ผลต่างระหว่างรุ่นของ "13 ธันวาคม พ.ศ. 2515"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
บรรทัดที่ 8: บรรทัดที่ 8:
วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 เป็นวันเปิดประชุม[[สมัชชาแห่งชาติชุดแรก]]ครั้งแรกเป็นวันที่คนชั้นนำในวงการต่าง ๆ ของประเทศมาประชุมกันที่ราชตฤณมัยสมาคมแห่งชาติ โดยมีความเป็นมาที่น่าสนใจคือในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2516 เป็นวันทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งสมัชชาแห่งชาติขึ้น ประกอบด้วยบุคคลจำนวนมากถึง 2,347 คน ทั้งนี้ ให้สมัชชาแห่งชาติประชุมและเลือกบุคคลในสมัชชาแห่งชาติกันเองเพื่อจะได้แต่งตั้งบุคคลที่ได้รับเลือกเป็น[[สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ]]ต่อไป ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่มีการจัดตั้งสมัชชาแห่งชาติขึ้น
วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 เป็นวันเปิดประชุม[[สมัชชาแห่งชาติชุดแรก]]ครั้งแรกเป็นวันที่คนชั้นนำในวงการต่าง ๆ ของประเทศมาประชุมกันที่ราชตฤณมัยสมาคมแห่งชาติ โดยมีความเป็นมาที่น่าสนใจคือในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2516 เป็นวันทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งสมัชชาแห่งชาติขึ้น ประกอบด้วยบุคคลจำนวนมากถึง 2,347 คน ทั้งนี้ ให้สมัชชาแห่งชาติประชุมและเลือกบุคคลในสมัชชาแห่งชาติกันเองเพื่อจะได้แต่งตั้งบุคคลที่ได้รับเลือกเป็น[[สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ]]ต่อไป ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่มีการจัดตั้งสมัชชาแห่งชาติขึ้น


ก่อนที่จะพิจารณาบุคคลในสมัชชาแห่งชาติที่ได้รับการแต่งตั้งและการทำงานของสมัชชาแห่งชาติ ก็ต้องย้อนไปดูสภาวะการเมืองที่เป็นอยู่ในระยะเวลานั้นว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงในวันที่ [[14 ตุลาคม พ.ศ. 2516]] จน[[จอมพล ถนอม  กิตติขจร]] ไม่อาจดำรงตำแหน่ง[[นายกรัฐมนตรี]]ได้ ต้องยอมลาออกและเดินทางออกไปนอกประเทศ จากนั้นได้มีประกาศ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง [[นายสัญญา ธรรมศักดิ์]] ผู้ที่มิใช่นักการเมืองมาเป็นนายกรัฐมนตรี จัดการให้มีการร่าง[[รัฐธรรมนูญ]]ฉบับใหม่ขึ้นมาใช้แทน[[ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2515]] เพื่อจะได้มี[[การเลือกตั้ง]]ทั่วไปให้ประชาชนมาเป็นผู้ตัดสินใจเลือกรัฐบาลตามวิถีทางประชาธิปไตย
ก่อนที่จะพิจารณาบุคคลในสมัชชาแห่งชาติที่ได้รับการแต่งตั้งและการทำงานของสมัชชาแห่งชาติ ก็ต้องย้อนไปดูสภาวะการเมืองที่เป็นอยู่ในระยะเวลานั้นว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงในวันที่ [[14 ตุลาคม พ.ศ. 2516]] จน[[ถนอม  กิตติขจร|จอมพล ถนอม  กิตติขจร]] ไม่อาจดำรงตำแหน่ง[[นายกรัฐมนตรี]]ได้ ต้องยอมลาออกและเดินทางออกไปนอกประเทศ จากนั้นได้มีประกาศ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง [[สัญญา ธรรมศักดิ์|นายสัญญา ธรรมศักดิ์]] ผู้ที่มิใช่นักการเมืองมาเป็นนายกรัฐมนตรี จัดการให้มีการร่าง[[รัฐธรรมนูญ]]ฉบับใหม่ขึ้นมาใช้แทน[[ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2515]] เพื่อจะได้มี[[การเลือกตั้ง]]ทั่วไปให้ประชาชนมาเป็นผู้ตัดสินใจเลือกรัฐบาลตามวิถีทางประชาธิปไตย


