ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การยุบสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Panu (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
(ไม่แสดง 11 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้ 2 คน)
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:
'''ผู้เรียบเรียง''' ชงคชาญ สุวรรณมณี
'''ผู้เรียบเรียง''' ชงคชาญ สุวรรณมณี
----


'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ''' รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จเร พันธุ์เปรื่อง  
'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ''' รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จเร พันธุ์เปรื่อง  
บรรทัดที่ 5: บรรทัดที่ 7:
----
----


การยุบสภาผู้แทนราษฎร เป็นกลไกของระบอบประชาธิปไตย ในระบบรัฐสภาที่นอกจากเป็นเครื่องมือใช้ถ่วงดุลหรือคานอำนาจ ระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อมิให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอำนาจเหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่งโดยสิ้นเชิงแล้ว การยุบสภาผู้แทนราษฎรยังเป็นวิธีการที่ให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งตัดสินชี้ขาดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ผลการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือชี้ขาดเจตจำนงของประชาชน[๑]
[[การยุบสภาผู้แทนราษฎร]] เป็นกลไกของระบอบประชาธิปไตย ในระบบรัฐสภาที่นอกจากเป็นเครื่องมือใช้ถ่วงดุลหรือคานอำนาจ ระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อมิให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอำนาจเหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่งโดยสิ้นเชิงแล้ว การยุบสภาผู้แทนราษฎรยังเป็นวิธีการที่ให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งตัดสินชี้ขาดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ผลการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือชี้ขาดเจตจำนงของประชาชน<ref>ตวงรัตน์ เลาหัตถพงษ์ภูริ, '''“ปัญหาทางกฎหมายของการยุบสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย”,''' (วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2542) : หน้า 38</ref>


การยุบสภาผู้แทนราษฎรมีในประเทศที่ปกครองระบบรัฐสภา โดยมีที่มาจากประเทศอังกฤษสำหรับประเทศไทยนับตั้งแต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นการปกครองระบบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕  จนถึงปัจจุบัน รัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยที่ได้มีการบัญญัติเรื่องการยุบสภาผู้แทนราษฎร  ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕  นับแต่นั้นมาก็ได้มีการนำมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับต่าง ๆ เรื่อยมา
การยุบสภาผู้แทนราษฎรมีในประเทศที่ปกครองระบบรัฐสภา โดยมีที่มาจากประเทศอังกฤษสำหรับประเทศไทยนับตั้งแต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นการปกครองระบบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน [[รัฐธรรมนูญ]]ฉบับแรกของประเทศไทยที่ได้มีการบัญญัติเรื่องการยุบสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่ [[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475]] นับแต่นั้นมาก็ได้มีการนำมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับต่าง ๆ เรื่อยมา


==การยุบสภาผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐==
==การยุบสภาผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540==


รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ได้บัญญัติเรื่องการยุบสภาผู้แทนราษฎรไว้ในมาตรา ๑๑๖  ว่า
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้บัญญัติเรื่องการยุบสภาผู้แทนราษฎรไว้ในมาตรา 116 ว่า


'''มาตรา ๑๑๖''' พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ 
'''มาตรา 116''' [[พระมหากษัตริย์]]ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่


การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา  ซึ่งต้องกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายในหกสิบวัน และวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร
การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดย[[พระราชกฤษฎีกา]] ซึ่งต้องกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็น[[การเลือกตั้ง]]ทั่วไปภายในหกสิบวัน และวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร


การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน
การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน


การยุบสภาผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญของประเทศไทย ตั้งแต่ฉบับแรกจนถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ จะบัญญัติไว้กว้าง ๆ เพียงมาตราเดียว ครอบคลุมทั้งหลักเกณฑ์ และวิธีการยุบสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด โดยให้การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และกระทำโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไป ภายในหกสิบวันซึ่งต้องเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายบริหารใช้อำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างกว้างขวาง
การยุบสภาผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญของประเทศไทย ตั้งแต่ฉบับแรกจนถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 จะบัญญัติไว้กว้าง ๆ เพียงมาตราเดียว ครอบคลุมทั้งหลักเกณฑ์ และวิธีการยุบสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด โดยให้การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และกระทำโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไป ภายในหกสิบวันซึ่งต้องเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายบริหารใช้อำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างกว้างขวาง


