ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การยุบเลิกหน่วยงาน"
หน้าที่ถูกสร้างด้วย ''''เรียบเรียงโดย''' : อาจารย์บุญยเกียรติ การะเวกพันธ...' |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 6: | บรรทัดที่ 6: | ||
==ความหมายของการยุบเลิกหน่วยงาน== | ==ความหมายของการยุบเลิกหน่วยงาน== | ||
การยุบเลิกหน่วยงาน คือ การยุบเลิกหน่วยงานที่ไม่จำเป็นเพื่อให้การบริหารราชการเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ มีประสิทธิภาพ มีความคุ้มค่า เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขประชาชน โดยส่วนราชการจะต้องมีการทบทวนภารกิจของตนว่าภารกิจใดมีความจำเป็นหรือสมควรที่จะได้ดำเนินการต่อไปหรือไม่ | การยุบเลิกหน่วยงาน คือ การยุบเลิกหน่วยงานที่ไม่จำเป็นเพื่อให้การบริหารราชการเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ มีประสิทธิภาพ มีความคุ้มค่า เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขประชาชน โดยส่วนราชการจะต้องมีการทบทวนภารกิจของตนว่าภารกิจใดมีความจำเป็นหรือสมควรที่จะได้ดำเนินการต่อไปหรือไม่ โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับแผน[[การบริหารราชการแผ่นดิน]] นโยบายของ[[คณะรัฐมนตรี]] กำลังเงินงบประมาณของประเทศ ความคุ้มค่าของภารกิจและสถานการณ์อื่นประกอบกัน | ||
==ความสำคัญ== | ==ความสำคัญ== | ||
จากแนวคิดที่ปรากฏใน[[พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534]] ที่ว่าการบริหารราชการต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ มีประสิทธิภาพ ความคุ้มค่าในเชิงภารกิจแห่งรัฐ การลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน การลดภารกิจและยุบเลิกหน่วยงานที่ไม่จำเป็น การกระจายภารกิจและทรัพยากรให้แก่ท้องถิ่น [[การกระจายอำนาจ]]ตัดสินใจ การอำนวยความสะดวก และการตอบสนองความต้องการของประชาชน ทั้งนี้ โดยมีผู้รับผิดชอบต่อผลของงานการจัดสรรงบประมาณ และการบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งหรือปฏิบัติหน้าที่ต้องคำนึงถึงหลักการ | |||
ในการปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการ ต้องใช้วิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งให้คำนึงถึงความรับผิดชอบของผู้ปฏิบัติงาน การมีส่วนร่วมของประชาชน การเปิดเผยข้อมูล การติดตามตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติงาน ทั้งนี้ ตามความเหมาะสมของแต่ละภารกิจ เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรานี้ จะตราพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการปฏิบัติราชการและการสั่งการให้ส่วนราชการและข้าราชการปฏิบัติก็ได้ | ในการปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการ ต้องใช้วิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งให้คำนึงถึงความรับผิดชอบของผู้ปฏิบัติงาน การมีส่วนร่วมของประชาชน การเปิดเผยข้อมูล การติดตามตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติงาน ทั้งนี้ ตามความเหมาะสมของแต่ละภารกิจ เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรานี้ จะตราพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการปฏิบัติราชการและการสั่งการให้ส่วนราชการและข้าราชการปฏิบัติก็ได้<ref>พระราชบัญญัติบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 มาตรา 3/1</ref> | ||
การยุบเลิกหน่วยงานจึงเป็นแนวทางที่ทำให้การบริหารราชการเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ มีประสิทธิภาพ มีความคุ้มค่า เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขประชาชน | การยุบเลิกหน่วยงานจึงเป็นแนวทางที่ทำให้การบริหารราชการเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ มีประสิทธิภาพ มีความคุ้มค่า เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขประชาชน | ||
