ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Suksan (คุย | ส่วนร่วม)
หน้าที่ถูกสร้างด้วย 'รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงส...'
 
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:
รัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]]ทรงสนับสนุนให้มีการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมทั้งด้านสถาปัตยกรรม และจิตรกรรม  มีทั้งการบูรณปฏิสังขรณ์และการก่อสร้างถาวรวัตถุซึ่งนำแบบศิลปะแบบไทยและแบบตะวันตกมาเป็นแบบแผนในการก่อสร้างด้วย


==การบูรณปฏิสังขรณ์วัดและพระบรมมหาราชวัง : การอนุรักษ์และการสืบทอด==
'''ผู้เรียบเรียง : '''ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร


ด้วยอายุกาลของกรุงรัตนโกสินทร์ตั้งมั่นมาจนบรรจบครบ ๑๕๐ ปี  ในเดือนเมษายน ปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ อันเป็นโอกาสที่ทั้งทางราชการ และประชาชนชาวไทย ควรปิติยินดี ที่จะจัดให้มีการฉลองสมโภชตามโบราณราชประเพณี ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงธรรมเนียมอันพึงปฏิบัติมาแต่กาลก่อน ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง[[สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต]]เป็นแม่กองการบูรณปฏิสังขรณ์ในการฉลองสมโภชพระนครเป็นปฐม คือ การดำเนินการปฏิสังขรณ์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระมหาอารามคู่บ้านคู่เมือง ถวายเป็นพุทธบูชาใช้เงินทั้งสิ้น ๖๐๐,๐๐๐ บาท เป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ที่ทรงอุทิศจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ใช้เงินแผ่นดิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ในส่วนที่ยังขาดพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้คณะกรรมการจัดดำเนินการบอกบุญ ชักชวน พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร และประชาชนเพื่อให้มีโอกาสบำเพ็ญกุศลร่วมกัน<ref>  สถาบันพระปกเกล้า. สมุดภาพรัชกาลที่ ๗  สถาบันพระปกเกล้าจัดพิมพ์เป็นที่ระลึก ในนิทรรศการอวดภาพและของหายากยุครัชกาลที่ ๗ กรุงเทพฯ : อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่งจำกัด (มหาชน).หน้า ๑๕๒. </ref>  ดังนั้น  วัดพระศรีรัตนศาสดาราม จึงได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์แก้ไขการชำรุดเสื่อมสภาพในศาสนสถานทั่วไปทั้งหมดให้คืนคงงดงาม
'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ&nbsp;:''' รองศาสตราจารย์ ดร.สนธิ เตชานันท์


การบูรณปฏิสังขรณ์ในสมัย[[รัชกาลที่ ๗]] นี้ เป็นการคราวใหญ่ครั้งที่๓ ถัดมาจากสมัยรัชกาล[[พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว]] และ[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]]  นอกจากนี้ยังมีการบูรณะ[[พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท]]  การสร้างพระอุโบสถบนลานพระปฐมเจดีย์ใหม่เพื่อทดแทนของเดิมที่ชำรุดยากแก่การปฏิสังขรณ์  ซึ่งแล้วเสร็จในรัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล]] 
รัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว|พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]]ทรงสนับสนุนให้มีการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมทั้งด้านสถาปัตยกรรม และจิตรกรรม มีทั้งการบูรณปฏิสังขรณ์และการก่อสร้างถาวรวัตถุซึ่งนำแบบศิลปะแบบไทยและแบบตะวันตกมาเป็นแบบแผนในการก่อสร้างด้วย


ด้วยเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในประเทศ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงเปลี่ยนจากการสร้างวัดประจำรัชกาลมาเป็นการปฏิสังขรณ์พระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามพระอารามประจำรัชกาลพระบรมชนกนาถเกือบตลอดรัชกาล  วัดนี้จึงเปรียบเสมือนวัดประจำรัชกาลของพระองค์ด้วย นอกจากจะเป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว    ภายหลังเมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตที่ประเทศอังกฤษ  สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงอัญเชิญพระบรมอัฐิกลับสู่พระนครจึงได้อัญเชิญพระบรมราชสรีรังคารบรรจุไว้ ณ ฐานชุกชีที่ประดิษฐานพระพุทธอังคีรสซึ่งเป็นพระประธานของ[[วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม]]
== การบูรณปฏิสังขรณ์วัดและพระบรมมหาราชวัง&nbsp;: การอนุรักษ์และการสืบทอด ==


