ผลต่างระหว่างรุ่นของ "บ้านพักทหาร"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Trikao (คุย | ส่วนร่วม)
สร้างหน้าด้วย " '''ผู้เรียบเรียง'''  ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิชุดา สาธิตพ..."
 
Trikao (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 5: บรรทัดที่ 5:


 
 


=== '''บ้านพักทหาร''' ===
=== '''บ้านพักทหาร''' ===


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; '''“บ้านพักทหาร”''' ในความหมายทั่วไป เป็นภาษาไม่เป็นทางการสำหรับเรียกอาคารสวัสดิการที่กองทัพจัดไว้เพื่อเป็นสวัสดิการที่พักอาศัยให้แก่ข้าราชการในสังกัดตามหลักเกณฑ์ที่มีการกำหนดเป็นระเบียบของหน่วยงานนั้น ๆ อาทิ ระเบียบคณะกรรมการอำนาวยการสวัสดิการกองบัญชาการกองทัพไทย ว่าด้วยการพักอาศัยในอาคารสวัสดิการ กองบัญชาการกองทัพไทย ได้ให้คำนิยามคำว่า '''“อาคารสวัสดิการ กองบัญชาการกองทัพไทย”''' ไว้ว่า “''หมายถึง บ้านพัก ห้องพักในอาคารสวัสดิการส่วนกลาง อาคารชุด และสิ่งก่อสร้างอื่นใด<br/> ที่กองบัญชาการกองทัพไทยจัดหาเพื่อเป็นสวัสดิการที่พักอาศัยของข้าราชการเป็นส่วนรวม…”''&nbsp; และได้กำหนดนิยามของผู้พักอาศัย ผู้อาศัย และค่าบริการสวัสดิการไว้ เช่นเดียวกับระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการเข้าพักอาศัยในอาคาร บ้านพัก ของข้าราชการและลูกจ้างประจำในสังกัดกองทัพบก พ.ศ.2553 ได้นิยามคำว่า '''“อาคารที่พักอาศัยของทางราชการ”''' หมายถึง อาคารประเภทแฟลต และบ้านพัก หรือ เรือนแถว ที่กองทัพบกก่อสร้างขึ้นและมอบให้หน่วยต่าง ๆ รับผิดชอบควบคุมดูแล โดยได้กำหนด '''“ผู้ให้พักอาศัย”''' ไว้ว่า ''“หมายถึง หน่วยหรือกรมสวัสดิการทหารบกโดย กองทัพบกได้อนุมัติให้เป็นผู้รับผิดชอบในการควบคุมดูแลอาคารที่พักอาศัยของทางราชการ”'' และ '''“ผู้พักอาศัย”''' หมายถึง ข้าราชการประจำการ และลูกจ้างประจำ ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าพักอาศัยในอาคารที่พักอาศัยของทางราชการ
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; '''“บ้านพักทหาร”''' ในความหมายทั่วไป เป็นภาษาไม่เป็นทางการสำหรับเรียกอาคารสวัสดิการที่กองทัพจัดไว้เพื่อเป็นสวัสดิการที่พักอาศัยให้แก่ข้าราชการในสังกัดตามหลักเกณฑ์ที่มีการกำหนดเป็นระเบียบของหน่วยงานนั้น ๆ อาทิ ระเบียบคณะกรรมการอำนาวยการสวัสดิการกองบัญชาการกองทัพไทย ว่าด้วยการพักอาศัยในอาคารสวัสดิการ กองบัญชาการกองทัพไทย ได้ให้คำนิยามคำว่า '''“อาคารสวัสดิการ กองบัญชาการกองทัพไทย”''' ไว้ว่า “''หมายถึง บ้านพัก ห้องพักในอาคารสวัสดิการส่วนกลาง อาคารชุด และสิ่งก่อสร้างอื่นใดที่กองบัญชาการกองทัพไทยจัดหาเพื่อเป็นสวัสดิการที่พักอาศัยของข้าราชการเป็นส่วนรวม…”''&nbsp; และได้กำหนดนิยามของผู้พักอาศัย ผู้อาศัย และค่าบริการสวัสดิการไว้ เช่นเดียวกับระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการเข้าพักอาศัยในอาคาร บ้านพัก ของข้าราชการและลูกจ้างประจำในสังกัดกองทัพบก พ.ศ.2553 ได้นิยามคำว่า '''“อาคารที่พักอาศัยของทางราชการ”''' หมายถึง อาคารประเภทแฟลต และบ้านพัก หรือ เรือนแถว ที่กองทัพบกก่อสร้างขึ้นและมอบให้หน่วยต่าง ๆ รับผิดชอบควบคุมดูแล โดยได้กำหนด '''“ผู้ให้พักอาศัย”''' ไว้ว่า ''“หมายถึง หน่วยหรือกรมสวัสดิการทหารบกโดย กองทัพบกได้อนุมัติให้เป็นผู้รับผิดชอบในการควบคุมดูแลอาคารที่พักอาศัยของทางราชการ”'' และ '''“ผู้พักอาศัย”''' หมายถึง ข้าราชการประจำการ และลูกจ้างประจำ ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าพักอาศัยในอาคารที่พักอาศัยของทางราชการ