บรรทัดที่ 18: | บรรทัดที่ 18: | ||
==การยุบเลิกหน่วยงานแนวทางพระราชกฤษฎีกาการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546== | ==การยุบเลิกหน่วยงานแนวทางพระราชกฤษฎีกาการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546== | ||
จากแนวคิด[[การบริหารราชการแผ่นดิน]]ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ จึงมีการปฏิรูประบบราชการในปี พ.ศ. 2545 โดยนำแนวคิด[[การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี]]มาใช้เพื่อให้การบริหารราชการบรรลุเป้าหมาย มีการตรา[[พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546]] ซึ่งมีหลักการที่สำคัญดังนี้คือ | |||
(1) เกิดประโยชน์สุขของประชาชน | (1) เกิดประโยชน์สุขของประชาชน | ||
บรรทัดที่ 34: | บรรทัดที่ 34: | ||
(7) มีการประเมินผลการปฏิบัติราชการอย่างสม่ำเสมอ | (7) มีการประเมินผลการปฏิบัติราชการอย่างสม่ำเสมอ | ||
การยุบเลิกหน่วยงาน เป็นแนวทางหนึ่งที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 โดยให้ส่วนราชการจัดให้มีการทบทวนภารกิจของตนว่าภารกิจใดมีความจำเป็นหรือสมควรที่จะได้ดำเนินการต่อไปหรือไม่ โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับแผนการบริหารราชการแผ่นดิน นโยบายของคณะรัฐมนตรี กำลังเงินงบประมาณของประเทศ ความคุ้มค่าของภารกิจและสถานการณ์อื่นประกอบกัน | การยุบเลิกหน่วยงาน เป็นแนวทางหนึ่งที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 โดยให้ส่วนราชการจัดให้มีการทบทวนภารกิจของตนว่าภารกิจใดมีความจำเป็นหรือสมควรที่จะได้ดำเนินการต่อไปหรือไม่ โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับแผนการบริหารราชการแผ่นดิน นโยบายของคณะรัฐมนตรี กำลังเงินงบประมาณของประเทศ ความคุ้มค่าของภารกิจและสถานการณ์อื่นประกอบกัน โดย[[คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ]] ([[ก.พ.ร.]]) จะเป็นผู้กำหนดระยะเวลาในการทบทวนภารกิจ | ||
เมื่อมีการทบทวนภารกิจแล้ว ถ้าส่วนราชการเห็นว่าควรยกเลิก ปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลงภารกิจ ให้ส่วนราชการดำเนินการปรับปรุงอำนาจหน้าที่ โครงสร้าง และอัตรากำลัง ของส่วนราชการให้สอดคล้องกัน | เมื่อมีการทบทวนภารกิจแล้ว ถ้าส่วนราชการเห็นว่าควรยกเลิก ปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลงภารกิจ ให้ส่วนราชการดำเนินการปรับปรุงอำนาจหน้าที่ โครงสร้าง และอัตรากำลัง ของส่วนราชการให้สอดคล้องกัน และเสนอ[[คณะรัฐมนตรี]]พิจารณาให้ความเห็นชอบเพื่อดำเนินการต่อไป | ||
นอกจากนี้ ก.พ.ร. มีหน้าที่ในการพิจารณาว่าภารกิจของรัฐที่ส่วนราชการรับผิดชอบดำเนินการอยู่สมควรเปลี่ยนแปลง ยกเลิก หรือเพิ่มเติม ให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา เมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว ให้ส่วนราชการนั้นดำเนินการปรับปรุงภารกิจ อำนาจหน้าที่ โครงสร้างและอัตรากำลังของส่วนราชการนั้นให้สอดคล้องกัน | นอกจากนี้ ก.พ.ร. มีหน้าที่ในการพิจารณาว่าภารกิจของรัฐที่ส่วนราชการรับผิดชอบดำเนินการอยู่สมควรเปลี่ยนแปลง ยกเลิก หรือเพิ่มเติม ให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา เมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว ให้ส่วนราชการนั้นดำเนินการปรับปรุงภารกิจ อำนาจหน้าที่ โครงสร้างและอัตรากำลังของส่วนราชการนั้นให้สอดคล้องกัน<ref>พระราชกฤษฎีกาการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 มาตรา 33</ref> | ||