จากการที่รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่าพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรจะออกได้ในกรณีใดบ้าง เหมือนกับการออกพระราชกำหนดที่ให้ออกได้ในกรณีเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือ ป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะและเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ กรณีมีความจำเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตรา ซึ่งจะต้องได้รับการพิจารณาโดยด่วนและลับ เพื่อประชาชนของแผ่นดินหรือเพื่อมิให้มีการออกพระราชกำหนดในกรณีอันนอกเหนือจากที่รัฐธรรมนูญกำหนด ทำให้ฝ่ายบริหารยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ทุกกรณีโดยอ้างสาเหตุใด ๆ ก็ได้[๒]
จากการที่รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่าพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรจะออกได้ในกรณีใดบ้าง เหมือนกับการออก[[พระราชกำหนด]]ที่ให้ออกได้ในกรณีเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือ ป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะและเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ กรณีมีความจำเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตรา ซึ่งจะต้องได้รับการพิจารณาโดยด่วนและลับ เพื่อประชาชนของแผ่นดินหรือเพื่อมิให้มีการออกพระราชกำหนดในกรณีอันนอกเหนือจากที่รัฐธรรมนูญกำหนด ทำให้ฝ่ายบริหารยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ทุกกรณีโดยอ้างสาเหตุใด ๆ ก็ได้<ref>เรื่องเดียวกัน, หน้า 98-99.</ref>


สำหรับประเทศไทยได้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนรวม ๑๑ ครั้ง นอกจากนี้ยังมีการยุบสภานิติบัญญัติแห่งชาติและการปิดสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งรวม ครั้ง ซึ่งการยุบสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมามักเกิดจากสาเหตุใหญ่ ๆ ประเภท คือ[๓]
สำหรับประเทศไทยได้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนรวม 11 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีการยุบสภานิติบัญญัติแห่งชาติและการปิดสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งรวม 2 ครั้ง ซึ่งการยุบสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมามักเกิดจากสาเหตุใหญ่ ๆ 3 ประเภท คือ<ref>เรื่องเดียวกัน, หน้า 71.</ref>


. ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ
1. ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ


. ความขัดแย้งภายในพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล
2. ความขัดแย้งภายในพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล


. ปัญหาทางการเมืองหรือวิกฤตการณ์ทางการเมืองเพื่อหาทางออกหรือแก้ปัญหาทางการเมือง
3. ปัญหาทางการเมืองหรือวิกฤตการณ์ทางการเมืองเพื่อหาทางออกหรือแก้ปัญหาทางการเมือง


ส่วนการกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ ภายในหกสิบวันนั้น เป็นดุลพินิจของฝ่ายบริหารที่จะกำหนดวันเลือกตั้งเมื่อใดก็ได้ แต่ต้องไม่เกินหกสิบวัน นับแต่วันที่มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เช่น สมัย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี  ในปี พ.ศ.๒๕๒๖ ได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ และกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๖[๔]  ซึ่งมีระยะเวลาในการจัดการเลือกตั้งเพียงสามสิบวัน ถือว่าไม่เกินหกสิบวันก็สามารถทำได้
ส่วนการกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ ภายในหกสิบวันนั้น เป็นดุลพินิจของฝ่ายบริหารที่จะกำหนดวันเลือกตั้งเมื่อใดก็ได้ แต่ต้องไม่เกินหกสิบวัน นับแต่วันที่มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เช่น สมัย[[เปรม ติณสูลานนท์|พลเอกเปรม ติณสูลานนท์]] เป็น[[นายกรัฐมนตรี]] ในปี พ.ศ. 2526 ได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2526 และกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2526<ref>เรื่องเดียวกัน, หน้า 85.</ref> ซึ่งมีระยะเวลาในการจัดการเลือกตั้งเพียงสามสิบวัน ถือว่าไม่เกินหกสิบวันก็สามารถทำได้


==การยุบสภาผู้แทนราษฎร วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๙==
==การยุบสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549==


ในสมัยพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการยุบสภาผู้แทนราษฎรครั้งล่าสุดตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐
ในสมัย[[ทักษิณ ชินวัตร|พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร]] เป็น[[นายกรัฐมนตรี]] เป็นการยุบสภาผู้แทนราษฎรครั้งล่าสุดตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540