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; อย่างไรก็ตาม จากคำที่มุ่งสื่อถึงสวัสดิการที่พักอาศัยของผู้ปฏิบัติงานประจำในกองทัพ '''“บ้านพักทหาร”''' ถูกทำให้กลายเป็นคำศัพท์ทางการเมืองจากกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 55 คน เข้าชื่อร้องต่อประธานรัฐสภาขอให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคหนึ่ง โดยกล่าวอ้างว่า พล.อ.[[ประยุทธ์_จันทร์โอชา]] นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมใช้บ้านพักในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็ก ราชวัลลภรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นบ้านพักของทางราชการเป็นบ้านพักอาศัยโดยไม่เสียค่าเช่า ค่ากระแสไฟฟ้า และค่าน้ำประปาให้กับทางราชการทหาร ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก และตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรกจนถึงปัจจุบัน เป็นการอยู่อาศัยโดยไม่มีสิทธิอันชอบด้วยกฎหมาย ถือเป็นการรับประโยชน์ใด ๆ จากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐเป็นพิเศษ นอกเหนือไปจากที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติต่อบุคคลอื่น ๆ ในธุรกิจการงานปกติ เป็นการกระทำขัดกันแห่งผลประโยชน์ต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 186 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 184 วรรคหนึ่ง (3) ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) นอกจากนี้ ยังเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (5)[[#_ftn1|[1]]]
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; อย่างไรก็ตาม จากคำที่มุ่งสื่อถึงสวัสดิการที่พักอาศัยของผู้ปฏิบัติงานประจำในกองทัพ '''“บ้านพักทหาร”''' ถูกทำให้กลายเป็นคำศัพท์ทางการเมืองจากกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 55 คน เข้าชื่อร้องต่อประธานรัฐสภาขอให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคหนึ่ง โดยกล่าวอ้างว่า พล.อ.[[ประยุทธ์_จันทร์โอชา|ประยุทธ์_จันทร์โอชา]] นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมใช้บ้านพักในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็ก ราชวัลลภรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นบ้านพักของทางราชการเป็นบ้านพักอาศัยโดยไม่เสียค่าเช่า ค่ากระแสไฟฟ้า และค่าน้ำประปาให้กับทางราชการทหาร ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก และตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรกจนถึงปัจจุบัน เป็นการอยู่อาศัยโดยไม่มีสิทธิอันชอบด้วยกฎหมาย ถือเป็นการรับประโยชน์ใด ๆ จากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐเป็นพิเศษ นอกเหนือไปจากที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติต่อบุคคลอื่น ๆ ในธุรกิจการงานปกติ เป็นการกระทำขัดกันแห่งผลประโยชน์ต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 186 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 184 วรรคหนึ่ง (3) ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) นอกจากนี้ ยังเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (5)[[#_ftn1|[1]]]


&nbsp;
&nbsp;

รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:09, 18 กุมภาพันธ์ 2565

ผู้เรียบเรียง  ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิชุดา สาธิตพร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ  รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต

 