เมื่อคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ส่วนราชการมีการยุบเลิก โอน หรือรวมส่วนราชการไม่ว่าจะเป็นทั้งหมดหรือบางส่วน พระราชกฤษฎีกาหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 ได้กำหนดให้ห้ามจัดตั้งส่วนราชการที่มีภารกิจหรืออำนาจหน้าที่ที่มีลักษณะเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันกับส่วนราชการดังกล่าวขึ้นอีก เว้นแต่จะมีการเปลี่ยนแปลงแผนการบริหารราชการแผ่นดิน และมีเหตุผลจำเป็นเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐหรือเศรษฐกิจของประเทศ หรือรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน และโดยได้รับความเห็นชอบจาก ก.พ.ร. | เมื่อคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ส่วนราชการมีการยุบเลิก โอน หรือรวมส่วนราชการไม่ว่าจะเป็นทั้งหมดหรือบางส่วน พระราชกฤษฎีกาหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 ได้กำหนดให้ห้ามจัดตั้งส่วนราชการที่มีภารกิจหรืออำนาจหน้าที่ที่มีลักษณะเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันกับส่วนราชการดังกล่าวขึ้นอีก เว้นแต่จะมีการเปลี่ยนแปลงแผนการบริหารราชการแผ่นดิน และมีเหตุผลจำเป็นเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐหรือเศรษฐกิจของประเทศ หรือรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน และโดยได้รับความเห็นชอบจาก ก.พ.ร.<ref>พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 มาตรา 34 </ref> | ||
เมื่อมีการยุบหน่วยงานหรือตำแหน่งแล้ว กฎ ก.พ.ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการกรณีทางราชการเลิกหรือยุบหน่วยงานหรือตำแหน่ง พ.ศ.2553 ได้กำหนดว่า เมื่อมีกรณีที่ทางราชการเลิกหรือยุบหน่วยงานหรือตำแหน่ง ให้ผู้บังคับบัญชาแจ้งให้ข้าราชการทราบและให้แสดงความประสงค์ ว่าต้องการจะรับราชการต่อไปหรือไม่ ในกรณีที่ไม่ประสงค์จะรับราชการต่อไป ให้ข้าราชการผู้นั้นออกจากราชการเพื่อรับบำเหน็จบำนาญ ตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการเพราะเหตุที่มีการเลิกหรือยุบหน่วยงาน และได้รับเงินชดเชยตามที่กฎหมายกำหนด | เมื่อมีการยุบหน่วยงานหรือตำแหน่งแล้ว กฎ ก.พ.ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการกรณีทางราชการเลิกหรือยุบหน่วยงานหรือตำแหน่ง พ.ศ.2553 ได้กำหนดว่า เมื่อมีกรณีที่ทางราชการเลิกหรือยุบหน่วยงานหรือตำแหน่ง ให้ผู้บังคับบัญชาแจ้งให้ข้าราชการทราบและให้แสดงความประสงค์ ว่าต้องการจะรับราชการต่อไปหรือไม่ ในกรณีที่ไม่ประสงค์จะรับราชการต่อไป ให้ข้าราชการผู้นั้นออกจากราชการเพื่อรับบำเหน็จบำนาญ ตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการเพราะเหตุที่มีการเลิกหรือยุบหน่วยงาน และได้รับเงินชดเชยตามที่กฎหมายกำหนด | ||
บรรทัดที่ 46: | บรรทัดที่ 46: | ||
ในกรณีที่ข้าราชการประสงค์จะรับราชการต่อไป ให้แสดงความประสงค์ว่าจะขอย้ายหรือโอนไปรับราชการในตำแหน่งใด หน่วยงานใด ส่วนราชการใด ให้ดำเนินการโอนย้ายข้าราชการผู้นั้นภายใน 30 วันนับแต่ส่วนราชการโดนยุบ | ในกรณีที่ข้าราชการประสงค์จะรับราชการต่อไป ให้แสดงความประสงค์ว่าจะขอย้ายหรือโอนไปรับราชการในตำแหน่งใด หน่วยงานใด ส่วนราชการใด ให้ดำเนินการโอนย้ายข้าราชการผู้นั้นภายใน 30 วันนับแต่ส่วนราชการโดนยุบ | ||
ในกรณีที่ข้าราชการเป็นผู้ที่ได้รับทุนและอยู่ในระหว่างรับราชการชดใช้ทุน ไม่ต้องแสดงความประสงค์ ให้ย้ายหรือโอนไปในส่วนราชการอื่นๆต่อไป | ในกรณีที่ข้าราชการเป็นผู้ที่ได้รับทุนและอยู่ในระหว่างรับราชการชดใช้ทุน ไม่ต้องแสดงความประสงค์ ให้ย้ายหรือโอนไปในส่วนราชการอื่นๆต่อไป<ref>กฎ ก.พ.ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการกรณีทางราชการเลิกหรือยุบหน่วยงานหรือตำแหน่ง พ.ศ.2553 </ref> | ||
การยุบเลิกหน่วยงานที่ไม่จำเป็นจึงเป็นการบริหารราชการเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ มีประสิทธิภาพ มีความคุ้มค่า เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขประชาชน | การยุบเลิกหน่วยงานที่ไม่จำเป็นจึงเป็นการบริหารราชการเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ มีประสิทธิภาพ มีความคุ้มค่า เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขประชาชน | ||
