรงงานไทย (พ.ศ. 2541)"
สร้างหน้าใหม่: '''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ''' รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐ... |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 8: | บรรทัดที่ 8: | ||
พรรคแรงงานไทย (ตัวย่อ รท.) มีชื่อภาษาอังกฤษว่า THAI LABOUR PARTY (ตัวย่อ TLP.) จดทะเบียนจัดตั้งพรรคอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 กันยายน 2541 | พรรคแรงงานไทย (ตัวย่อ รท.) มีชื่อภาษาอังกฤษว่า THAI LABOUR PARTY (ตัวย่อ TLP.) จดทะเบียนจัดตั้งพรรคอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 กันยายน 2541 | ||
พรรคแรงงานไทยมีเครื่องหมายประจำพรรคเป็นรูปกุหลาบสีแดงและก้านดอกมีสีเขียว ซึ่งกุหลาบ หมายถึง สัญลักษณ์แห่งความรัก ความเข้าใจเป็นเสื่อกลางของสัมพันธภาพอันดี ระหว่างสมาชิกพรรคประชาชนและรัฐบาล ส่วน สีแดง หมายถึง ความจริงใจมุ่งมั่นปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะสร้างสรรค์ สังคมไทยให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าสืบไป และ ก้านดอกสีเขียว หมายถึงรากฐานที่มั่นคง ความสมบูรณ์ของประเทศและคุณภาพที่ดีของประชาชน คำขวัญของพรรคแรงงานไทย ก็คือ | พรรคแรงงานไทยมีเครื่องหมายประจำพรรคเป็นรูปกุหลาบสีแดงและก้านดอกมีสีเขียว ซึ่งกุหลาบ หมายถึง สัญลักษณ์แห่งความรัก ความเข้าใจเป็นเสื่อกลางของสัมพันธภาพอันดี ระหว่างสมาชิกพรรคประชาชนและรัฐบาล ส่วน สีแดง หมายถึง ความจริงใจมุ่งมั่นปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะสร้างสรรค์ สังคมไทยให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าสืบไป และ ก้านดอกสีเขียว หมายถึงรากฐานที่มั่นคง ความสมบูรณ์ของประเทศและคุณภาพที่ดีของประชาชน คำขวัญของพรรคแรงงานไทย ก็คือ “พรรคการเมือง[[ของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน]]” | ||
พรรคแรงงานไทยมีที่มามาจากการรวมตัวกันของกลุ่มผู้ใช้แรงงานในภาคอุตสาหกรรม ที่แรกเริ่มเดิมทีได้รวมตัวกันและจัดตั้งเป็น “ชมรมส่งเสริมการศึกษาและพัฒนาสหภาพ แรงงาน” ซึ่งเป็นศูนย์ช่วยเหลือคนงานที่ถูกเอารัดเอาเปรียบในสถานที่ทำงาน ในเวลาเดียวกันนั้น | พรรคแรงงานไทยมีที่มามาจากการรวมตัวกันของกลุ่มผู้ใช้แรงงานในภาคอุตสาหกรรม ที่แรกเริ่มเดิมทีได้รวมตัวกันและจัดตั้งเป็น “ชมรมส่งเสริมการศึกษาและพัฒนาสหภาพ แรงงาน” ซึ่งเป็นศูนย์ช่วยเหลือคนงานที่ถูกเอารัดเอาเปรียบในสถานที่ทำงาน ในเวลาเดียวกันนั้น ก็ได้มีการจัดตั้ง[[สหภาพแรงงาน]]ในโรงงานต่างๆ โดยในปี พ.ศ.2531 กลุ่มสหภาพแรงงานดังกล่าวได้พัฒนามาเป็น สภาองค์การลูกจ้าง สภาลูกจ้างแห่งชาติ (National Labour Congress) โดยมี นายชิน ทับพลี เป็นประธานฯตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 | ||
บทบาทสำคัญของสภาองค์การลูกจ้าง สภาลูกจ้างแห่งชาติ ก็คือ การเรียกร้องให้รัฐบาลลงมาดูแลความเป็นอยู่ของลูกจ้างมากขึ้น | บทบาทสำคัญของสภาองค์การลูกจ้าง สภาลูกจ้างแห่งชาติ ก็คือ การเรียกร้องให้รัฐบาลลงมาดูแลความเป็นอยู่ของลูกจ้างมากขึ้น และผลักดันให้รัฐบาลออก[[กฎหมาย]]ประกันสังคม และเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้มีกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมจนสำเร็จ จึงนับได้ว่า สภาองค์การลูกจ้าง สภาลูกจ้างแห่งชาติมีการ แต่ในหลายๆข้อเรียกร้องก็ประสบกับความล้มเหลว เช่น ในการเรียกร้องให้มีการออกกฎหมายประกันการว่างงาน การให้คนชรามีเงินเดือน เป็นต้น สภาองค์การลูกจ้าง และสภาลูกจ้างแห่งชาติ นำโดย นายชิน ทับพลี จึงมีแนวคิดว่า อำนาจรัฐเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการต่อสู้ของขบวนการแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งขบวนการแรงงานจำเป็นต้องมี พรรคการเมืองของตนเอง และจะต้องผลักดันให้มี[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]]ที่เป็นฝ่ายของแรงงานอยู่ในสภานิติบัญญัติให้ได้เพื่อที่จะเข้าไปผลักดันให้มีกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนผู้ใช้แรงงาน | ||