==โปรดเกล้าฯให้เขียนจิตรกรรมพระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช==
ด้วยอายุกาลของกรุงรัตนโกสินทร์ตั้งมั่นมาจนบรรจบครบ ๑๕๐ ปี ในเดือนเมษายน ปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ อันเป็นโอกาสที่ทั้งทางราชการ และประชาชนชาวไทย ควรปิติยินดี ที่จะจัดให้มีการฉลองสมโภชตามโบราณราชประเพณี ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงธรรมเนียมอันพึงปฏิบัติมาแต่กาลก่อน ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง[[สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต|สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต]]เป็นแม่กองการบูรณปฏิสังขรณ์ในการฉลองสมโภชพระนครเป็นปฐม คือ การดำเนินการปฏิสังขรณ์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระมหาอารามคู่บ้านคู่เมือง ถวายเป็นพุทธบูชาใช้เงินทั้งสิ้น ๖๐๐,๐๐๐ บาท เป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ที่ทรงอุทิศจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ใช้เงินแผ่นดิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ในส่วนที่ยังขาดพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้คณะกรรมการจัดดำเนินการบอกบุญ ชักชวน พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร และประชาชนเพื่อให้มีโอกาสบำเพ็ญกุศลร่วมกัน<ref>  สถาบันพระปกเกล้า. สมุดภาพรัชกาลที่ ๗  สถาบันพระปกเกล้าจัดพิมพ์เป็นที่ระลึก ในนิทรรศการอวดภาพและของหายากยุครัชกาลที่ ๗ กรุงเทพฯ : อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่งจำกัด (มหาชน).หน้า ๑๕๒. </ref> ดังนั้น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม จึงได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์แก้ไขการชำรุดเสื่อมสภาพในศาสนสถานทั่วไปทั้งหมดให้คืนคงงดงาม


พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ปฏิสังขรณ์[[วัดสุวรรณดาราราม]] จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สร้างมาตั้งแต่ปลายสมัยอยุธยาโดยพระยาวรวงศาธิราช(คุณทอง) พระอัยกาของ[[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก]] ดังนั้นวัดสุวรรณดารารามเสมือนเป็นวัดของพระบรมจักรีวงศ์  <ref>  วัดสุวรรณดาราราม  รัชกาลที่ ๑ ทรงสร้างพระอุโบสถ รัชกาลที่ ๓ ทรงสร้างกุฏิถวายรัชกาลที่ ๒    และทรงสร้างศาลการเปรียญ  รัชกาลที่ ๔ ทรงสร้างพระเจดีย์  รัชกาลที่ ๕ ทรงสร้างพระวิหารต่อจากรัชกาลที่ ๔ จนเสร็จ  สำหรับจิตรกรรมพระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในพระวิหารเขียนขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๗. </ref>
การบูรณปฏิสังขรณ์ในสมัย[[รัชกาลที่_๗|รัชกาลที่ ๗]] นี้ เป็นการคราวใหญ่ครั้งที่๓ ถัดมาจากสมัยรัชกาล[[พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว|พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว]] และ[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว|พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]] นอกจากนี้ยังมีการบูรณะ[[พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท|พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท]] การสร้างพระอุโบสถบนลานพระปฐมเจดีย์ใหม่เพื่อทดแทนของเดิมที่ชำรุดยากแก่การปฏิสังขรณ์ ซึ่งแล้วเสร็จในรัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล|พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล]]


