ผลต่างระหว่างรุ่นของ "12 มีนาคม พ.ศ. 2484"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
(ไม่แสดง 1 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน) | |||
บรรทัดที่ 10: | บรรทัดที่ 10: | ||
ที่จริงประเทศไทยก็ได้ลงนามสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศใหญ่ ๆ ในโลกมาหลายประเทศ และประเทศสหภาพโซเวียตก็ไม่ถึงกับเป็นประเทศที่สำคัญที่สุดของไทยด้วย ทำไมจึงยกมาคุย | ที่จริงประเทศไทยก็ได้ลงนามสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศใหญ่ ๆ ในโลกมาหลายประเทศ และประเทศสหภาพโซเวียตก็ไม่ถึงกับเป็นประเทศที่สำคัญที่สุดของไทยด้วย ทำไมจึงยกมาคุย | ||
แต่ที่ยกเอามาคุยกันในครั้งนี้ก็เพราะการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตของสองประเทศนี้ ดูว่าจะมีคนรู้กันน้อย และยิ่งไปกว่านั้นยังมีการเข้าใจกันว่า ทั้งสองประเทศนี้เพิ่งจะมาสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกันภายหลัง[[สงครามโลกครั้งที่ 2]] คือ เมื่อ พ.ศ. 2489 สมัยหลัง[[รัฐบาล]][[จอมพล ป.พิบูลสงคราม]] เป็น[[นายกรัฐมนตรี]] ตอนที่ประเทศไทยจะเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติและจำเป็นต้องคบกันสหภาพโซเวียตที่เป็นประเทศคอมมิวนิสต์เพื่อไม่ให้สหภาพโซเวียตคัดค้าน เพราะสหภาพโซเวียตเป็นประเทศสมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคง | แต่ที่ยกเอามาคุยกันในครั้งนี้ก็เพราะการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตของสองประเทศนี้ ดูว่าจะมีคนรู้กันน้อย และยิ่งไปกว่านั้นยังมีการเข้าใจกันว่า ทั้งสองประเทศนี้เพิ่งจะมาสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกันภายหลัง[[สงครามโลกครั้งที่ 2]] คือ เมื่อ พ.ศ. 2489 สมัยหลัง[[รัฐบาล]][[แปลก พิบูลสงคราม|จอมพล ป.พิบูลสงคราม]] เป็น[[นายกรัฐมนตรี]] ตอนที่ประเทศไทยจะเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติและจำเป็นต้องคบกันสหภาพโซเวียตที่เป็นประเทศคอมมิวนิสต์เพื่อไม่ให้สหภาพโซเวียตคัดค้าน เพราะสหภาพโซเวียตเป็นประเทศสมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคง | ||
ในความเป็นจริง จากเอกสารและรูปถ่ายรูปหนึ่ง ทำให้มีความเชื่อว่าทั้งสองประเทศได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกันในปี พ.ศ. 2484 หลังจากความสัมพันธ์อันดีที่มีมาตั้งแต่สมัย[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]]ได้ยุติลงภายหลังที่คณะบอลเชวิคของเลนินทำการปฏิวัติล้มรัฐบาลรัสเซีย และนำเอาคอมมิวนิสต์เข้ามามีอำนาจ | ในความเป็นจริง จากเอกสารและรูปถ่ายรูปหนึ่ง ทำให้มีความเชื่อว่าทั้งสองประเทศได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกันในปี พ.ศ. 2484 หลังจากความสัมพันธ์อันดีที่มีมาตั้งแต่สมัย[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]]ได้ยุติลงภายหลังที่คณะบอลเชวิคของเลนินทำการปฏิวัติล้มรัฐบาลรัสเซีย และนำเอาคอมมิวนิสต์เข้ามามีอำนาจ | ||
บรรทัดที่ 16: | บรรทัดที่ 16: | ||
เหตุที่ทำให้เชื่อเช่นนี้ก็เพราะมีเอกสารสักสองสามชิ้นที่จะยกมาพิจารณาประกอบการสันนิษฐานเช่นว่า ได้แก่ | เหตุที่ทำให้เชื่อเช่นนี้ก็เพราะมีเอกสารสักสองสามชิ้นที่จะยกมาพิจารณาประกอบการสันนิษฐานเช่นว่า ได้แก่ | ||