ในการประชุมใหญ่ของสภาองค์การลูกจ้าง สภาลูกจ้างแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2539 | ในการประชุมใหญ่ของสภาองค์การลูกจ้าง สภาลูกจ้างแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2539 ได้มีมติให้จัดตั้ง[[พรรคการเมือง]]ชื่อ "พรรคแรงงานไทย" โดยมี นายชิน ทับพลี เป็นหัวหน้าพรรคก่อตั้ง และพรรคแรงงานไทยได้ส่งผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นครั้งแรก จำนวน 107 คน แต่พรรคต้องประสบความล้มเหลว เมื่อไม่มีผู้ใดได้รับการเลือกตั้ง พรรคจึงถูกศาลสั่ง[[ยุบพรรค]]ตามกฎหมาย | ||
ต่อมาในปี พ.ศ. 2541 ได้มีการจัดตั้งพรรคแรงงานไทยขึ้นอีกครั้งตามกฎหมายรัฐธรรมนูญใหม่ พ.ศ.2541 ได้รับจดทะเบียนพรรคการเมืองเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2541 โดยมี นายชิน ทับพลี เป็นหัวหน้าพรรคแรงงานไทยคนแรก และมีนายขวัญ ภู่นาค | ต่อมาในปี พ.ศ. 2541 ได้มีการจัดตั้งพรรคแรงงานไทยขึ้นอีกครั้งตามกฎหมายรัฐธรรมนูญใหม่ พ.ศ.2541 ได้รับจดทะเบียนพรรคการเมืองเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2541 โดยมี นายชิน ทับพลี เป็นหัวหน้าพรรคแรงงานไทยคนแรก และมีนายขวัญ ภู่นาค เป็น[[เลขาธิการพรรค]] โดยคำขวัญของพรรคก็คือ "สร้างสรรค์สังคม" และ[[อุดมการณ์]]หลักของพรรคแรงงานไทยก็คือ | ||
“ยึดมั่นการปกครองระบอบ[[ประชาธิปไตย]]ที่มี[[พระมหากษัตริย์]]เป็นประมุข ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจ การตลาดเสรีที่มีกลไกกำกับ การแข่งขันอย่างเป็นธรรม สร้างระบบสังคมที่มีสวัสดิการ และหลักประกันเพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพ ที่อยู่ดีกินดี มีความปลอดภัยในชีวิต และ ทรัพสินตาม” | |||
พรรคแรงงานไทยแบ่งนโยบายที่เป็นทางการของพรรคออกเป็น 2 กลุ่มนโยบายหลัก คือ | พรรคแรงงานไทยแบ่งนโยบายที่เป็นทางการของพรรคออกเป็น 2 กลุ่มนโยบายหลัก คือ | ||
บรรทัดที่ 24: | บรรทัดที่ 24: | ||
'''1) นโยบายด้านการเมือง''' | '''1) นโยบายด้านการเมือง''' | ||
1. | 1. [[ปฎิรูปกฎหมาย]]ต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ และสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้ กฎหมายเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพ ในการกำกับสังคม และมีสาระที่ประกัน[[ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์]] สามารถคุ้มครอง[[สิทธิ เสรีภาพ]] ของประชาชน | ||
2. | 2. ปฎิรูประบบการบังคับใช้กฎหมายให้มี[[ความโปร่งใส]] บริสุทธิ์ รวดเร็ว และมีการตรวจสอบป้องกันการใช้อำนาจอย่างเลือกปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความยุติธรรม และความสงบเรียบร้อยแก่สังคมอย่างแท้จริง | ||
3. ส่งเสริมให้มีองค์กรระงับข้อพิพาททางสังคม หลายรูปแบบ เพื่อความเหมาะสม และสอดคล้องกับการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม | 3. ส่งเสริมให้มีองค์กรระงับข้อพิพาททางสังคม หลายรูปแบบ เพื่อความเหมาะสม และสอดคล้องกับการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม | ||
4. | 4.ส่งเสริมให้มี[[การกระจายอำนาจ]]การบริหารและการคลังสู่ท้องถิ่นเพื่อให้มีการใช้ ภูมิปัญญาชาวบ้าน ประสานงานกับนโยบายของส่วนกลาง | ||
5. ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศอย่างแท้จริง | 5. ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศอย่างแท้จริง | ||
บรรทัดที่ 40: | บรรทัดที่ 40: | ||
'''2)นโยบายด้านเศรษฐกิจ''' | '''2)นโยบายด้านเศรษฐกิจ''' | ||
1.ส่งเสริมกลไกการตลาด | 1.ส่งเสริมกลไกการตลาด จัดระบบป้องกัน[[การผูกขาด]] และป้องกันขาดความรับผิดชอบทางเศรษฐกิจ โดยผลักดันให้มีการบังคับใช้กฎหมายป้องกันการผูกขาด กฎหมายป้องกันการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม กฎหมายว่าด้วยความรับผิดชอบในผลิตภัณฑ์ และกฎหมายเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่มีสาระและเจตนารมณ์ ในการส่งเสริม และกำกับระบบเศรษฐกิจภายในประเทศให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม และ[[คุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค]]อย่างแท้จริง | ||
2.ผลักดันให้มีการปรับปรุงระบบกฎหมายการเงินให้สมบูรณ์ โดยเฉพาะกฎหมายกำกับสถาบันการเงิน กฎหมายควบคุมและกำกับธุรกรรมทางการเงิน กฎหมายเกี่ยวกับตราสารหนี้ และตราสารอนุพันธ์และการเงิน อีกทั้งตรวจสอบและควบคุมให้มีการบังคับใช้อย่างเข้มงวด และจริงจังเพื่อให้สถาบันการเงินมั่นคง และการประกอบธุรกรรมทางเงินที่เป็นธรรม | 2.ผลักดันให้มีการปรับปรุงระบบกฎหมายการเงินให้สมบูรณ์ โดยเฉพาะกฎหมายกำกับสถาบันการเงิน กฎหมายควบคุมและกำกับธุรกรรมทางการเงิน กฎหมายเกี่ยวกับตราสารหนี้ และตราสารอนุพันธ์และการเงิน อีกทั้งตรวจสอบและควบคุมให้มีการบังคับใช้อย่างเข้มงวด และจริงจังเพื่อให้สถาบันการเงินมั่นคง และการประกอบธุรกรรมทางเงินที่เป็นธรรม | ||
บรรทัดที่ 49: | บรรทัดที่ 49: | ||
4.ส่งเสริมให้มีการวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิต การจัดการและการบริหารที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยเทคโนโลยี ซึ่งจะทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพและได้ผลผลิตมีคุณภาพดีแต่ต้นทุนต่ำ อันเป็นการสร้างอำนาจการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น | 4.ส่งเสริมให้มีการวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิต การจัดการและการบริหารที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยเทคโนโลยี ซึ่งจะทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพและได้ผลผลิตมีคุณภาพดีแต่ต้นทุนต่ำ อันเป็นการสร้างอำนาจการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น | ||
5.ส่งเสริมให้มีการพัฒนายกระดับความรู้ความสามารถ | 5.ส่งเสริมให้มีการพัฒนายกระดับความรู้ความสามารถ และทักษะของผู้ใช้แรงงานให้สูงขึ้นและสอดคล้องกับสภาพการผลิตที่แปรเปลี่ยนไป เพื่อให้คุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานดีขึ้นกว่าเดิม | ||
6.ส่งเสริมให้มีองค์กรกลาง เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้บริโภค และผู้ใช้แรงงานในภาคต่าง ๆ โดยให้มีตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์เหล่านั้น มีส่วนร่วมในการตัดสินใจขององค์กรนั้นอย่างแท้จริง | 6.ส่งเสริมให้มีองค์กรกลาง เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้บริโภค และผู้ใช้แรงงานในภาคต่าง ๆ โดยให้มีตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์เหล่านั้น มีส่วนร่วมในการตัดสินใจขององค์กรนั้นอย่างแท้จริง | ||
บรรทัดที่ 71: | บรรทัดที่ 71: | ||
15. ส่งเสริมให้มีการพัฒนาระบบสหกรณ์ให้มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทย | 15. ส่งเสริมให้มีการพัฒนาระบบสหกรณ์ให้มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทย | ||
ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคในวันที่ 7 ตุลาคม 2547 อันเนื่องมาจากการประชุมใหญ่วิสามัญครั้งที่ 1/2546 ของพรรค เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2546 ไม่เป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับของพรรคแรงงานไทย เนื่องมาจากมีผู้เข้าร่วมประชุมใหญ่วิสามัญน้อยกว่า 100 คน | ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคในวันที่ 7 ตุลาคม 2547 อันเนื่องมาจากการประชุมใหญ่วิสามัญครั้งที่ 1/2546 ของพรรค เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2546 ไม่เป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับของพรรคแรงงานไทย เนื่องมาจากมีผู้เข้าร่วมประชุมใหญ่วิสามัญน้อยกว่า 100 คน และ[[ที่ประชุมใหญ่วิสามัญ]]ของพรรคไม่ได้ดำเนินการในลักษณะที่สอดคล้องกับ[[พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541]] (มาตรา 26 และมาตรา 20) ส่งผลให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคแรงงานไทยในที่สุด<ref> http://www.concourt.or.th/download/Center_desic/47/Center_desic_thai/Center61_47.pdf</ref> | ||
==อ้างอิง== | ==อ้างอิง== |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 20:54, 11 กรกฎาคม 2553
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
พรรคแรงงานไทย
พรรคแรงงานไทย (ตัวย่อ รท.) มีชื่อภาษาอังกฤษว่า THAI LABOUR PARTY (ตัวย่อ TLP.) จดทะเบียนจัดตั้งพรรคอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 กันยายน 2541
พรรคแรงงานไทยมีเครื่องหมายประจำพรรคเป็นรูปกุหลาบสีแดงและก้านดอกมีสีเขียว ซึ่งกุหลาบ หมายถึง สัญลักษณ์แห่งความรัก ความเข้าใจเป็นเสื่อกลางของสัมพันธภาพอันดี ระหว่างสมาชิกพรรคประชาชนและรัฐบาล ส่วน สีแดง หมายถึง ความจริงใจมุ่งมั่นปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะสร้างสรรค์ สังคมไทยให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าสืบไป และ ก้านดอกสีเขียว หมายถึงรากฐานที่มั่นคง ความสมบูรณ์ของประเทศและคุณภาพที่ดีของประชาชน คำขวัญของพรรคแรงงานไทย ก็คือ “พรรคการเมืองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน”
พรรคแรงงานไทยมีที่มามาจากการรวมตัวกันของกลุ่มผู้ใช้แรงงานในภาคอุตสาหกรรม ที่แรกเริ่มเดิมทีได้รวมตัวกันและจัดตั้งเป็น “ชมรมส่งเสริมการศึกษาและพัฒนาสหภาพ แรงงาน” ซึ่งเป็นศูนย์ช่วยเหลือคนงานที่ถูกเอารัดเอาเปรียบในสถานที่ทำงาน ในเวลาเดียวกันนั้น ก็ได้มีการจัดตั้งสหภาพแรงงานในโรงงานต่างๆ โดยในปี พ.ศ.2531 กลุ่มสหภาพแรงงานดังกล่าวได้พัฒนามาเป็น สภาองค์การลูกจ้าง สภาลูกจ้างแห่งชาติ (National Labour Congress) โดยมี นายชิน ทับพลี เป็นประธานฯตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532
บทบาทสำคัญของสภาองค์การลูกจ้าง สภาลูกจ้างแห่งชาติ ก็คือ การเรียกร้องให้รัฐบาลลงมาดูแลความเป็นอยู่ของลูกจ้างมากขึ้น และผลักดันให้รัฐบาลออกกฎหมายประกันสังคม และเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้มีกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมจนสำเร็จ จึงนับได้ว่า สภาองค์การลูกจ้าง สภาลูกจ้างแห่งชาติมีการ แต่ในหลายๆข้อเรียกร้องก็ประสบกับความล้มเหลว เช่น ในการเรียกร้องให้มีการออกกฎหมายประกันการว่างงาน การให้คนชรามีเงินเดือน เป็นต้น สภาองค์การลูกจ้าง และสภาลูกจ้างแห่งชาติ นำโดย นายชิน ทับพลี จึงมีแนวคิดว่า อำนาจรัฐเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการต่อสู้ของขบวนการแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งขบวนการแรงงานจำเป็นต้องมี พรรคการเมืองของตนเอง และจะต้องผลักดันให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นฝ่ายของแรงงานอยู่ในสภานิติบัญญัติให้ได้เพื่อที่จะเข้าไปผลักดันให้มีกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนผู้ใช้แรงงาน
