ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 10 วันที่ 15 ธันวาคม 2500"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Tora (คุย | ส่วนร่วม)
สร้างหน้าใหม่: {{รอผู้ทรง}} ---- '''ผู้เรียบเรียง''' ชาย ไชยชิต และ รองศาสตราจา...
 
Tora (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 25: บรรทัดที่ 25:
ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 สามารถจำแนกสัดส่วนจำนวนผู้สมัครที่ได้รับเลือกตั้งจากแต่ละพรรคได้ดังนี้  
ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 สามารถจำแนกสัดส่วนจำนวนผู้สมัครที่ได้รับเลือกตั้งจากแต่ละพรรคได้ดังนี้  


{| border="1" cellpadding="4" align="left"
{| border="1" cellpadding="4" align="center"
|-
|-
!style="background:#87cefa;" |พรรคการเมือง
!style="background:#87cefa;" |พรรคการเมือง

รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:15, 31 มีนาคม 2552

บทความนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อยโดยผู้ืทรงคุณวุฒิ



ผู้เรียบเรียง ชาย ไชยชิต และ รองศาสตราจารย์ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์



ความเป็นมา

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 10 เกิดขึ้นภายหลังการรัฐประหารของคณะทหารซึ่งนำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 รัฐบาลชุดใหม่ซึ่งมีนายพจน์ สารสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ได้จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งแบบรวมเขต ภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495 โดยมีหลักเกณฑ์การคำนวณสัดส่วนจำนวนผู้แทนราษฎรต่อจำนวนประชาชนในแต่ละเขต คือ ประชาชน 1 แสนคน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน ดังนั้น ในการเลือกตั้งครั้งนี้ จึงมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสิ้น 160 คน ทั้งนี้ สภาผู้แทนราษฏรจะทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติตาม “ระบบสภาเดียว”


พรรคการเมืองที่ลงสมัคร

พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครของพรรคลงแข่งขันในการเลือกตั้งครั้งนี้ ประกอบด้วย พรรคสหภูมิ พรรคขบวนการสหพันธรัฐสากลนิยม พรรคอิสาน พรรคชาติสังคม พรรคปิตุภูมิ พรรคประชาราษฎร และพรรคสหพันธ์ประชาธิปไตย ซึ่งเป็นพรรคที่จัดตั้งขึ้นใหม่ในการส่งผู้สมัครของพรรคลงแข่งขันในการเลือกตั้งครั้งนี้โดยเฉพาะ นอกจากนั้น ก็เป็นพรรคซึ่งเคยส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในครั้งที่ผ่านมาแล้ว นั่นคือ พรรคเสรีมนังคศิลา พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเสรีประชาธิปไตย พรรคเศรษฐกร พรรคธรรมาธิปัตย์ พรรคกรรมกร พรรคชาวนา พรรคสังคมประชาธิปไตย พรรคสงเคราะห์อาชีพและการกุศล พรรคชาตินิยม พรรคสหภราดร พรรคสังคมนิยม พรรคไฮด์ปาร์ค พรรคชาติประชาธิปไตย พรรคหนุ่มไทย พรรคสหพันธเกษตรกร พรรคราษฎร พรรคคนดี พรรคอิสระ พรรคประชาชน พรรคศรีอริยเมตไตร พรรคไทยมุสลิม และพรรคสยามประเทศ


จำนวนผู้มีสิทธิและการออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง

ในการเลือกตั้งครั้งนี้มีจำนวนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงทั้งประเทศจำนวนรวมทั้งสิ้น 9,911,118 คน ผลการเลือกตั้งพบว่า มีผู้มาใช้สิทธิลงคะแนนเสียงจำนวน 4,370,587 คน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 40.10 ของจำนวนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงทั้งหมด จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมากที่สุดคือ จังหวัดระนอง มีจำนวนผู้มาใช้สิทธิรวมทั้งสิ้น 4,370,587 คน คิดเป็นร้อยละ 73.00 ของจำนวนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงทั้งประเทศ ในขณะที่จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิลงคะแนนเสียงน้อยที่สุดคือ จังหวัดอุดรธานี ซึ่งมีผู้มาใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเพียง ร้อยละ 29.92


ผลการเลือกตั้ง

ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 สามารถจำแนกสัดส่วนจำนวนผู้สมัครที่ได้รับเลือกตั้งจากแต่ละพรรคได้ดังนี้