1. หนังสือชื่อ 90 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตรัสเซีย-ไทย เขียนเป็นภาษาไทยโดย อเลกซานเดอร์ อ.คาร์ตซาวา ระบุว่า | |||
“...การสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างสหภาพโซเวียตกับประเทศไทย มีเหตุผลหลายอย่างหลายประการที่ทำให้ขัดขวางอยู่เป็นเวลาหลายปี โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางการทูตได้สถาปนาระหว่างกันขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2484 แต่ครั้นเกิดสงครามโลก ครั้งที่ 2 ขึ้น เมื่อวันที่ 22 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2484 ทำให้การแลกเปลี่ยนตัวเอกอัครราชทูตต้องระงับไปชั่วระยะหนึ่ง...” | |||
2. ทางรัสเซียมีภาพถ่ายที่ท่านอัครราชทูตไทยประจำเยอรมนี [[พ.อ.พระประศาสน์พิทยายุทธ]] ยืนอยู่คู่กับ[[รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ]]รัสเซียสมัยนั้นคือ นายโมโลตอฟ เป็นภาพที่ทางรัสเซียยืนยันว่าถ่ายในวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2484 ที่กระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย | |||
มีข้อมูลมาก่อนหน้านี้ว่าทางรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้คิดจะคบหากับสหภาพโซเวียตที่เป็นคอมมิวนิสต์มาตั้งแต่ พ.ศ. 2482 และได้มีความพยายามให้มีการติดต่ออย่างลับ ๆ โดยทูตไทยประจำเยอรมนีในตอนนั้น ซึ่งก็คือคุณพระประศาสน์พิทยายุทธ ผู้ที่ปรากฏตัวในภาพพร้อมกับเลขานุการไทย | มีข้อมูลมาก่อนหน้านี้ว่าทางรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้คิดจะคบหากับสหภาพโซเวียตที่เป็นคอมมิวนิสต์มาตั้งแต่ พ.ศ. 2482 และได้มีความพยายามให้มีการติดต่ออย่างลับ ๆ โดยทูตไทยประจำเยอรมนีในตอนนั้น ซึ่งก็คือคุณพระประศาสน์พิทยายุทธ ผู้ที่ปรากฏตัวในภาพพร้อมกับเลขานุการไทย |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 09:47, 15 ตุลาคม 2557
ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
วันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2484 เป็นวันที่ประเทศไทยได้มีการลงนามตกลงสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหภาพโซเวียต นับว่าเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยได้มีความสัมพันธ์กับประเทศคอมมิวนิสต์
ที่จริงประเทศไทยก็ได้ลงนามสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศใหญ่ ๆ ในโลกมาหลายประเทศ และประเทศสหภาพโซเวียตก็ไม่ถึงกับเป็นประเทศที่สำคัญที่สุดของไทยด้วย ทำไมจึงยกมาคุย
แต่ที่ยกเอามาคุยกันในครั้งนี้ก็เพราะการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตของสองประเทศนี้ ดูว่าจะมีคนรู้กันน้อย และยิ่งไปกว่านั้นยังมีการเข้าใจกันว่า ทั้งสองประเทศนี้เพิ่งจะมาสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกันภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ เมื่อ พ.ศ. 2489 สมัยหลังรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ตอนที่ประเทศไทยจะเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติและจำเป็นต้องคบกันสหภาพโซเวียตที่เป็นประเทศคอมมิวนิสต์เพื่อไม่ให้สหภาพโซเวียตคัดค้าน เพราะสหภาพโซเวียตเป็นประเทศสมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคง
ในความเป็นจริง จากเอกสารและรูปถ่ายรูปหนึ่ง ทำให้มีความเชื่อว่าทั้งสองประเทศได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกันในปี พ.ศ. 2484 หลังจากความสัมพันธ์อันดีที่มีมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ยุติลงภายหลังที่คณะบอลเชวิคของเลนินทำการปฏิวัติล้มรัฐบาลรัสเซีย และนำเอาคอมมิวนิสต์เข้ามามีอำนาจ
เหตุที่ทำให้เชื่อเช่นนี้ก็เพราะมีเอกสารสักสองสามชิ้นที่จะยกมาพิจารณาประกอบการสันนิษฐานเช่นว่า ได้แก่
1. หนังสือชื่อ 90 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตรัสเซีย-ไทย เขียนเป็นภาษาไทยโดย อเลกซานเดอร์ อ.คาร์ตซาวา ระบุว่า
“...การสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างสหภาพโซเวียตกับประเทศไทย มีเหตุผลหลายอย่างหลายประการที่ทำให้ขัดขวางอยู่เป็นเวลาหลายปี โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางการทูตได้สถาปนาระหว่างกันขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2484 แต่ครั้นเกิดสงครามโลก ครั้งที่ 2 ขึ้น เมื่อวันที่ 22 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2484 ทำให้การแลกเปลี่ยนตัวเอกอัครราชทูตต้องระงับไปชั่วระยะหนึ่ง...”
2. ทางรัสเซียมีภาพถ่ายที่ท่านอัครราชทูตไทยประจำเยอรมนี พ.อ.พระประศาสน์พิทยายุทธ ยืนอยู่คู่กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศรัสเซียสมัยนั้นคือ นายโมโลตอฟ เป็นภาพที่ทางรัสเซียยืนยันว่าถ่ายในวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2484 ที่กระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย
มีข้อมูลมาก่อนหน้านี้ว่าทางรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้คิดจะคบหากับสหภาพโซเวียตที่เป็นคอมมิวนิสต์มาตั้งแต่ พ.ศ. 2482 และได้มีความพยายามให้มีการติดต่ออย่างลับ ๆ โดยทูตไทยประจำเยอรมนีในตอนนั้น ซึ่งก็คือคุณพระประศาสน์พิทยายุทธ ผู้ที่ปรากฏตัวในภาพพร้อมกับเลขานุการไทย
3. มีบันทึกของกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2484 จากเลขาธิการคณะรัฐมนตรีถึงนายกรัฐมนตรี มีความว่า
“ด้วยกระทรวงการต่างประเทศแจ้งว่า อัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน รายงานมาว่ารัฐบาลโซเวียตรัสเซียประสงค์จะแต่งตั้งมองสิเออร์เดมกานอฟ นิโกลาซ ยากอฟเลวิตว์ เป็นเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย...จึงใคร่ทราบว่ารัฐบาลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเห็นชอบด้วยหรือไม่...”
ดังนั้นถ้าไม่กลับมาสถาปนาความสัมพันธ์กันแล้วก่อนหน้านั้นจะมาขอความเห็นชอบตั้งทูตกันได้อย่างไร
แต่ถ้ามีคำถามว่าถ้าสถาปนาความสัมพันธ์กันแล้ว ขอความเห็นชอบกันแล้วทำไมจึงตั้งทูตมาแลกเปลี่ยนกันไม่ได้สักที
พอจะมีคำตอบว่า พอถึงวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2484 ที่นายคาร์ตซาวาอ้างว่าเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นก็คือรัสเซียถูกกองทัพเยอรมันบุกจนต้องเข้าสู่ภาวะสงคราม
ส่วนทางไทยนั้นวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามอย่างใกล้ชิดแล้ว เพราะญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกเข้าไทย
ภาวะสงครามด้วยกันทั้งคู่อย่างนี้การแลกทูตก็เป็นอันเงียบไปอย่างแน่นอน นี่ก็คือที่มาของการที่เชื่อว่าวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2484 น่าจะเป็นวันที่สองประเทศได้กลับมาสถานปาความสัมพันธ์ทางการทูตจริง