ในการประชุมใหญ่ของสภาองค์การลูกจ้าง สภาลูกจ้างแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2539 ได้มีมติให้จัดตั้งพรรคการเมืองชื่อ "พรรคแรงงานไทย" โดยมี นายชิน ทับพลี เป็นหัวหน้าพรรคก่อตั้ง และพรรคแรงงานไทยได้ส่งผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นครั้งแรก จำนวน 107 คน แต่พรรคต้องประสบความล้มเหลว เมื่อไม่มีผู้ใดได้รับการเลือกตั้ง พรรคจึงถูกศาลสั่งยุบพรรคตามกฎหมาย ต่อมาในปี พ.ศ. 2541 ได้มีการจัดตั้งพรรคแรงงานไทยขึ้นอีกครั้งตามกฎหมายรัฐธรรมนูญใหม่ พ.ศ.2541 ได้รับจดทะเบียนพรรคการเมืองเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2541 โดยมี นายชิน ทับพลี เป็นหัวหน้าพรรคแรงงานไทยคนแรก และมีนายขวัญ ภู่นาค เป็นเลขาธิการพรรค โดยคำขวัญของพรรคก็คือ "สร้างสรรค์สังคม" และอุดมการณ์หลักของพรรคแรงงานไทยก็คือ “ยึดมั่นการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจ การตลาดเสรีที่มีกลไกกำกับ การแข่งขันอย่างเป็นธรรม สร้างระบบสังคมที่มีสวัสดิการ และหลักประกันเพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพ ที่อยู่ดีกินดี มีความปลอดภัยในชีวิต และ ทรัพสินตาม”
พรรคแรงงานไทยแบ่งนโยบายที่เป็นทางการของพรรคออกเป็น 2 กลุ่มนโยบายหลัก คือ
หนึ่ง นโยบายด้านการเมือง และสอง นโยบายด้านเศรษฐกิจ
1) นโยบายด้านการเมือง
1. ปฎิรูปกฎหมายต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ และสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้ กฎหมายเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพ ในการกำกับสังคม และมีสาระที่ประกันศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ สามารถคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ ของประชาชน
2. ปฎิรูประบบการบังคับใช้กฎหมายให้มีความโปร่งใส บริสุทธิ์ รวดเร็ว และมีการตรวจสอบป้องกันการใช้อำนาจอย่างเลือกปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความยุติธรรม และความสงบเรียบร้อยแก่สังคมอย่างแท้จริง
3. ส่งเสริมให้มีองค์กรระงับข้อพิพาททางสังคม หลายรูปแบบ เพื่อความเหมาะสม และสอดคล้องกับการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม
4.ส่งเสริมให้มีการกระจายอำนาจการบริหารและการคลังสู่ท้องถิ่นเพื่อให้มีการใช้ ภูมิปัญญาชาวบ้าน ประสานงานกับนโยบายของส่วนกลาง
5. ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศอย่างแท้จริง
6. สร้างสรรค์ระบบการป้องกันประเทศให้เหมาะสม กับสภาพเศรษฐกิจของประเทศ
7. กำหนดนโยบายต่างประเทศที่เป็นมิตรอันดีกับทุกประเทศทั่วโลก
2)นโยบายด้านเศรษฐกิจ
1.ส่งเสริมกลไกการตลาด จัดระบบป้องกันการผูกขาด และป้องกันขาดความรับผิดชอบทางเศรษฐกิจ โดยผลักดันให้มีการบังคับใช้กฎหมายป้องกันการผูกขาด กฎหมายป้องกันการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม กฎหมายว่าด้วยความรับผิดชอบในผลิตภัณฑ์ และกฎหมายเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่มีสาระและเจตนารมณ์ ในการส่งเสริม และกำกับระบบเศรษฐกิจภายในประเทศให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม และคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคอย่างแท้จริง