มีสาเหตุมาจากกลุ่มบุคคลบางกลุ่มไม่พอใจการบริหารราชการแผ่นดินของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวหาว่า มีการใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของครอบครัวตนเอง แทรกแซงการทำงานขององค์กรอิสระ การขายหุ้นของครอบครัวให้กับบริษัทต่างชาติและมีผลประโยชน์ทับซ้อน จึงได้มีการชุมนุมเรียกร้องบีบบังคับให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งเพื่อยุติบทบาททางการเมือง โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น ขณะเดียวกันมีกลุ่มคนอีกจำนวนหนึ่งรวมตัวกันชุมนุมเพื่อสนับสนุนรัฐบาลจนเหตุการณ์ทำท่าจะบานปลาย เนื่องจากฝ่ายต่อต้านและฝ่ายสนับสนุนมีแนวโน้มที่จะออกมาปะทะกัน เหตุการณ์เริ่มส่อเค้าจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าจะสงบแม้รัฐบาลจะได้ดำเนินการขอให้เปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาโดยไม่มีการลงมติในวันแรกที่มีการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญทั่วไป ในวันที่ - มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ แต่ก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้  
มีสาเหตุมาจากกลุ่มบุคคลบางกลุ่มไม่พอใจ[[การบริหารราชการแผ่นดิน]]ของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวหาว่า มีการใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของครอบครัวตนเอง แทรกแซงการทำงานขององค์กรอิสระ การขายหุ้นของครอบครัวให้กับบริษัทต่างชาติและมีผลประโยชน์ทับซ้อน จึงได้มีการชุมนุมเรียกร้องบีบบังคับให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งเพื่อยุติบทบาททางการเมือง โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น ขณะเดียวกันมีกลุ่มคนอีกจำนวนหนึ่งรวมตัวกันชุมนุมเพื่อสนับสนุนรัฐบาลจนเหตุการณ์ทำท่าจะบานปลาย เนื่องจากฝ่ายต่อต้านและฝ่ายสนับสนุนมีแนวโน้มที่จะออกมาปะทะกัน เหตุการณ์เริ่มส่อเค้าจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าจะสงบแม้รัฐบาลจะได้ดำเนินการขอให้เปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาโดยไม่มีการลงมติในวันแรกที่มีการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญทั่วไป ในวันที่ 8 - 9 มีนาคม พ.ศ. 2549 แต่ก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้  


ต่อมารัฐบาลได้แถลงการณ์ถึงเหตุผลของการยุบสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้ว่า
ต่อมารัฐบาลได้แถลงการณ์ถึงเหตุผลของการยุบสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้ว่า


. การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นกระบวนการปกติของการปกครองในระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา กล่าวคือ เมื่อใดที่มีความขัดแย้งหรือเกิดปัญหาการเมืองอันอาจนำมาซึ่งวิกฤตการณ์ต่าง ๆ จนการบริหารราชการแผ่นดินไม่อาจดำเนินไปได้  หากปล่อยไว้ความขัดแย้งและปัญหาอาจบานปลายถึงขั้นกระทบต่อเสถียรภาพของระบอบประชาธิปไตย วิธีการสุดท้ายที่มักนำมาใช้อยู่เสมอคือการยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นการคืนอำนาจตัดสินทางการเมืองกลับไปให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงเป็นผู้ตัดสิน
1. การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นกระบวนการปกติของการปกครองในระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา กล่าวคือ เมื่อใดที่มีความขัดแย้งหรือเกิดปัญหาการเมืองอันอาจนำมาซึ่งวิกฤตการณ์ต่าง ๆ จน[[การบริหารราชการแผ่นดิน]]ไม่อาจดำเนินไปได้ หากปล่อยไว้ความขัดแย้งและปัญหาอาจบานปลายถึงขั้นกระทบต่อเสถียรภาพของระบอบประชาธิปไตย วิธีการสุดท้ายที่มักนำมาใช้อยู่เสมอคือการยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นการคืนอำนาจตัดสินทางการเมืองกลับไปให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของ[[อำนาจอธิปไตย]]ที่แท้จริงเป็นผู้ตัดสิน


. การยุบสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้เกิดจากรัฐบาลพิจารณาเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปัจจุบัน ได้ใช้บังคับมา ปีแล้ว ทำให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาพัฒนามีความเข้มแข็งตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ แต่ขณะนี้ได้มีความสับสนทางการเมืองเกิดขึ้น เนื่องจากมีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มไม่พอใจในตัวผู้นำรัฐบาล และได้มีการชุมนุมสาธารณะตั้งข้อเรียกร้องในทางการเมืองเชิงบีบบังคับ ซึ่งแม้ในระยะแรกจะอยู่ในกรอบของกฎหมายแต่เมื่อนานวันเข้า การชุมนุมเรียกร้องได้ขยายตัวไปในทางที่กว้างขวางและอาจรุนแรงขึ้น ร่วมทั้งส่อเค้าว่าจะมีการเผชิญหน้าจนอาจปะทะกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและอาจมีการสอดแทรกฉวยโอกาสจากผู้ที่ประสงค์จะเห็นความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมืองจุดชนวนให้เกิดความรู้สึกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน จนลุกลามถึงขั้นก่อการจลาจลวุ่นวายสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ แม้ทางรัฐบาลจะใช้อำนาจเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองเข้าควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดหรือพยายามดำเนินการตามวิถีทางรัฐธรรมนูญด้วยการขอเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาแล้ว ก็ไม่สามารถยุตปัญหาดังกล่าวได้
2. การยุบสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้เกิดจากรัฐบาลพิจารณาเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปัจจุบัน ได้ใช้บังคับมา 9 ปีแล้ว ทำให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาพัฒนามีความเข้มแข็งตาม[[เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ]] แต่ขณะนี้ได้มีความสับสนทางการเมืองเกิดขึ้น เนื่องจากมีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มไม่พอใจในตัวผู้นำรัฐบาล และได้มีการชุมนุมสาธารณะตั้งข้อเรียกร้องในทางการเมืองเชิงบีบบังคับ ซึ่งแม้ในระยะแรกจะอยู่ในกรอบของกฎหมายแต่เมื่อนานวันเข้า การชุมนุมเรียกร้องได้ขยายตัวไปในทางที่กว้างขวางและอาจรุนแรงขึ้น ร่วมทั้งส่อเค้าว่าจะมีการเผชิญหน้าจนอาจปะทะกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและอาจมีการสอดแทรกฉวยโอกาสจากผู้ที่ประสงค์จะเห็นความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมืองจุดชนวนให้เกิดความรู้สึกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน จนลุกลามถึงขั้นก่อการจลาจลวุ่นวายสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ แม้ทางรัฐบาลจะใช้อำนาจเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองเข้าควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดหรือพยายามดำเนินการตามวิถีทางรัฐธรรมนูญด้วยการขอเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาแล้ว ก็ไม่สามารถยุตปัญหาดังกล่าวได้


. รัฐบาลได้หารือกับประธานกรรมการการเลือกตั้งโดยมีความเห็นร่วมกันว่า แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยจะกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปภายใน ๖๐ วันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร แต่ตามกฎหมายและในความเป็นจริง คณะกรรมการการเลือกตั้งพร้อมที่จะดำเนินการเลือกตั้ง ตั้งแต่วันครบ ๓๐ วันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น จึงได้กำหนดในวันอาทิตย์ที่ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นวันเลือกตั้งทั่วไป ทั้งนี้ เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยเร็ว  
3. รัฐบาลได้หารือกับประธานกรรมการการเลือกตั้งโดยมีความเห็นร่วมกันว่า แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยจะกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปภายใน 60 วันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร แต่ตามกฎหมายและในความเป็นจริง คณะกรรมการการเลือกตั้งพร้อมที่จะดำเนินการเลือกตั้ง ตั้งแต่วันครบ 30 วันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น จึงได้กำหนดในวันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 เป็นวันเลือกตั้งทั่วไป ทั้งนี้ เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยเร็ว  