จิตรกรรมในพระวิหารวัดสุวรรณดารารามนั้น  โปรดเกล้าฯให้พระยาอนุสาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร)  เป็นผู้เขียนขึ้นใหม่ เมื่อพ.ศ. ๒๔๗๔เป็นภาพเขียนเรื่องราวพระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราชตั้งแต่ทรงพระเยาว์จนสวรรคต  มีภาพยุทธหัตถีเป็นภาพเด่นอยู่เหนือประตูด้านหน้า  โดยใช้เทคนิคการวาดภาพแบบตะวันตกมาประยุกต์ใช้กับจิตรกรรมฝาผนังไทยเป็นภาพสีน้ำมันเสมือนจริงทั้งหน้าตา ร่างกาย กล้ามเนื้อ สัดส่วน และเครื่องแต่งกายได้รับความเห็นชอบจาก[[ราชบัณฑิตยสภา]] ซึ่งราชบัณฑิตยสภาออกความคิดเห็นให้เขียน โดยกะให้เขียนเป็นช่องๆ เป็นเรื่องๆ โดยยึดเอาพระราชพงศาวดารเป็นหลัก  นับเป็นภาพจิตรกรรมเล่าเรื่องที่ปรากฏคุณค่ามาจนทุกวันนี้
ด้วยเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในประเทศ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงเปลี่ยนจากการสร้างวัดประจำรัชกาลมาเป็นการปฏิสังขรณ์พระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามพระอารามประจำรัชกาลพระบรมชนกนาถเกือบตลอดรัชกาล วัดนี้จึงเปรียบเสมือนวัดประจำรัชกาลของพระองค์ด้วย นอกจากจะเป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายหลังเมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตที่ประเทศอังกฤษ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงอัญเชิญพระบรมอัฐิกลับสู่พระนครจึงได้อัญเชิญพระบรมราชสรีรังคารบรรจุไว้ ณ ฐานชุกชีที่ประดิษฐานพระพุทธอังคีรสซึ่งเป็นพระประธานของ[[วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม|วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม]]


==พระปฐมบรมราชานุสรณ์และสะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ==
== โปรดเกล้าฯให้เขียนจิตรกรรมพระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ==


ในโอกาสการเฉลิมฉลองวาระที่พระนครและพระบรมจักรีวงศ์มีอายุครบ ๑๕๐ ปี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่าสมควรจะสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อเป็นพระปฐมบรมราชานุสรณ์ที่ระลึกในพระมหากรุณาธิคุณในพระปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมจักรีวงศ์  และเพื่อเป็นการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์แก่อาณาประชาราษฎร์  จึงโปรดเกล้าฯให้ประกาศสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๐  และมีการก่อสร้าง[[สะพานพระพุทธยอดฟ้า]]เริ่มขึ้นในปีพ.ศ. ๒๔๗๒ เพื่อเชื่อมการคมนาคมระหว่างกรุงเทพมหานครและธนบุรี ผู้ริเริ่มความคิดนี้คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ [[กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน]] เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานเงินเป็นทุนสนับสนุนในการก่อสร้างเป็นเงิน ล้านบาท รวมกับเงินบริจาคของประชาชนในการก่อสร้างและพระราชทานที่ดิน ตำบลวัดราชบูรณะเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ก่อสร้างรวมกับที่ดินที่รัฐบาลจัดซื้อเพิ่มเติมเป็นเงินก่อสร้างทั้งหมดจำนวนสี่ล้านบาท
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ปฏิสังขรณ์[[วัดสุวรรณดาราราม|วัดสุวรรณดาราราม]] จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สร้างมาตั้งแต่ปลายสมัยอยุธยาโดยพระยาวรวงศาธิราช(คุณทอง) พระอัยกาของ[[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก|พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก]] ดังนั้นวัดสุวรรณดารารามเสมือนเป็นวัดของพระบรมจักรีวงศ์ <ref> วัดสุวรรณดาราราม  รัชกาลที่ ๑ ทรงสร้างพระอุโบสถ รัชกาลที่ ๓ ทรงสร้างกุฏิถวายรัชกาลที่     และทรงสร้างศาลการเปรียญ  รัชกาลที่ ๔ ทรงสร้างพระเจดีย์  รัชกาลที่ ๕ ทรงสร้างพระวิหารต่อจากรัชกาลที่ ๔ จนเสร็จ  สำหรับจิตรกรรมพระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในพระวิหารเขียนขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๗. </ref>