แต่ในช่วงเวลาที่นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และยังใช้ธรรมนูญการปกครองฯ อยู่นี้ และมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่สืบทอดมาจากการแต่งตั้งเดิมนั้นก็มีปัญหาเกิดขึ้น เพราะประชาชนแสดงความไม่ยอมรับสภานิติบัญญัติฯ ที่มีมาเดิมนี้ มีการเรียกร้องยืนเรื่องให้สมาชิกลาออก จนสมาชิกลาออกเองบ้าง ลาออกเพราะทนต่อแรงบีบคั้นไม่ได้ จนเหลือสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติน้อยลงจนไม่เป็นองค์ประชุมได้และจะต้องถึงขั้นยุบสภานิติบัญญัติแห่งชาติเดิมและตั้งชุดใหม่ขึ้นแทน
แต่ในช่วงเวลาที่นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และยังใช้ธรรมนูญการปกครองฯ อยู่นี้ และมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่สืบทอดมาจากการแต่งตั้งเดิมนั้นก็มีปัญหาเกิดขึ้น เพราะประชาชนแสดงความไม่ยอมรับสภานิติบัญญัติฯ ที่มีมาเดิมนี้ มีการเรียกร้องยืนเรื่องให้สมาชิกลาออก จนสมาชิกลาออกเองบ้าง ลาออกเพราะทนต่อแรงบีบคั้นไม่ได้ จนเหลือสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติน้อยลงจนไม่เป็นองค์ประชุมได้และจะต้องถึงขั้นยุบสภานิติบัญญัติแห่งชาติเดิมและตั้งชุดใหม่ขึ้นแทน


จากจำนวนสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ 2,347 คนนี้มีทั้งนักการเมืองระดับชาติ เช่น [[กรมหมื่นนราธิปพงษ์ประพันธ์]] [[นายสุกิจ นิมานเหมินทร์]] นักการเมืองท้องถิ่น อย่าง[[นายบรรหาร ศิลปอาชา]] ข้าราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนในระดับสูงจำนวนมาก เช่น [[พลเอกบุญชัย บำรุงพงศ์]] [[พลเอกกฤษ  ปุณณกันต์]] [[พล.อ.ท.คำรณ  ลีละศิริ]]  [[นายกำแหง สถิรกุล]] [[นาวาอากาศตรี กำธน สินธวานนท์]] เป็นต้น และยังมีนักวิชาการจำนวนไม่น้อย เช่น [[นายกมล สมวิเชียร]]  [[นายชัยอนันต์ สมุทวานิช]] [[นายกระมล ทองธรรมชาติ]] และ[[คุณหญิงจินตนา ยศสุนทร]] เป็นต้น นักเขียนและศิลปินก็มีหลายคน ทั้ง [[นายรงค์ วงศ์สวรรค์]] และ[[นายประเทือง  เอมเจริญ]] รวมทั้งผู้คนในภาคธุรกิจ ในภาคกิจการการเกษตร และภาคกิจการอุตสาหกรรมผู้ใช้แรงงาน และผู้นำ[[สหภาพ]]และสหพันธ์ต่าง ๆ บุคคลในกลุ่มนี้ที่มีชื่อคนหนึ่งคือ [[นายประทีป เสียงหวาน]] ที่เป็นผู้ขับรถสามล้อเครื่องและเป็นนายกสมาคมสามล้อเครื่อง
จากจำนวนสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ 2,347 คนนี้มีทั้งนักการเมืองระดับชาติ เช่น [[กรมหมื่นนราธิปพงษ์ประพันธ์]] [[สุกิจ นิมานเหมินทร์|นายสุกิจ นิมานเหมินทร์]] นักการเมืองท้องถิ่น อย่าง[[นายบรรหาร ศิลปอาชา]] ข้าราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนในระดับสูงจำนวนมาก เช่น [[บุญชัย บำรุงพงศ์|พลเอกบุญชัย บำรุงพงศ์]] [[กฤษ  ปุณณกันต์|พลเอกกฤษ  ปุณณกันต์]] [[คำรณ  ลีละศิริ|พล.อ.ท.คำรณ  ลีละศิริ]]  [[กำแหง สถิรกุล|นายกำแหง สถิรกุล]] [[นาวาอากาศตรี กำธน สินธวานนท์]] เป็นต้น และยังมีนักวิชาการจำนวนไม่น้อย เช่น [[กมล สมวิเชียร|นายกมล สมวิเชียร]]  [[ชัยอนันต์ สมุทวานิช|นายชัยอนันต์ สมุทวานิช]] [[นายกระมล ทองธรรมชาติ]] และ[[จินตนา ยศสุนทร|คุณหญิงจินตนา ยศสุนทร]] เป็นต้น นักเขียนและศิลปินก็มีหลายคน ทั้ง [[รงค์ วงศ์สวรรค์|นายรงค์ วงศ์สวรรค์]] และ[[นายประเทือง  เอมเจริญ]] รวมทั้งผู้คนในภาคธุรกิจ ในภาคกิจการการเกษตร และภาคกิจการอุตสาหกรรมผู้ใช้แรงงาน และผู้นำ[[สหภาพ]]และสหพันธ์ต่าง ๆ บุคคลในกลุ่มนี้ที่มีชื่อคนหนึ่งคือ [[ประทีป เสียงหวาน|นายประทีป เสียงหวาน]] ที่เป็นผู้ขับรถสามล้อเครื่องและเป็นนายกสมาคมสามล้อเครื่อง


ต่อมาในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 ก็ได้เรียกประชุมสมัชชาแห่งชาติ เนื่องจากจำนวนสมาชิกสมัชชาแห่งชาตินั้นมีมากถึง 2,347 คน จึงไม่อาจจัดประชุมที่รัฐสภาได้ และสถานที่อื่นก็หายาก จึงได้ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์เป็นที่ประชุม ทำให้สมัชชาฯ นี้ได้รับการเรียกขานอย่างไม่เป็นทางการว่า “[[สภาสนามม้า]]” แต่มิใช่การเรียกเป็นแง่ลบแต่อย่างใด เพราะประชาชนทั่วไปดูชื่นชมกับการมีสมัชชาแห่งชาติที่นำไปสู่การแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดใหม่
ต่อมาในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 ก็ได้เรียกประชุมสมัชชาแห่งชาติ เนื่องจากจำนวนสมาชิกสมัชชาแห่งชาตินั้นมีมากถึง 2,347 คน จึงไม่อาจจัดประชุมที่รัฐสภาได้ และสถานที่อื่นก็หายาก จึงได้ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์เป็นที่ประชุม ทำให้สมัชชาฯ นี้ได้รับการเรียกขานอย่างไม่เป็นทางการว่า “[[สภาสนามม้า]]” แต่มิใช่การเรียกเป็นแง่ลบแต่อย่างใด เพราะประชาชนทั่วไปดูชื่นชมกับการมีสมัชชาแห่งชาติที่นำไปสู่การแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดใหม่
บรรทัดที่ 20: บรรทัดที่ 20:
ครั้นถึงวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2515 จึงได้มีการยุบสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งเมื่อถึงวันนี้ก็มีสมาชิกเหลืออยู่เพียง 11 คน ไม่อาจทำการประชุมได้แล้ว ในวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2515 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทำพิธีเปิดประชุมสมัชชาแห่งชาติ จากการประชุมสมัชชาในวันต่อมาก็ทำให้ได้รายชื่อบุคคลจำนวน 299 คนที่ได้เลือกกันเองในสมัชชาแห่งชาติไปเสนอนายกรัฐมนตรี และนายรัฐมนตรีได้นำความกราบบังคมทูล
ครั้นถึงวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2515 จึงได้มีการยุบสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งเมื่อถึงวันนี้ก็มีสมาชิกเหลืออยู่เพียง 11 คน ไม่อาจทำการประชุมได้แล้ว ในวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2515 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทำพิธีเปิดประชุมสมัชชาแห่งชาติ จากการประชุมสมัชชาในวันต่อมาก็ทำให้ได้รายชื่อบุคคลจำนวน 299 คนที่ได้เลือกกันเองในสมัชชาแห่งชาติไปเสนอนายกรัฐมนตรี และนายรัฐมนตรีได้นำความกราบบังคมทูล


ในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2516 ได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดใหม่ขึ้นมาจำนวน 299 คน และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดนี้เองที่มี [[ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช]] เป็น[[ประธานสภา]] ได้มีบทบาทดูแลบ้านเมืองกับ[[รัฐบาล]]และพิจารณา[[รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517]] ออกมาบังคับใช้
ในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2516 ได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดใหม่ขึ้นมาจำนวน 299 คน และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดนี้เองที่มี [[คึกฤทธิ์  ปราโมช|ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช]] เป็น[[ประธานสภา]] ได้มีบทบาทดูแลบ้านเมืองกับ[[รัฐบาล]]และพิจารณา[[รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517]] ออกมาบังคับใช้




[[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2501-2519]]
[[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2501-2519]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 15:50, 13 ตุลาคม 2557

ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 เป็นวันเปิดประชุมสมัชชาแห่งชาติชุดแรกครั้งแรกเป็นวันที่คนชั้นนำในวงการต่าง ๆ ของประเทศมาประชุมกันที่ราชตฤณมัยสมาคมแห่งชาติ โดยมีความเป็นมาที่น่าสนใจคือในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2516 เป็นวันทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งสมัชชาแห่งชาติขึ้น ประกอบด้วยบุคคลจำนวนมากถึง 2,347 คน ทั้งนี้ ให้สมัชชาแห่งชาติประชุมและเลือกบุคคลในสมัชชาแห่งชาติกันเองเพื่อจะได้แต่งตั้งบุคคลที่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่มีการจัดตั้งสมัชชาแห่งชาติขึ้น

ก่อนที่จะพิจารณาบุคคลในสมัชชาแห่งชาติที่ได้รับการแต่งตั้งและการทำงานของสมัชชาแห่งชาติ ก็ต้องย้อนไปดูสภาวะการเมืองที่เป็นอยู่ในระยะเวลานั้นว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงในวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 จนจอมพล ถนอม กิตติขจร ไม่อาจดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ ต้องยอมลาออกและเดินทางออกไปนอกประเทศ จากนั้นได้มีประกาศ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ผู้ที่มิใช่นักการเมืองมาเป็นนายกรัฐมนตรี จัดการให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาใช้แทนธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2515 เพื่อจะได้มีการเลือกตั้งทั่วไปให้ประชาชนมาเป็นผู้ตัดสินใจเลือกรัฐบาลตามวิถีทางประชาธิปไตย

แต่ในช่วงเวลาที่นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และยังใช้ธรรมนูญการปกครองฯ อยู่นี้ และมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่สืบทอดมาจากการแต่งตั้งเดิมนั้นก็มีปัญหาเกิดขึ้น เพราะประชาชนแสดงความไม่ยอมรับสภานิติบัญญัติฯ ที่มีมาเดิมนี้ มีการเรียกร้องยืนเรื่องให้สมาชิกลาออก จนสมาชิกลาออกเองบ้าง ลาออกเพราะทนต่อแรงบีบคั้นไม่ได้ จนเหลือสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติน้อยลงจนไม่เป็นองค์ประชุมได้และจะต้องถึงขั้นยุบสภานิติบัญญัติแห่งชาติเดิมและตั้งชุดใหม่ขึ้นแทน

จากจำนวนสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ 2,347 คนนี้มีทั้งนักการเมืองระดับชาติ เช่น กรมหมื่นนราธิปพงษ์ประพันธ์ นายสุกิจ นิมานเหมินทร์ นักการเมืองท้องถิ่น อย่างนายบรรหาร ศิลปอาชา ข้าราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนในระดับสูงจำนวนมาก เช่น พลเอกบุญชัย บำรุงพงศ์ พลเอกกฤษ ปุณณกันต์ พล.อ.ท.คำรณ ลีละศิริ นายกำแหง สถิรกุล นาวาอากาศตรี กำธน สินธวานนท์ เป็นต้น และยังมีนักวิชาการจำนวนไม่น้อย เช่น นายกมล สมวิเชียร นายชัยอนันต์ สมุทวานิช นายกระมล ทองธรรมชาติ และคุณหญิงจินตนา ยศสุนทร เป็นต้น นักเขียนและศิลปินก็มีหลายคน ทั้ง นายรงค์ วงศ์สวรรค์ และนายประเทือง เอมเจริญ รวมทั้งผู้คนในภาคธุรกิจ ในภาคกิจการการเกษตร และภาคกิจการอุตสาหกรรมผู้ใช้แรงงาน และผู้นำสหภาพและสหพันธ์ต่าง ๆ บุคคลในกลุ่มนี้ที่มีชื่อคนหนึ่งคือ นายประทีป เสียงหวาน ที่เป็นผู้ขับรถสามล้อเครื่องและเป็นนายกสมาคมสามล้อเครื่อง

ต่อมาในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 ก็ได้เรียกประชุมสมัชชาแห่งชาติ เนื่องจากจำนวนสมาชิกสมัชชาแห่งชาตินั้นมีมากถึง 2,347 คน จึงไม่อาจจัดประชุมที่รัฐสภาได้ และสถานที่อื่นก็หายาก จึงได้ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์เป็นที่ประชุม ทำให้สมัชชาฯ นี้ได้รับการเรียกขานอย่างไม่เป็นทางการว่า “สภาสนามม้า” แต่มิใช่การเรียกเป็นแง่ลบแต่อย่างใด เพราะประชาชนทั่วไปดูชื่นชมกับการมีสมัชชาแห่งชาติที่นำไปสู่การแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดใหม่

ในวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2515 ได้โปรดเกล้า แต่งตั้ง พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ เป็นประธานที่ประชุมสมัชชาแห่งชาติและพระยามานวราชเสวี เป็นรองประธานที่ประชุมสมัชชาแห่งชาติคนที่ 1 นายสุกิจ นิมานเหมินท์ เป็นรองประธานที่ประชุมสมัชชาแห่งชาติคนที่ 2

ครั้นถึงวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2515 จึงได้มีการยุบสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งเมื่อถึงวันนี้ก็มีสมาชิกเหลืออยู่เพียง 11 คน ไม่อาจทำการประชุมได้แล้ว ในวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2515 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทำพิธีเปิดประชุมสมัชชาแห่งชาติ จากการประชุมสมัชชาในวันต่อมาก็ทำให้ได้รายชื่อบุคคลจำนวน 299 คนที่ได้เลือกกันเองในสมัชชาแห่งชาติไปเสนอนายกรัฐมนตรี และนายรัฐมนตรีได้นำความกราบบังคมทูล

ในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2516 ได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดใหม่ขึ้นมาจำนวน 299 คน และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดนี้เองที่มี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นประธานสภา ได้มีบทบาทดูแลบ้านเมืองกับรัฐบาลและพิจารณารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 ออกมาบังคับใช้