. เมื่อยุบสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ทำให้คณะรัฐมนตรีต้องสิ้นสุดลง แต่สามารถอยู่ปฏิบัติหน้าที่ได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๑๕ ทั้งนี้ เพื่อดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศและบริหารราชการแผ่นดินพร้อมทั้งดูแลการเลือกตั้งให้มีความสุจริตและเที่ยงธรรม
4. เมื่อยุบสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ทำให้[[คณะรัฐมนตรี]]ต้องสิ้นสุดลง แต่สามารถอยู่ปฏิบัติหน้าที่ได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 215 ทั้งนี้ เพื่อดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศและบริหารราชการแผ่นดินพร้อมทั้งดูแลการเลือกตั้งให้มีความสุจริตและเที่ยงธรรม


. ขอให้ประชาชนทั้งหลายให้ความสำคัญกับการเลือกตั้ง ด้วยการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
5. ขอให้ประชาชนทั้งหลายให้ความสำคัญกับ[[การเลือกตั้ง]] ด้วยการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง


==เหตุการณ์ทางการเมืองภายหลังการประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๙==
==เหตุการณ์ทางการเมืองภายหลังการประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549==


การตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎรของนายกรัฐมนตรีเพื่อเป็นทางออกในการแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์ของประเทศในขณะนั้น ถูกพรรคฝ่ายค้านมองว่านายกรัฐมนตรีตัดสินใจผิดพลาดที่ยุบสภาผู้แทนราษฎร  เพราะสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้มีความผิดอะไรและฝ่ายนิติบัญญัติมิได้มีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับฝ่ายบริหารจนเป็นเหตุให้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร แต่มีเจตนาหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากฝ่ายนิติบัญญัติทำให้นายกรัฐมนตรีขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศอีกต่อไป รวมทั้งการกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ นั้นก็ไม่ชอบธรรมไม่เสมอภาคต่อพรรคการเมืองอื่น ทั้ง ๆ ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าในกรณีที่มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมการการเลือกตั้งจะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน ๖๐ วัน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม เพราะจะทำให้ทุกฝ่ายมีเวลาเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งครั้งต่อไป แต่คณะกรรมการการเลือกตั้งกับเสนอให้รัฐบาลออกพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งใหม่ ภายใน ๓๗ วัน ซึ่งเป็นเวลาที่กระชั้นชิดเกินไปไม่เป็นธรรมต่อพรรคฝ่ายค้าน ทำให้พรรคฝ่ายค้านทั้ง พรรคการเมือง คือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชน  ไม่ส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้ง ในวันที่ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙  เป็นผลให้พรรคไทยรักไทยต้องส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียงพรรคเดียวในหลายเขตเลือกตั้ง ในที่สุดนำมาซึ่งการร้องขอให้การเลือกตั้งในวันที่ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาในวันที่ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ กำหนดให้มีวันเลือกตั้งทั่วไปใหม่ในวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ แต่ยังไม่ทันได้จัดการเลือกตั้ง ในวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙  คณะทหารได้ทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เสียก่อน[]
การตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎรของ[[นายกรัฐมนตรี]]เพื่อเป็นทางออกในการแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์ของประเทศในขณะนั้น ถูก[[พรรคฝ่ายค้าน]]มองว่านายกรัฐมนตรีตัดสินใจผิดพลาดที่ยุบสภาผู้แทนราษฎร เพราะ[[สภาผู้แทนราษฎร]]ไม่ได้มีความผิดอะไรและฝ่ายนิติบัญญัติมิได้มีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับฝ่ายบริหารจนเป็นเหตุให้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร แต่มีเจตนาหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากฝ่ายนิติบัญญัติทำให้นายกรัฐมนตรีขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศอีกต่อไป รวมทั้งการกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 นั้นก็ไม่ชอบธรรมไม่เสมอภาคต่อพรรคการเมืองอื่น ทั้ง ๆ ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าในกรณีที่มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร [[คณะกรรมการการเลือกตั้ง]]จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม เพราะจะทำให้ทุกฝ่ายมีเวลาเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งครั้งต่อไป แต่คณะกรรมการการเลือกตั้งกับเสนอให้รัฐบาลออก[[พระราชกฤษฎีกา]]เลือกตั้งใหม่ ภายใน 37 วัน ซึ่งเป็นเวลาที่กระชั้นชิดเกินไปไม่เป็นธรรมต่อพรรคฝ่ายค้าน ทำให้พรรคฝ่ายค้านทั้ง 3 พรรคการเมือง คือ [[พรรคประชาธิปัตย์]] [[พรรคชาติไทย]] และ[[พรรคมหาชน]] ไม่ส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้ง ในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 เป็นผลให้[[พรรคไทยรักไทย]]ต้องส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียงพรรคเดียวในหลาย[[เขตเลือกตั้ง]] ในที่สุดนำมาซึ่งการร้องขอให้การเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาในวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 [[ศาลรัฐธรรมนูญ]]ได้วินิจฉัยให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 เป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ กำหนดให้มีวันเลือกตั้งทั่วไปใหม่ในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2549 แต่ยังไม่ทันได้จัดการเลือกตั้ง ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 คณะทหารได้ทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เสียก่อน<ref>วิกิพีเดีย. '''“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”''' [ออนไลน์] แหล่งที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki. ( 18 ตุลาคม 2552) หน้า 3.</ref>