ลักษณะของสะพานเสมือนลูกศรพุ่งผ่านใจเมืองออกแบบโดย[[สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์]] อุปนายกราชบัณฑิตยสภา ผู้อำนวยการแผนกศิลปากรในเวลานั้น  ส่วนพระบรมรูปปั้นโดยนายโคราโด เฟโรจี (ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี) นายช่างปั้นชาวอิตาเลียน ซึ่งรับราชการอยู่ที่ศิลปากรสถาน
จิตรกรรมในพระวิหารวัดสุวรรณดารารามนั้น โปรดเกล้าฯให้พระยาอนุสาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร) เป็นผู้เขียนขึ้นใหม่ เมื่อพ.ศ. ๒๔๗๔เป็นภาพเขียนเรื่องราวพระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราชตั้งแต่ทรงพระเยาว์จนสวรรคต มีภาพยุทธหัตถีเป็นภาพเด่นอยู่เหนือประตูด้านหน้า โดยใช้เทคนิคการวาดภาพแบบตะวันตกมาประยุกต์ใช้กับจิตรกรรมฝาผนังไทยเป็นภาพสีน้ำมันเสมือนจริงทั้งหน้าตา ร่างกาย กล้ามเนื้อ สัดส่วน และเครื่องแต่งกายได้รับความเห็นชอบจาก[[ราชบัณฑิตยสภา|ราชบัณฑิตยสภา]] ซึ่งราชบัณฑิตยสภาออกความคิดเห็นให้เขียน โดยกะให้เขียนเป็นช่องๆ เป็นเรื่องๆ โดยยึดเอาพระราชพงศาวดารเป็นหลัก นับเป็นภาพจิตรกรรมเล่าเรื่องที่ปรากฏคุณค่ามาจนทุกวันนี้


พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดป้ายและวิถีสะพานเมื่อวันที่ [[๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕]] 
== พระปฐมบรมราชานุสรณ์และสะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ ==
==ไกลกังวล : วังแห่งเดียวที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๗==


จากหลักฐานพบว่า ตลอดรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการก่อสร้างวังเพียงแห่งเดียว คือ [[วังไกลกังวล]] ที่หัวหิน ผู้ออกแบบคือ [[หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากร]] สถาปนิกรุ่นแรกที่ไปศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศส วังไกลกังวลเริ่มก่อสร้างตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๖๙ แล้วเสร็จในปีพ.ศ. ๒๔๗๒ รูปแบบสถาปัตยกรรมเรียบง่ายไม่ซับซ้อนคล้ายบ้านพักตากอากาศหลังใหญ่ แสดงให้เห็นถึงสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจ นับเป็นการดัดแปลงอิทธิพลจากตะวันตกให้สอดคล้องกลมกลืนกับสภาพภูมิอากาศร้อนชื้นของไทยได้อย่างเหมาะสม
ในโอกาสการเฉลิมฉลองวาระที่พระนครและพระบรมจักรีวงศ์มีอายุครบ ๑๕๐ ปี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่าสมควรจะสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อเป็นพระปฐมบรมราชานุสรณ์ที่ระลึกในพระมหากรุณาธิคุณในพระปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมจักรีวงศ์ และเพื่อเป็นการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์แก่อาณาประชาราษฎร์ จึงโปรดเกล้าฯให้ประกาศสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๐ และมีการก่อสร้าง[[สะพานพระพุทธยอดฟ้า|สะพานพระพุทธยอดฟ้า]]เริ่มขึ้นในปีพ.ศ. ๒๔๗๒ เพื่อเชื่อมการคมนาคมระหว่างกรุงเทพมหานครและธนบุรี ผู้ริเริ่มความคิดนี้คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ [[กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน|กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน]] เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานเงินเป็นทุนสนับสนุนในการก่อสร้างเป็นเงิน ๒ ล้านบาท รวมกับเงินบริจาคของประชาชนในการก่อสร้างและพระราชทานที่ดิน ตำบลวัดราชบูรณะเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ก่อสร้างรวมกับที่ดินที่รัฐบาลจัดซื้อเพิ่มเติมเป็นเงินก่อสร้างทั้งหมดจำนวนสี่ล้านบาท
 
