ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กรมวัง"
สร้างหน้าด้วย " ผู้เรียบเรียง : ดร.โดม ไกรปกรณ์ ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบท..." |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 1: | บรรทัดที่ 1: | ||
ผู้เรียบเรียง : ดร.โดม ไกรปกรณ์ | ผู้เรียบเรียง : ดร.โดม ไกรปกรณ์ | ||
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ <span dir="RTL">: </span> รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต | ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ <span dir="RTL">: </span> รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต | ||
บรรทัดที่ 8: | บรรทัดที่ 8: | ||
'''กรมวัง''' | '''กรมวัง''' | ||
ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) | ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาได้มีการตั้งขุนนางใน[[การบริหารราชการแผ่นดิน]] โดยขุนนางตำแหน่งสำคัญในสมัยนั้นได้แก่ตำแหน่ง “[[จตุสดมภ์]]” อันประกอบไปด้วย เวียง วัง คลัง นา[[#_ftn1|[1]]] ขุนนางตำแหน่งกรมวังนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงกล่าวไว้ว่า เจ้ากรมวังมียศเป็น “[[เจ้าพระยาธรรมาธิบดี]]”[[#_ftn2|[2]]] จากการสืบค้นใน[[กฏมณเฑียรบาล|กฎมณเฑียรบาล]]พบว่า เจ้าพระยาธรรมาธิบดีหรือ “ออกญาธารมาธิบดี” ถือ[[ศักดินา]] 10000[[#_ftn3|[3]]] | ||
สำหรับอำนาจหน้าที่ของกรมวังนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชาธิบายว่า กรมวังเป็นเสนาบดีในพระราชวัง เป็นพนักงานที่จะจัดการพระราชพิธีต่างๆ ได้บังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายหน้าซึ่งมีตำแหน่งอยู่ในพระบรมมหาราชวังชั้นในและข้าราชการฝ่ายในทั่วไป รวมทั้งมีอำนาจที่จะตั้งศาลชำระความซึ่งเกี่ยวข้องกับกรมกองต่างๆ[[#_ftn4|[4]]] | สำหรับอำนาจหน้าที่ของกรมวังนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชาธิบายว่า กรมวังเป็นเสนาบดีในพระราชวัง เป็นพนักงานที่จะจัดการพระราชพิธีต่างๆ ได้บังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายหน้าซึ่งมีตำแหน่งอยู่ในพระบรมมหาราชวังชั้นในและข้าราชการฝ่ายในทั่วไป รวมทั้งมีอำนาจที่จะตั้งศาลชำระความซึ่งเกี่ยวข้องกับกรมกองต่างๆ[[#_ftn4|[4]]] โดยอำนาจหน้าที่ที่เป็นหัวหน้าในพระราชสำนักและดูแลเรื่อง[[ศาลยุติธรรม]]นี้เอง เสนาบดีกรมวังจึงมีอีกนามหนึ่งว่า “ธรรมาธิกรณ์”[[#_ftn5|[5]]] | ||
ด้วยอำนาจหน้าที่หลายด้าน ดังนั้นเสนาบดีกรมวังจึงมีอำนาจควบคุมกรมย่อยๆจำนวนมาก เช่น พระตำรวจวัง | ด้วยอำนาจหน้าที่หลายด้าน ดังนั้นเสนาบดีกรมวังจึงมีอำนาจควบคุมกรมย่อยๆจำนวนมาก เช่น พระตำรวจวัง กรมพระราชยาน (ช่างทอง ช่างเงิน ช่างทำเครื่องหอม ช่างทำเครื่องเรือน อยู่ในกรมนี้) กรมอาวุธหลวง กรมฉางข้าวหลวง กรมสวนหลวง[[#_ftn6|[6]]] อีกทั้งยังมีอำนาจในการแต่งตั้งขุนนางสำคัญประจำเมืองต่างๆคือ “[[ยกกระบัตร]]” ซึ่งเป็นตัวแทนของ[[พระมหากษัตริย์]]ไปทำหน้าที่ดูแลความยุติธรรม เป็นเสมือนหัวหน้าศาลในหัวเมืองและทำหน้าที่เป็นเหมือนรองเจ้าเมือง[[#_ftn7|[7]]] | ||
แม้ว่ากรุงศรีอยุธยาจะล่มสลายไปในสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 2310 แต่การปกครองระบบขุนนางของกรุงศรีอยุธยาได้รับการรื้อฟื้นโดยพระมหากษัตริย์ราชวงศ์ใหม่ | แม้ว่ากรุงศรีอยุธยาจะล่มสลายไปในสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 2310 แต่การปกครองระบบขุนนางของกรุงศรีอยุธยาได้รับการรื้อฟื้นโดยพระมหากษัตริย์ราชวงศ์ใหม่ ดังนั้นจึงมีการตั้ง[[เสนาบดีกรมวัง]]ขึ้นอีกครั้ง เห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าในสมัย[[กรุงรัตนโกสินทร์]] มีการแต่งตั้งขุนนางตำแหน่งเสนาบดีกรมวัง ซึ่งได้รับ[[ราชทินนาม]] “ธรรมาธิกรณ์” ได้แก่ เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (บุญรอด) และเจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (สด) ในสมัย[[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก]] เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (เทศ) ในสมัย[[พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย]] เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (สมบุญ) ในสมัย[[พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว]] เจ้าพระยาธรรมธิกรณ์ (เสือ) และเจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (บุญศรี) ในสมัย[[พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]] เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (ลมั่ง) ในสมัย[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]][[#_ftn8|[8]]] | ||
หลังจาก เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (ลมั่ง) ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว ไม่มีการตั้งขุนนางผู้ใดในราชทินนาม “เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์” อีกและได้เปลี่ยนกรมวังเป็นกระทรวงวัง | หลังจาก เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (ลมั่ง) ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว ไม่มีการตั้งขุนนางผู้ใดในราชทินนาม “เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์” อีกและได้เปลี่ยนกรมวังเป็นกระทรวงวัง ยกเลิกตำแหน่ง[[เสนาบดีจตุสดมภ์]] (เวียง วังคลัง นา) อย่างไรก็ตาม ในรัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว]] ทรงโปรดเกล้าฯให้พระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียรเป็นเสนาบดีกระทรวงวัง แล้วโปรดเกล้าฯให้เป็นพระยาธรรมาธิกรณ์ เมื่อพ.ศ. 2456 พระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียรเป็นเสนาบดีกระทรวงวัง แล้วโปรดเกล้าให้เป็นเจ้าพระยาธรรมธิกรณาธิบดี พระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร (ม.ร.ว. ปุ้ม มาลากุล) เป็นขุนนางคนสุดท้ายที่ได้รับราชทินนาม “เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์/เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี” [[#_ftn9|[9]]] | ||
'''บรรณานุกรม''' | '''บรรณานุกรม''' |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 13:58, 19 ธันวาคม 2560
ผู้เรียบเรียง : ดร.โดม ไกรปกรณ์
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต
กรมวัง
ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาได้มีการตั้งขุนนางในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยขุนนางตำแหน่งสำคัญในสมัยนั้นได้แก่ตำแหน่ง “จตุสดมภ์” อันประกอบไปด้วย เวียง วัง คลัง นา[1] ขุนนางตำแหน่งกรมวังนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงกล่าวไว้ว่า เจ้ากรมวังมียศเป็น “เจ้าพระยาธรรมาธิบดี”[2] จากการสืบค้นในกฎมณเฑียรบาลพบว่า เจ้าพระยาธรรมาธิบดีหรือ “ออกญาธารมาธิบดี” ถือศักดินา 10000[3]
สำหรับอำนาจหน้าที่ของกรมวังนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชาธิบายว่า กรมวังเป็นเสนาบดีในพระราชวัง เป็นพนักงานที่จะจัดการพระราชพิธีต่างๆ ได้บังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายหน้าซึ่งมีตำแหน่งอยู่ในพระบรมมหาราชวังชั้นในและข้าราชการฝ่ายในทั่วไป รวมทั้งมีอำนาจที่จะตั้งศาลชำระความซึ่งเกี่ยวข้องกับกรมกองต่างๆ[4] โดยอำนาจหน้าที่ที่เป็นหัวหน้าในพระราชสำนักและดูแลเรื่องศาลยุติธรรมนี้เอง เสนาบดีกรมวังจึงมีอีกนามหนึ่งว่า “ธรรมาธิกรณ์”[5]
ด้วยอำนาจหน้าที่หลายด้าน ดังนั้นเสนาบดีกรมวังจึงมีอำนาจควบคุมกรมย่อยๆจำนวนมาก เช่น พระตำรวจวัง กรมพระราชยาน (ช่างทอง ช่างเงิน ช่างทำเครื่องหอม ช่างทำเครื่องเรือน อยู่ในกรมนี้) กรมอาวุธหลวง กรมฉางข้าวหลวง กรมสวนหลวง[6] อีกทั้งยังมีอำนาจในการแต่งตั้งขุนนางสำคัญประจำเมืองต่างๆคือ “ยกกระบัตร” ซึ่งเป็นตัวแทนของพระมหากษัตริย์ไปทำหน้าที่ดูแลความยุติธรรม เป็นเสมือนหัวหน้าศาลในหัวเมืองและทำหน้าที่เป็นเหมือนรองเจ้าเมือง[7]