บ้านพักทหาร

          “บ้านพักทหาร” ในความหมายทั่วไป เป็นภาษาไม่เป็นทางการสำหรับเรียกอาคารสวัสดิการที่กองทัพจัดไว้เพื่อเป็นสวัสดิการที่พักอาศัยให้แก่ข้าราชการในสังกัดตามหลักเกณฑ์ที่มีการกำหนดเป็นระเบียบของหน่วยงานนั้น ๆ อาทิ ระเบียบคณะกรรมการอำนาวยการสวัสดิการกองบัญชาการกองทัพไทย ว่าด้วยการพักอาศัยในอาคารสวัสดิการ กองบัญชาการกองทัพไทย ได้ให้คำนิยามคำว่า “อาคารสวัสดิการ กองบัญชาการกองทัพไทย” ไว้ว่า “หมายถึง บ้านพัก ห้องพักในอาคารสวัสดิการส่วนกลาง อาคารชุด และสิ่งก่อสร้างอื่นใดที่กองบัญชาการกองทัพไทยจัดหาเพื่อเป็นสวัสดิการที่พักอาศัยของข้าราชการเป็นส่วนรวม…”  และได้กำหนดนิยามของผู้พักอาศัย ผู้อาศัย และค่าบริการสวัสดิการไว้ เช่นเดียวกับระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการเข้าพักอาศัยในอาคาร บ้านพัก ของข้าราชการและลูกจ้างประจำในสังกัดกองทัพบก พ.ศ.2553 ได้นิยามคำว่า “อาคารที่พักอาศัยของทางราชการ” หมายถึง อาคารประเภทแฟลต และบ้านพัก หรือ เรือนแถว ที่กองทัพบกก่อสร้างขึ้นและมอบให้หน่วยต่าง ๆ รับผิดชอบควบคุมดูแล โดยได้กำหนด “ผู้ให้พักอาศัย” ไว้ว่า “หมายถึง หน่วยหรือกรมสวัสดิการทหารบกโดย กองทัพบกได้อนุมัติให้เป็นผู้รับผิดชอบในการควบคุมดูแลอาคารที่พักอาศัยของทางราชการ” และ “ผู้พักอาศัย” หมายถึง ข้าราชการประจำการ และลูกจ้างประจำ ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าพักอาศัยในอาคารที่พักอาศัยของทางราชการ

          อย่างไรก็ตาม จากคำที่มุ่งสื่อถึงสวัสดิการที่พักอาศัยของผู้ปฏิบัติงานประจำในกองทัพ “บ้านพักทหาร” ถูกทำให้กลายเป็นคำศัพท์ทางการเมืองจากกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 55 คน เข้าชื่อร้องต่อประธานรัฐสภาขอให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคหนึ่ง โดยกล่าวอ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์_จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมใช้บ้านพักในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็ก ราชวัลลภรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นบ้านพักของทางราชการเป็นบ้านพักอาศัยโดยไม่เสียค่าเช่า ค่ากระแสไฟฟ้า และค่าน้ำประปาให้กับทางราชการทหาร ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก และตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรกจนถึงปัจจุบัน เป็นการอยู่อาศัยโดยไม่มีสิทธิอันชอบด้วยกฎหมาย ถือเป็นการรับประโยชน์ใด ๆ จากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐเป็นพิเศษ นอกเหนือไปจากที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติต่อบุคคลอื่น ๆ ในธุรกิจการงานปกติ เป็นการกระทำขัดกันแห่งผลประโยชน์ต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 186 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 184 วรรคหนึ่ง (3) ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) นอกจากนี้ ยังเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (5)[1]

 

ต้นทางแห่งคดี

          ก่อนที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 55 คน จะทำการเข้าชื่อร้องต่อประธานรัฐสภาขอให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยกรณีการเข้าพักอาศัยในบ้านพักทหารของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานั้น กรณีดังกล่าวได้ถูกนำไปใช้ในการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลอีก 5 คน รวม 6 คน ที่ได้เสนอญัตติไปเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2563 ก่อนหน้านั้นแล้ว ทั้งนี้ ในระหว่างการเปิดอภิปรายดังกล่าว (วันที่ 25-27 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ได้กล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าจงใจไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 ว่าด้วยการขัดกันของผลประโยชน์ เนื่องจากยังคงพักอาศัยอยู่ใน “บ้านพักทหาร” โดยไม่จ่ายค่าเช่า ไม่เสียค่าน้ำค่าไฟ ทั้งที่เกษียณอายุราชการจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกไปตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2557 แล้ว ถือว่ากรณีดังกล่าวเป็นการรับประโยชน์จากหน่วยงานของรัฐ และไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอันเป็นความผิดร้ายแรง[2]