ลักษณะของสะพานเสมือนลูกศรพุ่งผ่านใจเมืองออกแบบโดย[[สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ_เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์|สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์]] อุปนายกราชบัณฑิตยสภา ผู้อำนวยการแผนกศิลปากรในเวลานั้น ส่วนพระบรมรูปปั้นโดยนายโคราโด เฟโรจี (ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี) นายช่างปั้นชาวอิตาเลียน ซึ่งรับราชการอยู่ที่ศิลปากรสถาน
 
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดป้ายและวิถีสะพานเมื่อวันที่ [[๖_เมษายน_พ.ศ._๒๔๗๕|๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕]]  
 
== ไกลกังวล&nbsp;: วังแห่งเดียวที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๗ ==
 
จากหลักฐานพบว่า ตลอดรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการก่อสร้างวังเพียงแห่งเดียว คือ [[วังไกลกังวล|วังไกลกังวล]] ที่หัวหิน ผู้ออกแบบคือ [[หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์_กฤดากร|หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากร]] สถาปนิกรุ่นแรกที่ไปศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศส วังไกลกังวลเริ่มก่อสร้างตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๖๙ แล้วเสร็จในปีพ.ศ. ๒๔๗๒ รูปแบบสถาปัตยกรรมเรียบง่ายไม่ซับซ้อนคล้ายบ้านพักตากอากาศหลังใหญ่ แสดงให้เห็นถึงสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจ นับเป็นการดัดแปลงอิทธิพลจากตะวันตกให้สอดคล้องกลมกลืนกับสภาพภูมิอากาศร้อนชื้นของไทยได้อย่างเหมาะสม


ตลอดระยะเวลา ๙ ปี แห่งการครองสิริราชสมบัติ บ่งชี้ให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯให้มีการสืบทอดฝีมือช่างหลวงทางด้านสถาปัตยกรรมแบบไทยประเพณี มีหลักฐานจากการบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามสำคัญต่างๆแล้วยังมีการเปิดรับรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกเข้ามาผสมผสานได้อย่างลงตัว และงดงามสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ตลอดระยะเวลา ๙ ปี แห่งการครองสิริราชสมบัติ บ่งชี้ให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯให้มีการสืบทอดฝีมือช่างหลวงทางด้านสถาปัตยกรรมแบบไทยประเพณี มีหลักฐานจากการบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามสำคัญต่างๆแล้วยังมีการเปิดรับรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกเข้ามาผสมผสานได้อย่างลงตัว และงดงามสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน


==อ้างอิง==
== อ้างอิง ==
<references/>
 
<references />


==บรรณานุกรม==
== บรรณานุกรม ==


กรมศิลปากร. (๒๕๓๖) '''พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาประชาธิปก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว'''. จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกในพระราช พิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทานในอภิลักขิตสมัยคล้ายวันพระบรมราช สมภพครบ ๑๐๐ ปี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๖. กรุงเทพฯ :กรมศิลปากร.
กรมศิลปากร. (๒๕๓๖) '''พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาประชาธิปก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว'''. จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกในพระราช พิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทานในอภิลักขิตสมัยคล้ายวันพระบรมราช สมภพครบ ๑๐๐ ปี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๖. กรุงเทพฯ&nbsp;:กรมศิลปากร.


ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร (๒๕๕๖) “.ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัย รัชกาลที่ ๗” ใน '''๑๒๐ ปี ผ่านฟ้า ประชาธิปก'''. โครงการพัฒนาและเผยแพร่สารสนเทศ พระปกเกล้าศึกษาสู่ชุมชนเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาส ๑๒๐ ปีวันคล้ายวันพระ บรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พฤศจิกายน ๒๕๕๖ สำนักบรรณสารสนเทศ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน).
ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร (๒๕๕๖) “.ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัย รัชกาลที่ ๗” ใน '''๑๒๐ ปี ผ่านฟ้า ประชาธิปก'''. โครงการพัฒนาและเผยแพร่สารสนเทศ พระปกเกล้าศึกษาสู่ชุมชนเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาส ๑๒๐ ปีวันคล้ายวันพระ บรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ สำนักบรรณสารสนเทศ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กรุงเทพฯ&nbsp;: อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน).