==อ้างอิง== | |||
<references/> | |||
==บรรณานุกรม== | ==บรรณานุกรม== |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 12:47, 7 ธันวาคม 2557
เรียบเรียงโดย : อาจารย์บุญยเกียรติ การะเวกพันธุ์ และคณะ
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.ปธาน สุวรรณมงคล
ความหมายของการยุบเลิกหน่วยงาน
การยุบเลิกหน่วยงาน คือ การยุบเลิกหน่วยงานที่ไม่จำเป็นเพื่อให้การบริหารราชการเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ มีประสิทธิภาพ มีความคุ้มค่า เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขประชาชน โดยส่วนราชการจะต้องมีการทบทวนภารกิจของตนว่าภารกิจใดมีความจำเป็นหรือสมควรที่จะได้ดำเนินการต่อไปหรือไม่ โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับแผนการบริหารราชการแผ่นดิน นโยบายของคณะรัฐมนตรี กำลังเงินงบประมาณของประเทศ ความคุ้มค่าของภารกิจและสถานการณ์อื่นประกอบกัน
ความสำคัญ
จากแนวคิดที่ปรากฏในพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ที่ว่าการบริหารราชการต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ มีประสิทธิภาพ ความคุ้มค่าในเชิงภารกิจแห่งรัฐ การลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน การลดภารกิจและยุบเลิกหน่วยงานที่ไม่จำเป็น การกระจายภารกิจและทรัพยากรให้แก่ท้องถิ่น การกระจายอำนาจตัดสินใจ การอำนวยความสะดวก และการตอบสนองความต้องการของประชาชน ทั้งนี้ โดยมีผู้รับผิดชอบต่อผลของงานการจัดสรรงบประมาณ และการบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งหรือปฏิบัติหน้าที่ต้องคำนึงถึงหลักการ
ในการปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการ ต้องใช้วิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งให้คำนึงถึงความรับผิดชอบของผู้ปฏิบัติงาน การมีส่วนร่วมของประชาชน การเปิดเผยข้อมูล การติดตามตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติงาน ทั้งนี้ ตามความเหมาะสมของแต่ละภารกิจ เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรานี้ จะตราพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการปฏิบัติราชการและการสั่งการให้ส่วนราชการและข้าราชการปฏิบัติก็ได้[1]
การยุบเลิกหน่วยงานจึงเป็นแนวทางที่ทำให้การบริหารราชการเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ มีประสิทธิภาพ มีความคุ้มค่า เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขประชาชน
การยุบเลิกหน่วยงานแนวทางพระราชกฤษฎีกาการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546
จากแนวคิดการบริหารราชการแผ่นดินที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ จึงมีการปฏิรูประบบราชการในปี พ.ศ. 2545 โดยนำแนวคิดการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีมาใช้เพื่อให้การบริหารราชการบรรลุเป้าหมาย มีการตราพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 ซึ่งมีหลักการที่สำคัญดังนี้คือ
(1) เกิดประโยชน์สุขของประชาชน
(2) เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ
(3) มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ
(4) ไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติงานเกินความจำเป็น
(5) มีการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการให้ทันต่อสถานการณ์
(6) ประชาชนได้รับการอำนวยความสะดวกและได้รับการตอบสนองความต้องการ
(7) มีการประเมินผลการปฏิบัติราชการอย่างสม่ำเสมอ