          ถึงแม้ว่าในการอภิปรายไม่ไว้วางใจดังกล่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะลงมติไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยคะแนน 272 ต่อ 49 เสียง (งดออกเสียง 2 เสียง) ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 แต่พรรคเพื่อไทย นำโดยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ได้ยื่นเรื่องไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยกรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อาศัยอยู่ในบ้านพักทหารทั้งที่เกษียณอายุราชการแล้ว เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับเรื่องและนัดวินิจฉัยในวันที่ 2 ธันวาคม 2563 ทั้งนี้ หากคำวินิจฉัยออกมาในทางลักษณะที่เห็นว่ากรณีดังกล่าวเป็นกรณีที่เข้าข่ายการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ อาจส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประยุทธ์ จะถูกเว้นวรรคทางการเมือง 2 ปี แต่ถ้าคำวินิจฉัยออกมาในทางตรงกันข้ามก็จะส่งผลให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี และสามารถดำรงตำแหน่งต่อไป[3]

 

นานาทัศนะก่อนถึงวันตัดสิน

          ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยในคดี “บ้านพักทหาร” ได้มีการแสดงความคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าวอย่างหลากหลาย พรรคเพื่อไทยในฐานะผู้ยื่นคำร้องต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ เกษียณราชการและพ้นจากตำแหน่ง “ผู้บัญชาการทหารบก” ในเดือน ก.ย. ปี 2557 ต่อมามีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซึ่งมีบทบัญญัติในมาตรา 184 (3) ห้ามมิให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา “...รับเงินหรือประโยชน์ใดๆ จากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเป็นพิเศษนอกเหนือไปจากที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจปฏิบัติต่อบุคคลอื่นๆ ในธุรกิจการงานปกติ” และให้นำบทบัญญัตินี้บังคับใช้แก่รัฐมนตรีด้วย (มาตรา 186) ดังนั้น เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ อาศัยในบ้านพักทหารโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ถือว่าเป็นการ “รับประโยชน์ใด” จากหน่วยงานราชการ จึงเข้าหลักเกณฑ์ว่าด้วยการขัดกันแห่งผลประโยชน์ที่รัฐธรรมนูญวางหลักการไว้[4]

          นอกจากนี้ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ยังได้แสดงทัศนะต่อเรื่องนี้ในรายการ peace talk ทาง Facebook Live เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2563 ว่าอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ โดยเฉพาะถ้านำคดีบ้านพักทหารนี้ไปเทียบเคียงกับกรณีของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี จัดรายการชิมไปบ่นไป และศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นตำแหน่งเพราะการรับเงินค่ารถเกิน 3,000 บาท กรณีพล.อ.ประยุทธ์ อยู่อาศัยในบ้านพักของทางราชการซึ่งน่าจะมีมูลค่าของผลประโยชน์
ที่ได้รับสูงกว่า 3,000 บาทก็น่าจะมีโอกาสถูกตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งได้เช่นเดียวกัน[5]

          ขณะที่รัฐบาลและกองทัพบกในฐานะหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบกรณีบ้านพักของ พลเอกประยุทธ์ มีการชี้แจงไปยังศาลรัฐธรรมนูญหลายครั้ง นับตั้งแต่ภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตัวแทนของรัฐบาลได้ส่งเรื่องผ่านรัฐสภา ซึ่งมีรายงานว่าได้ส่งเอกสารจำนวน 3 หน้า เพื่อขอส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญประกอบการวินิจฉัย ประเด็นสำคัญในเอกสารดังกล่าว คือ การชี้แจงว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับว่าพักอาศัยอยู่ในบ้านพักทหารจริง และมีข้อยกเว้นตามระเบียบให้เข้าพักอาศัยได้ ส่วนสาเหตุที่ไม่อาศัยอยูที่บ้านพักประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คือบ้านพิษณุโลกนั้น เป็นเพราะบ้านพักดังกล่าวอยู่ระหว่างการปรับปรุง นอกจากนี้ ยังได้ให้เหตุผลเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยว่าการรักษาความปลอดภัยภายในค่ายทหารทำได้ดีกว่าภายนอก ต่อมากองทัพบกมีการส่งเอกสารชี้แจงที่มีเนื้อหาเดียวกัน ลงนามโดย พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้นส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ และภายหลังจากที่พล อ.อภิรัชต์ เกษียณอายุราชการ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบกคนถัดมาได้ส่งเอกสารคำชี้แจง 3 หน้าดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้ง กล่าวได้ว่า ในทัศนะของรัฐบาลและกองทัพบก การเข้าพักอาศัยในบ้านพักทหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ภายหลังเกษียณราชการและพ้นจากตำแหน่งแล้วชอบด้วยระเบียบของกองทัพบก และยังมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย[6]