แน่งน้อย ศักดิ์ศรี. (๒๕๓๗) “สถาปัตยกรรมในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว” ใน'''เอกสารประกอบการประชุมทางวิชาการเนื่องในวาระครบ ๑๐๐ ปี พระราชสสมภพ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเรื่องสังคมไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว''', มปท.มปพ.
แน่งน้อย ศักดิ์ศรี. (๒๕๓๗) “สถาปัตยกรรมในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว” ใน'''เอกสารประกอบการประชุมทางวิชาการเนื่องในวาระครบ ๑๐๐ ปี พระราชสสมภพ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเรื่องสังคมไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว''', มปท.มปพ.


วิไลรัตน์ ยังรอด. (๒๕๔๖) “จิตรกรรมฝาผนังวัดสุวรรณดาราราม : พงศาวดารบนโครงภาพ พุทธประวัติ. '''วารสารเมืองโบราณ''', ๒๙,(๔),๕๖-๖๓.
วิไลรัตน์ ยังรอด. (๒๕๔๖) “จิตรกรรมฝาผนังวัดสุวรรณดาราราม &nbsp;: พงศาวดารบนโครงภาพ พุทธประวัติ. '''วารสารเมืองโบราณ''', ๒๙,(๔),๕๖-๖๓.


สถาบันพระปกเกล้า (๒๕๔๔) '''สมุดภาพรัชกาลที่ ๗''' สถาบันพระปกเกล้าจัดพิมพ์เป็นที่ระลึก ในนิทรรศการอวดภาพและของหายากยุครัชกาลที่ ๗ กรุงเทพฯ : อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์ พับลิชชิ่งจำกัด (มหาชน).
สถาบันพระปกเกล้า (๒๕๔๔) '''สมุดภาพรัชกาลที่ ๗''' สถาบันพระปกเกล้าจัดพิมพ์เป็นที่ระลึก ในนิทรรศการอวดภาพและของหายากยุครัชกาลที่ ๗ กรุงเทพฯ&nbsp;: อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์ พับลิชชิ่งจำกัด (มหาชน).


[[หมวหมู่:พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจ]]
[[Category:พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจ]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 17:12, 19 พฤษภาคม 2560

ผู้เรียบเรียง : ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.สนธิ เตชานันท์

รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนับสนุนให้มีการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมทั้งด้านสถาปัตยกรรม และจิตรกรรม มีทั้งการบูรณปฏิสังขรณ์และการก่อสร้างถาวรวัตถุซึ่งนำแบบศิลปะแบบไทยและแบบตะวันตกมาเป็นแบบแผนในการก่อสร้างด้วย

การบูรณปฏิสังขรณ์วัดและพระบรมมหาราชวัง : การอนุรักษ์และการสืบทอด

ด้วยอายุกาลของกรุงรัตนโกสินทร์ตั้งมั่นมาจนบรรจบครบ ๑๕๐ ปี ในเดือนเมษายน ปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ อันเป็นโอกาสที่ทั้งทางราชการ และประชาชนชาวไทย ควรปิติยินดี ที่จะจัดให้มีการฉลองสมโภชตามโบราณราชประเพณี ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงธรรมเนียมอันพึงปฏิบัติมาแต่กาลก่อน ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตเป็นแม่กองการบูรณปฏิสังขรณ์ในการฉลองสมโภชพระนครเป็นปฐม คือ การดำเนินการปฏิสังขรณ์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระมหาอารามคู่บ้านคู่เมือง ถวายเป็นพุทธบูชาใช้เงินทั้งสิ้น ๖๐๐,๐๐๐ บาท เป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ที่ทรงอุทิศจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ใช้เงินแผ่นดิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ในส่วนที่ยังขาดพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้คณะกรรมการจัดดำเนินการบอกบุญ ชักชวน พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร และประชาชนเพื่อให้มีโอกาสบำเพ็ญกุศลร่วมกัน[1] ดังนั้น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม จึงได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์แก้ไขการชำรุดเสื่อมสภาพในศาสนสถานทั่วไปทั้งหมดให้คืนคงงดงาม

การบูรณปฏิสังขรณ์ในสมัยรัชกาลที่ ๗ นี้ เป็นการคราวใหญ่ครั้งที่๓ ถัดมาจากสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนี้ยังมีการบูรณะพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท การสร้างพระอุโบสถบนลานพระปฐมเจดีย์ใหม่เพื่อทดแทนของเดิมที่ชำรุดยากแก่การปฏิสังขรณ์ ซึ่งแล้วเสร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล

ด้วยเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในประเทศ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงเปลี่ยนจากการสร้างวัดประจำรัชกาลมาเป็นการปฏิสังขรณ์พระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามพระอารามประจำรัชกาลพระบรมชนกนาถเกือบตลอดรัชกาล วัดนี้จึงเปรียบเสมือนวัดประจำรัชกาลของพระองค์ด้วย นอกจากจะเป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายหลังเมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตที่ประเทศอังกฤษ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงอัญเชิญพระบรมอัฐิกลับสู่พระนครจึงได้อัญเชิญพระบรมราชสรีรังคารบรรจุไว้ ณ ฐานชุกชีที่ประดิษฐานพระพุทธอังคีรสซึ่งเป็นพระประธานของวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

โปรดเกล้าฯให้เขียนจิตรกรรมพระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ปฏิสังขรณ์วัดสุวรรณดาราราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สร้างมาตั้งแต่ปลายสมัยอยุธยาโดยพระยาวรวงศาธิราช(คุณทอง) พระอัยกาของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ดังนั้นวัดสุวรรณดารารามเสมือนเป็นวัดของพระบรมจักรีวงศ์ [2]

จิตรกรรมในพระวิหารวัดสุวรรณดารารามนั้น โปรดเกล้าฯให้พระยาอนุสาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร) เป็นผู้เขียนขึ้นใหม่ เมื่อพ.ศ. ๒๔๗๔เป็นภาพเขียนเรื่องราวพระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราชตั้งแต่ทรงพระเยาว์จนสวรรคต มีภาพยุทธหัตถีเป็นภาพเด่นอยู่เหนือประตูด้านหน้า โดยใช้เทคนิคการวาดภาพแบบตะวันตกมาประยุกต์ใช้กับจิตรกรรมฝาผนังไทยเป็นภาพสีน้ำมันเสมือนจริงทั้งหน้าตา ร่างกาย กล้ามเนื้อ สัดส่วน และเครื่องแต่งกายได้รับความเห็นชอบจากราชบัณฑิตยสภา ซึ่งราชบัณฑิตยสภาออกความคิดเห็นให้เขียน โดยกะให้เขียนเป็นช่องๆ เป็นเรื่องๆ โดยยึดเอาพระราชพงศาวดารเป็นหลัก นับเป็นภาพจิตรกรรมเล่าเรื่องที่ปรากฏคุณค่ามาจนทุกวันนี้

พระปฐมบรมราชานุสรณ์และสะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ

ในโอกาสการเฉลิมฉลองวาระที่พระนครและพระบรมจักรีวงศ์มีอายุครบ ๑๕๐ ปี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่าสมควรจะสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อเป็นพระปฐมบรมราชานุสรณ์ที่ระลึกในพระมหากรุณาธิคุณในพระปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมจักรีวงศ์ และเพื่อเป็นการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์แก่อาณาประชาราษฎร์ จึงโปรดเกล้าฯให้ประกาศสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๐ และมีการก่อสร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้าเริ่มขึ้นในปีพ.ศ. ๒๔๗๒ เพื่อเชื่อมการคมนาคมระหว่างกรุงเทพมหานครและธนบุรี ผู้ริเริ่มความคิดนี้คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานเงินเป็นทุนสนับสนุนในการก่อสร้างเป็นเงิน ๒ ล้านบาท รวมกับเงินบริจาคของประชาชนในการก่อสร้างและพระราชทานที่ดิน ตำบลวัดราชบูรณะเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ก่อสร้างรวมกับที่ดินที่รัฐบาลจัดซื้อเพิ่มเติมเป็นเงินก่อสร้างทั้งหมดจำนวนสี่ล้านบาท

ลักษณะของสะพานเสมือนลูกศรพุ่งผ่านใจเมืองออกแบบโดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ อุปนายกราชบัณฑิตยสภา ผู้อำนวยการแผนกศิลปากรในเวลานั้น ส่วนพระบรมรูปปั้นโดยนายโคราโด เฟโรจี (ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี) นายช่างปั้นชาวอิตาเลียน ซึ่งรับราชการอยู่ที่ศิลปากรสถาน