การยุบเลิกหน่วยงาน เป็นแนวทางหนึ่งที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 โดยให้ส่วนราชการจัดให้มีการทบทวนภารกิจของตนว่าภารกิจใดมีความจำเป็นหรือสมควรที่จะได้ดำเนินการต่อไปหรือไม่ โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับแผนการบริหารราชการแผ่นดิน นโยบายของคณะรัฐมนตรี กำลังเงินงบประมาณของประเทศ ความคุ้มค่าของภารกิจและสถานการณ์อื่นประกอบกัน โดยคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) จะเป็นผู้กำหนดระยะเวลาในการทบทวนภารกิจ
เมื่อมีการทบทวนภารกิจแล้ว ถ้าส่วนราชการเห็นว่าควรยกเลิก ปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลงภารกิจ ให้ส่วนราชการดำเนินการปรับปรุงอำนาจหน้าที่ โครงสร้าง และอัตรากำลัง ของส่วนราชการให้สอดคล้องกัน และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบเพื่อดำเนินการต่อไป
นอกจากนี้ ก.พ.ร. มีหน้าที่ในการพิจารณาว่าภารกิจของรัฐที่ส่วนราชการรับผิดชอบดำเนินการอยู่สมควรเปลี่ยนแปลง ยกเลิก หรือเพิ่มเติม ให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา เมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว ให้ส่วนราชการนั้นดำเนินการปรับปรุงภารกิจ อำนาจหน้าที่ โครงสร้างและอัตรากำลังของส่วนราชการนั้นให้สอดคล้องกัน[2]
เมื่อคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ส่วนราชการมีการยุบเลิก โอน หรือรวมส่วนราชการไม่ว่าจะเป็นทั้งหมดหรือบางส่วน พระราชกฤษฎีกาหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 ได้กำหนดให้ห้ามจัดตั้งส่วนราชการที่มีภารกิจหรืออำนาจหน้าที่ที่มีลักษณะเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันกับส่วนราชการดังกล่าวขึ้นอีก เว้นแต่จะมีการเปลี่ยนแปลงแผนการบริหารราชการแผ่นดิน และมีเหตุผลจำเป็นเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐหรือเศรษฐกิจของประเทศ หรือรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน และโดยได้รับความเห็นชอบจาก ก.พ.ร.[3]
เมื่อมีการยุบหน่วยงานหรือตำแหน่งแล้ว กฎ ก.พ.ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการกรณีทางราชการเลิกหรือยุบหน่วยงานหรือตำแหน่ง พ.ศ.2553 ได้กำหนดว่า เมื่อมีกรณีที่ทางราชการเลิกหรือยุบหน่วยงานหรือตำแหน่ง ให้ผู้บังคับบัญชาแจ้งให้ข้าราชการทราบและให้แสดงความประสงค์ ว่าต้องการจะรับราชการต่อไปหรือไม่ ในกรณีที่ไม่ประสงค์จะรับราชการต่อไป ให้ข้าราชการผู้นั้นออกจากราชการเพื่อรับบำเหน็จบำนาญ ตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการเพราะเหตุที่มีการเลิกหรือยุบหน่วยงาน และได้รับเงินชดเชยตามที่กฎหมายกำหนด
ในกรณีที่ข้าราชการประสงค์จะรับราชการต่อไป ให้แสดงความประสงค์ว่าจะขอย้ายหรือโอนไปรับราชการในตำแหน่งใด หน่วยงานใด ส่วนราชการใด ให้ดำเนินการโอนย้ายข้าราชการผู้นั้นภายใน 30 วันนับแต่ส่วนราชการโดนยุบ
ในกรณีที่ข้าราชการเป็นผู้ที่ได้รับทุนและอยู่ในระหว่างรับราชการชดใช้ทุน ไม่ต้องแสดงความประสงค์ ให้ย้ายหรือโอนไปในส่วนราชการอื่นๆต่อไป[4]
การยุบเลิกหน่วยงานที่ไม่จำเป็นจึงเป็นการบริหารราชการเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ มีประสิทธิภาพ มีความคุ้มค่า เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขประชาชน
อ้างอิง
- ↑ พระราชบัญญัติบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 มาตรา 3/1
- ↑ พระราชกฤษฎีกาการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 มาตรา 33
- ↑ พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 มาตรา 34
- ↑ กฎ ก.พ.ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการกรณีทางราชการเลิกหรือยุบหน่วยงานหรือตำแหน่ง พ.ศ.2553
บรรณานุกรม
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 มาตรา 3/1
พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546
กฎ ก.พ.ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการกรณีทางราชการเลิกหรือยุบหน่วยงานหรือตำแหน่ง พ.ศ.2553