 

ผลการพิจารณา

          ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า บ้านพักอาศัยของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ถูกร้อง ได้เปลี่ยนสถานะเป็น “บ้านพักรับรอง” ตามระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรองกองทัพบก พ.ศ.2548 ซึ่งกำหนดให้อดีตผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของกองทัพบกซึ่งทำคุณประโยชน์ให้กับกองทัพบกและประเทศชาติและเคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกมาแล้ว มีสิทธิเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรองกองทัพบก และกองทัพบกสามารถพิจารณาความเหมาะสมในการสนับสนุนงบประมาณค่ากระแสไฟฟ้าและน้ำประปา ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ที่จำเป็นต่อการพักอาศัยตามความจำเป็นและเหมาะสมในการใช้งาน เมื่อพล.อ.ประยุทธ์เคยเป็นผู้บัญชาการทหารบกจึงเป็นผู้มีสิทธิเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรองกองทัพบกและมีสิทธิได้รับการสนับสนุนค่ากระแสไฟฟ้า และน้ำประปาตามระเบียบดังกล่าวข้างต้น หาใช่อาศัยในบ้านพักรับรองในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียงสถานะเดียว ซึ่งหาก พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้เป็นผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของกองทัพมาก่อน แม้เป็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นพลเรือนย่อมไม่มีสิทธิได้พักอาศัยในบ้านพักรับรองตามระเบียบของกองทัพบกได้ การให้สิทธิดังกล่าวเป็นการให้แก่
ผู้มีคุณสมบัติตามระเบียบนั้นเป็นธุรกิจการงานปกติ โดยถือเป็นสิทธิของบุคคลอันเนื่องมาจากการดำรงตำแหน่งอดีตผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของกองทัพบก จึงมีมติเอกฉันท์ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (5) และมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 186 วรรคหนึ่ง และมาตรา 184 วรรคหนึ่ง (3) และผู้ถูกร้องไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงแต่อย่างใด[7]

 

อ้างอิง

[1] คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 29/2563, ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 137 ตอน 104 ก ลงวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ.2563

[2] หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ. (30 พฤศจิกายน 2563). “ศาลรัฐธรรมนูญ: สำรวจข้อกฎหมาย-ข้อวิเคราะห์ ก่อนศาลรัฐธรรมนูญชี้ชะตา พล.อ. ประยุทธ์ คดีพักบ้านหลวง.” บีบีซีไทย, 30 พฤศจิกายน 2020. <https://www.bbc.com/thai/thailand-55126328>

[3] “คดีพักบ้านหลวง: พล.อ.ประยุทธ์อาจพ่าย แต่ระบอบ คสช. ยังไม่แพ้.” iLaw, 30 พฤศจิกายน 2563. <https://ilaw.or.th/node/5789>

[4] “เทียบระเบียบทหาร! บ้านพัก "ประยุทธ์" ขัดกันแห่งผลประโยชน์หรือไม่.” Thai PBS, 27 พฤศจิกายน 2563. <https://news.thaipbs.or.th/content/298708>

[5] "จตุพร"ชี้คดีบ้านพักหลวงอาจเป็นทางลงสวยงามของ"บิ๊กตู่." โพสต์ทูเดย์, 5 พฤศจิกายน 2563. <https://www.posttoday.com/politic/news/637340>

[6] “เทียบระเบียบทหาร! บ้านพัก "ประยุทธ์" ขัดกันแห่งผลประโยชน์หรือไม่.” Thai PBS, 27 พฤศจิกายน 2563. <https://news.thaipbs.or.th/content/298708>

[7] คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 29/2563, ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 137 ตอน 104 ก ลงวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ.2563