พรรคการเมือง จำนวนที่นั่ง
พรรคสหภูมิ 45 คน
พรรคประชาธิปัตย์ 39 คน
พรรคเศรษฐกร 6 คน
พรรคเสรีประชาธิปไตย 5 คน
พรรคเสรีมนังคศิลา 4 คน
พรรคชาตินิยม 1 คน
พรรคขบวนการไฮด์ปาร์ค 1 คน
พรรคอิสระ 1 คน
ผู้สมัครที่ไม่สังกัดพรรค 58 คน
รวมทั้งสิ้น 160 คน


ด้วยเหตุที่การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมากในสภา จึงทำให้การจัดตั้งรัฐบาลมีความยากลำบาก แม้ว่าพรรคสหภูมิซึ่งเป็นพรรคที่คณะทหารของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์สนับสนุนอยู่จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แต่เพื่อให้การการจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปด้วยความสะดวกยิ่งขึ้น จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์จึงได้จัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเอง เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2500 ชื่อว่า “พรรคชาติสังคม” โดยมีจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นหัวหน้าพรรค และมี พลโท ประภาส จารุเสถียร เป็นเลขาธิการพรรค


เหตุการณ์หลังจากการเลือกตั้ง

หลังจากดำเนินการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นายพจน์ สารสิน ก็ได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แม้ว่าทางคณะทหารต้องการที่จะให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง แต่นายพจน์ สารสินก็ได้ปฏิเสธโดยอ้างว่าตนมีภาระด้านอื่นอยู่มาก และเหตุการณ์ทางการเมืองก็กลับคืนสู่ความสงบเรียบร้อยแล้ว คณะรัฐประหารจึงต้องสรรหาตัวบุคคลผู้จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนนายพจน์ สารสิน โดย จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์เองได้ปฏิเสธที่จะรับตำแหน่ง


เมื่อพิจารณาตัวบุคคลสำคัญในคณะรัฐประหารซึ่งมีอาวุโสรองลงมา คณะทหารก็มีความเห็นว่าผู้ที่เหมาะสมกว่าใครในเวลานั้นคือ พลโท ถนอม กิตติขจร ซึ่งนอกจากจะเป็นบุคลสำคัญในคณะรัฐประหารแล้ว ยังดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคชาติสังคม ซึ่งได้รวบรวมสมาชิกสภาสังกัดพรรคสหภูมิและพรรคอื่น ๆ รวมทั้งที่ไม่ได้สังกัดพรรคมาเข้าร่วมเป็นสมาชิกได้ถึง 80 คน และเมื่อรวมกับเสียงสนับสนุนในหมู่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่สองด้วยแล้วก็ทำให้พรรคชาติสังคมมีเสียงสนับสนุนในสภามากเพียงพอที่จะจัดตังรัฐบาลได้ โดยการจัดตั้งรัฐบาลของพลโทถนอม กิตติขจรได้รับความไว้วางใจด้วยคะแนนเสียง 162 ต่อ 40 เสียง ซึ่งการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่นี้เป็นการจัดสรรโควต้าตำแหน่งรัฐมนตรี ระหว่างคณะทหารและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพรรคชาติสังคม และมีข้าราชประจำที่เคยร่วมเป็นรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลชั่วคราวก่อนการเลือกตั้งเข้ามาร่วมในคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่นี้ด้วย รัฐบาลของพลโทถนอม กิตติขจร อยู่ในตำแหน่งจนถึงวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์จึงได้เข้ายึดอำนาจและประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ สภาผู้แทนราษฎร และยุติบทบาทของพรรคการเมืองไทยลงโดยสิ้นเชิง


อ้างอิง

กระทรวงมหาดไทย, รายงานการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เล่ม 2, พระนคร : โรงพิมพ์กรมมหาดไทย, 2502

ฝ่ายพัฒนาการเมืองและการปกครอง สำนักนโยบายและแผนมหาดไทย, อนุสารการเมือง, มีนาคม 2522

บุญทัน ดอกไธสง, การเปลี่ยนแปลงทางการบริหารและการเมืองไทย, กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, 2520

ขจัดภัย บุรุษพัฒน์, การเมืองและพรรคการเมืองของไทยนับแต่ยุคแรกถึงปัจจุบัน, พระนคร: สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, 2511

สุจิต บุญบงการ, การพัฒนาการเมืองของไทย : ปฏิสัมพันธ์ระหว่างทหาร สถาบันทางการเมือง และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2531


ดูเพิ่มเติม