แม้ว่ากรุงศรีอยุธยาจะล่มสลายไปในสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 2310 แต่การปกครองระบบขุนนางของกรุงศรีอยุธยาได้รับการรื้อฟื้นโดยพระมหากษัตริย์ราชวงศ์ใหม่ ดังนั้นจึงมีการตั้งเสนาบดีกรมวังขึ้นอีกครั้ง เห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีการแต่งตั้งขุนนางตำแหน่งเสนาบดีกรมวัง ซึ่งได้รับราชทินนาม “ธรรมาธิกรณ์” ได้แก่ เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (บุญรอด) และเจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (สด) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (เทศ) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (สมบุญ) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าพระยาธรรมธิกรณ์ (เสือ) และเจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (บุญศรี) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (ลมั่ง) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[8]
หลังจาก เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (ลมั่ง) ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว ไม่มีการตั้งขุนนางผู้ใดในราชทินนาม “เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์” อีกและได้เปลี่ยนกรมวังเป็นกระทรวงวัง ยกเลิกตำแหน่งเสนาบดีจตุสดมภ์ (เวียง วังคลัง นา) อย่างไรก็ตาม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯให้พระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียรเป็นเสนาบดีกระทรวงวัง แล้วโปรดเกล้าฯให้เป็นพระยาธรรมาธิกรณ์ เมื่อพ.ศ. 2456 พระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียรเป็นเสนาบดีกระทรวงวัง แล้วโปรดเกล้าให้เป็นเจ้าพระยาธรรมธิกรณาธิบดี พระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร (ม.ร.ว. ปุ้ม มาลากุล) เป็นขุนนางคนสุดท้ายที่ได้รับราชทินนาม “เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์/เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี” [9]
บรรณานุกรม
กฎหมายตราสามดวง เล่ม 1. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา, 2537.
เทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, สมเด็จพระ. บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549.
เวลส์, ควอริช . การปกครองและการบริหารของไทยสมัยโบราณ. กาญจนี ละอองศรี และยุพา ชุมจันทร์ (แปล), กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2527.
ส. พลายน้อย. ขุนนางสยาม ประวัติศาสตร์ “ข้าราชการ” ทหารและพลเรือน. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: มติชน, 2559.
อาคม พัฒิยะ และ นิธิ เอียวศรีวงศ์. ศรีรามเทพนคร รวมความเรียงว่าด้วยประวัติศาสตร์อยุธยาตอนต้น.กรุงเทพฯ: ศิลปวัฒนธรรม, 2527.
[1] อาคม พัฒิยะ และ นิธิ เอียวศรีวงศ์, ศรีรามเทพนคร รวมความเรียงว่าด้วยประวัติศาสตร์อยุธยาตอนต้น, กรุงเทพฯ: ศิลปวัฒนธรรม, 2527, หน้า 46.
[2] สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์, พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549, หน้า 14.
[3] กฎหมายตราสามดวง เล่ม 1, พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา, 2537, หน้า 237.
[4] พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแถลงพระบรมราชาธิบายแก้ไขการปกครองแผ่นดิน, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2557, หน้า 22.
[5] สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ประชุมพระนิพนธ์สรรพความรู้, กรุงเทพฯ: สยามปริทัศน์, 2555, หน้า 71.
[6] ควอริช เวลส์, การปกครองและการบริหารของไทยสมัยโบราณ, กาญจนี ละอองศรี และยุพา ชุมจันทร์ (แปล), กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2527, หน้า 75.
[7] สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์, หน้า 15.
[8] ส. พลายน้อย, ขุนนางสยาม ประวัติศาสตร์ “ข้าราชการ” ทหารและพลเรือน, พิมพ์ครั้งที่ 3, กรุงเทพฯ: มติชน, 2559, หน้า 113-118.
[9] เรื่องเดียวกัน, หน้า 118-119.