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดป้ายและวิถีสะพานเมื่อวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕

ไกลกังวล : วังแห่งเดียวที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๗

จากหลักฐานพบว่า ตลอดรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการก่อสร้างวังเพียงแห่งเดียว คือ วังไกลกังวล ที่หัวหิน ผู้ออกแบบคือ หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากร สถาปนิกรุ่นแรกที่ไปศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศส วังไกลกังวลเริ่มก่อสร้างตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๖๙ แล้วเสร็จในปีพ.ศ. ๒๔๗๒ รูปแบบสถาปัตยกรรมเรียบง่ายไม่ซับซ้อนคล้ายบ้านพักตากอากาศหลังใหญ่ แสดงให้เห็นถึงสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจ นับเป็นการดัดแปลงอิทธิพลจากตะวันตกให้สอดคล้องกลมกลืนกับสภาพภูมิอากาศร้อนชื้นของไทยได้อย่างเหมาะสม

ตลอดระยะเวลา ๙ ปี แห่งการครองสิริราชสมบัติ บ่งชี้ให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯให้มีการสืบทอดฝีมือช่างหลวงทางด้านสถาปัตยกรรมแบบไทยประเพณี มีหลักฐานจากการบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามสำคัญต่างๆแล้วยังมีการเปิดรับรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกเข้ามาผสมผสานได้อย่างลงตัว และงดงามสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

อ้างอิง

  1. สถาบันพระปกเกล้า. สมุดภาพรัชกาลที่ ๗ สถาบันพระปกเกล้าจัดพิมพ์เป็นที่ระลึก ในนิทรรศการอวดภาพและของหายากยุครัชกาลที่ ๗ กรุงเทพฯ : อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่งจำกัด (มหาชน).หน้า ๑๕๒.
  2. วัดสุวรรณดาราราม รัชกาลที่ ๑ ทรงสร้างพระอุโบสถ รัชกาลที่ ๓ ทรงสร้างกุฏิถวายรัชกาลที่ ๒ และทรงสร้างศาลการเปรียญ รัชกาลที่ ๔ ทรงสร้างพระเจดีย์ รัชกาลที่ ๕ ทรงสร้างพระวิหารต่อจากรัชกาลที่ ๔ จนเสร็จ สำหรับจิตรกรรมพระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในพระวิหารเขียนขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๗.

บรรณานุกรม

กรมศิลปากร. (๒๕๓๖) พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาประชาธิปก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกในพระราช พิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทานในอภิลักขิตสมัยคล้ายวันพระบรมราช สมภพครบ ๑๐๐ ปี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๖. กรุงเทพฯ :กรมศิลปากร.

ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร (๒๕๕๖) “.ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัย รัชกาลที่ ๗” ใน ๑๒๐ ปี ผ่านฟ้า ประชาธิปก. โครงการพัฒนาและเผยแพร่สารสนเทศ พระปกเกล้าศึกษาสู่ชุมชนเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาส ๑๒๐ ปีวันคล้ายวันพระ บรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ สำนักบรรณสารสนเทศ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน).

แน่งน้อย ศักดิ์ศรี. (๒๕๓๗) “สถาปัตยกรรมในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว” ในเอกสารประกอบการประชุมทางวิชาการเนื่องในวาระครบ ๑๐๐ ปี พระราชสสมภพ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเรื่องสังคมไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว, มปท.มปพ.

วิไลรัตน์ ยังรอด. (๒๕๔๖) “จิตรกรรมฝาผนังวัดสุวรรณดาราราม  : พงศาวดารบนโครงภาพ พุทธประวัติ. วารสารเมืองโบราณ, ๒๙,(๔),๕๖-๖๓.

สถาบันพระปกเกล้า (๒๕๔๔) สมุดภาพรัชกาลที่ ๗ สถาบันพระปกเกล้าจัดพิมพ์เป็นที่ระลึก ในนิทรรศการอวดภาพและของหายากยุครัชกาลที่ ๗ กรุงเทพฯ : อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์ พับลิชชิ่งจำกัด (มหาชน).