2.ผลักดันให้มีการปรับปรุงระบบกฎหมายการเงินให้สมบูรณ์ โดยเฉพาะกฎหมายกำกับสถาบันการเงิน กฎหมายควบคุมและกำกับธุรกรรมทางการเงิน กฎหมายเกี่ยวกับตราสารหนี้ และตราสารอนุพันธ์และการเงิน อีกทั้งตรวจสอบและควบคุมให้มีการบังคับใช้อย่างเข้มงวด และจริงจังเพื่อให้สถาบันการเงินมั่นคง และการประกอบธุรกรรมทางเงินที่เป็นธรรม
3. ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ และแรงงานภาคต่าง ๆ รวมตัวเป็นองค์กรที่ขอบด้วยกฎหมายเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง และความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งต่างประเทศ เพื่อเป็นเอกภาพในการประสาน และสนองนโยบายของรัฐ
4.ส่งเสริมให้มีการวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิต การจัดการและการบริหารที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยเทคโนโลยี ซึ่งจะทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพและได้ผลผลิตมีคุณภาพดีแต่ต้นทุนต่ำ อันเป็นการสร้างอำนาจการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น
5.ส่งเสริมให้มีการพัฒนายกระดับความรู้ความสามารถ และทักษะของผู้ใช้แรงงานให้สูงขึ้นและสอดคล้องกับสภาพการผลิตที่แปรเปลี่ยนไป เพื่อให้คุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานดีขึ้นกว่าเดิม
6.ส่งเสริมให้มีองค์กรกลาง เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้บริโภค และผู้ใช้แรงงานในภาคต่าง ๆ โดยให้มีตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์เหล่านั้น มีส่วนร่วมในการตัดสินใจขององค์กรนั้นอย่างแท้จริง
7.ผลักดันให้หน่วยงานของรัฐ จัดทำระบบข้อมูลสารสนเทศ เปิดเผยและเผยแพร่ให้ประชาชน ได้รับรู้อย่างทันเหตุการณ์ อีกทั้งผลึกดันให้รัฐจัดตั้งองค์กรกำกับชี้แนะทิศทางการลงทุน แก่ผู้ประกอบการทราบเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง และชัดเจน
8.ส่งเสริมระบบการประกันความเสี่ยงในภาคอุตสาหกรรม เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมให้เติบโตอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง
9. ส่งเสริมระบบการประกันภัยผลิตผลทางการเกษตร
10. ส่งเสริมระบบการใช้ทรัพยากรธรรมชาติแบบยั่งยืน และการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม
11. ส่งเสริมนโยบายการกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจสู่ภูมิภาค
12. ส่งเสริมระบบการรักษาสินทรัพย์ของชาติ
13. ส่งเสริมให้มีการสะสมทุนในระดับที่เหมาะสม เพื่อความมั่นคง และก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของชาติ
14. ส่งเสริมความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจภูมิภาค เพื่อให้ประเทศไทยและภูมิภาคเอเซีย มีความมั่นคง โดยให้มีมาตราทางการเงิน การคลัง และการค้าระหว่างประเทศที่มีความสอดคล้องกัน
15. ส่งเสริมให้มีการพัฒนาระบบสหกรณ์ให้มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทย
ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคในวันที่ 7 ตุลาคม 2547 อันเนื่องมาจากการประชุมใหญ่วิสามัญครั้งที่ 1/2546 ของพรรค เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2546 ไม่เป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับของพรรคแรงงานไทย เนื่องมาจากมีผู้เข้าร่วมประชุมใหญ่วิสามัญน้อยกว่า 100 คน และที่ประชุมใหญ่วิสามัญของพรรคไม่ได้ดำเนินการในลักษณะที่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 (มาตรา 26 และมาตรา 20) ส่งผลให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคแรงงานไทยในที่สุด[1]