ผลต่างระหว่างรุ่นของ "3 มีนาคม พ.ศ. 2523"
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 6: | บรรทัดที่ 6: | ||
---- | ---- | ||
วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 เป็นวันที่ [[พลเอกเปรม ติณสูลานนท์]] ได้เข้าดำรงตำแหน่ง[[นายกรัฐมนตรี คนที่ 16]] ของประเทศ และเป็น[[นายกรัฐมนตรี]] ที่ไม่ได้มาจาก[[พรรคการเมือง]] เพราะท่านไม่ได้ลงเลือกตั้ง ทั้งยังเป็นข้าราชการประจำเป็นผู้บัญชาการทหารบกอยู่ แต่บทเฉพาะกาลของ[[รัฐธรรมนูญ]]เปิดทางให้เป็นได้ | วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 เป็นวันที่ [[เปรม ติณสูลานนท์|พลเอกเปรม ติณสูลานนท์]] ได้เข้าดำรงตำแหน่ง[[นายกรัฐมนตรี คนที่ 16]] ของประเทศ และเป็น[[นายกรัฐมนตรี]] ที่ไม่ได้มาจาก[[พรรคการเมือง]] เพราะท่านไม่ได้ลงเลือกตั้ง ทั้งยังเป็นข้าราชการประจำเป็นผู้บัญชาการทหารบกอยู่ แต่บทเฉพาะกาลของ[[รัฐธรรมนูญ]]เปิดทางให้เป็นได้ | ||
การเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 16 ของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นั้น ก็มาจากการที่[[นายกรัฐมนตรีคนที่ 15]] ของประเทศ [[พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์]] ได้ถูกแรงกดดันทางการเมืองมาก ทั้งจากพรรคการเมืองและคณะนายทหารที่สนับสนุนอยู่เดิมที่เปลี่ยนไปสนับสนุนพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่มีคนชื่นชอบมากในขณะนั้น และพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกลางสภา เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 ต่อมาจึงได้มีการหยั่งเสียงในสภา เพื่อหาตัวผู้ที่ได้รับการสนับสนุนเป็นนายกรัฐมนตรี ปรากฏว่า พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้คะแนนเสียงสนับสนุนมากถึง 399 เสียง ในขณะที่ [[ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช]] หัวหน้า[[กลุ่มกิจสังคม]]หรือ[[พรรคกิจสังคม]]ในภายหลังได้เสียงสนับสนุนเป็นลำดับสองได้คะแนนเพียง 39 คะแนน จึงกล่าวได้ว่าพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นในสภา | การเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 16 ของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นั้น ก็มาจากการที่[[นายกรัฐมนตรีคนที่ 15]] ของประเทศ [[เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์|พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์]] ได้ถูกแรงกดดันทางการเมืองมาก ทั้งจากพรรคการเมืองและคณะนายทหารที่สนับสนุนอยู่เดิมที่เปลี่ยนไปสนับสนุนพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่มีคนชื่นชอบมากในขณะนั้น และพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกลางสภา เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 ต่อมาจึงได้มีการหยั่งเสียงในสภา เพื่อหาตัวผู้ที่ได้รับการสนับสนุนเป็นนายกรัฐมนตรี ปรากฏว่า พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้คะแนนเสียงสนับสนุนมากถึง 399 เสียง ในขณะที่ [[คึกฤทธิ์ ปราโมช|ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช]] หัวหน้า[[กลุ่มกิจสังคม]]หรือ[[พรรคกิจสังคม]]ในภายหลังได้เสียงสนับสนุนเป็นลำดับสองได้คะแนนเพียง 39 คะแนน จึงกล่าวได้ว่าพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นในสภา | ||
จากวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 เป็นต้นมา พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ก็เป็นายกรัฐมนตรีอยู่ยืนยาวมานานเป็นเวลาประมาณ 8 ปี โดยไม่ได้ตั้งพรรคการเมืองของตัวเอง และไม่ได้ลงเลือกตั้งหากแต่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองและกองทัพมามากบ้างน้อยบ้าง จนถึงการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ พ.ศ. 2531 หลังการเลือกตั้งแล้ว แม้จะมีผู้ไปขอให้ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีอีกเช่นกันแต่ท่านก็ปฏิเสธ | จากวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 เป็นต้นมา พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ก็เป็นายกรัฐมนตรีอยู่ยืนยาวมานานเป็นเวลาประมาณ 8 ปี โดยไม่ได้ตั้งพรรคการเมืองของตัวเอง และไม่ได้ลงเลือกตั้งหากแต่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองและกองทัพมามากบ้างน้อยบ้าง จนถึงการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ พ.ศ. 2531 หลังการเลือกตั้งแล้ว แม้จะมีผู้ไปขอให้ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีอีกเช่นกันแต่ท่านก็ปฏิเสธ | ||
ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่ทำการ[[ยุบสภา]]ถึง 3 ครั้ง และต้องเจอกับความพยายามที่จะยึดอำนาจล้มรัฐบาลที่เรียกว่ากบฏสำคัญๆ ถึง 2 กรณี แต่ก็ไม่สำเร็จ และท่านเป็นหัวหน้ารัฐบาลที่ทำให้รัฐบาลบริหารประเทศโดยพึ่งพา “[[เทคโนแครท]]” และข้าราชการประจำช่วยพัฒนาประเทศที่เป็นผลดีทางเศรษฐกิจแก่ประเทศชาติจนกระทั่งได้[[นายกรัฐมนตรีคนที่ 17]] คือ [[พลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ]] ในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2531 | ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่ทำการ[[ยุบสภา]]ถึง 3 ครั้ง และต้องเจอกับความพยายามที่จะยึดอำนาจล้มรัฐบาลที่เรียกว่ากบฏสำคัญๆ ถึง 2 กรณี แต่ก็ไม่สำเร็จ และท่านเป็นหัวหน้ารัฐบาลที่ทำให้รัฐบาลบริหารประเทศโดยพึ่งพา “[[เทคโนแครท]]” และข้าราชการประจำช่วยพัฒนาประเทศที่เป็นผลดีทางเศรษฐกิจแก่ประเทศชาติจนกระทั่งได้[[นายกรัฐมนตรีคนที่ 17]] คือ [[ชาติชาย ชุณหะวัณ|พลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ]] ในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2531 | ||
[[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2520-ปัจจุบัน]] | [[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2520-ปัจจุบัน]] |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 15:34, 14 ตุลาคม 2557
ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 เป็นวันที่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 16 ของประเทศ และเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ได้มาจากพรรคการเมือง เพราะท่านไม่ได้ลงเลือกตั้ง ทั้งยังเป็นข้าราชการประจำเป็นผู้บัญชาการทหารบกอยู่ แต่บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญเปิดทางให้เป็นได้
การเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 16 ของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นั้น ก็มาจากการที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 15 ของประเทศ พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ได้ถูกแรงกดดันทางการเมืองมาก ทั้งจากพรรคการเมืองและคณะนายทหารที่สนับสนุนอยู่เดิมที่เปลี่ยนไปสนับสนุนพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่มีคนชื่นชอบมากในขณะนั้น และพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกลางสภา เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 ต่อมาจึงได้มีการหยั่งเสียงในสภา เพื่อหาตัวผู้ที่ได้รับการสนับสนุนเป็นนายกรัฐมนตรี ปรากฏว่า พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้คะแนนเสียงสนับสนุนมากถึง 399 เสียง ในขณะที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้ากลุ่มกิจสังคมหรือพรรคกิจสังคมในภายหลังได้เสียงสนับสนุนเป็นลำดับสองได้คะแนนเพียง 39 คะแนน จึงกล่าวได้ว่าพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นในสภา
จากวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 เป็นต้นมา พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ก็เป็นายกรัฐมนตรีอยู่ยืนยาวมานานเป็นเวลาประมาณ 8 ปี โดยไม่ได้ตั้งพรรคการเมืองของตัวเอง และไม่ได้ลงเลือกตั้งหากแต่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองและกองทัพมามากบ้างน้อยบ้าง จนถึงการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ พ.ศ. 2531 หลังการเลือกตั้งแล้ว แม้จะมีผู้ไปขอให้ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีอีกเช่นกันแต่ท่านก็ปฏิเสธ
ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่ทำการยุบสภาถึง 3 ครั้ง และต้องเจอกับความพยายามที่จะยึดอำนาจล้มรัฐบาลที่เรียกว่ากบฏสำคัญๆ ถึง 2 กรณี แต่ก็ไม่สำเร็จ และท่านเป็นหัวหน้ารัฐบาลที่ทำให้รัฐบาลบริหารประเทศโดยพึ่งพา “เทคโนแครท” และข้าราชการประจำช่วยพัฒนาประเทศที่เป็นผลดีทางเศรษฐกิจแก่ประเทศชาติจนกระทั่งได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 17 คือ พลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ ในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2531