ต่อมาวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐  ตุลาการรัฐธรรมนูญ ได้มีคำสั่งให้ยุบพรรค  ไทยรักไทย และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคจำนวน ๑๑๑ คน มีกำหนดห้าปี ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกพรรคไทยรักไทยกล่าวหาว่าให้สินบนกับพรรคเล็กเพื่อให้คว่ำบาตรการเลือกตั้งเมื่อวันที่ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ตุลาการรัฐธรรมนูญได้ตัดสินให้พ้นความผิด
ต่อมาวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ตุลาการรัฐธรรมนูญ ได้มีคำสั่งให้ยุบพรรคไทยรักไทย และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคจำนวน 111 คน มีกำหนดห้าปี ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกพรรคไทยรักไทยกล่าวหาว่าให้สินบนกับพรรคเล็กเพื่อให้คว่ำบาตรการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 ตุลาการรัฐธรรมนูญได้ตัดสินให้พ้นความผิด




==ผลทางกฎหมายที่เกิดจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร[๖]==
==ผลทางกฎหมายที่เกิดจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร<ref>ตวงรัตน์, เรื่องเดิม, หน้า 63-67.</ref>==


ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ เมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรก่อให้เกิดผลทางกฎหมายดังต่อไปนี้
ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรก่อให้เกิดผลทางกฎหมายดังต่อไปนี้


. ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ้นจากตำแหน่งทันที จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้เพราะไม่มีสภาผู้แทนราษฎร แล้วตามมาตรา ๑๑๘ ที่บัญญัติว่า “สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงเมื่อ ()...ถึงคราวออกตามอายุของสภาผู้แทนราษฎรหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร...” ส่วนสมาชิกวุฒิสภายังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะครบวาระ
1. ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ้นจากตำแหน่งทันที จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้เพราะไม่มี[[สภาผู้แทนราษฎร]]แล้วตามมาตรา 118 ที่บัญญัติว่า “สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงเมื่อ (1)...ถึงคราวออกตาม[[อายุของสภาผู้แทนราษฎร]]หรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร...” ส่วนสมาชิก[[วุฒิสภา]]ยังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะครบวาระ


. ทำให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งเพราะไม่มีสภาผู้แทนราษฎรไว้ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินต่อไปแล้ว[]
2. ทำให้[[คณะรัฐมนตรี]]พ้นจากตำแหน่งเพราะไม่มีสภาผู้แทนราษฎรไว้ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินต่อไปแล้ว<ref>หยุด แสงอุทัย, '''คำอธิบายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511''' (กรุงเทพฯ : น่ำเซียการพิมพ์, 2512, หน้า 238.</ref>


คณะรัฐมนตรีจะอยู่ในตำแหน่ง  ต่อไปไม่ได้ แต่คณะรัฐมนตรียังคงปฏิบัติหน้าที่ในฐานะคณะรัฐมนตรีรักษาการได้ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ เพื่อมิให้การบริหารราชการแผ่นดินต้องหยุดชะงัก[] มาตรา ๒๑๕ ที่บัญญัติว่า “รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งเมื่อ...()...มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร...คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่”
คณะรัฐมนตรีจะอยู่ในตำแหน่งต่อไปไม่ได้ แต่คณะรัฐมนตรียังคงปฏิบัติหน้าที่ในฐานะคณะรัฐมนตรีรักษาการได้ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ เพื่อมิให้[[การบริหารราชการแผ่นดิน]]ต้องหยุดชะงัก<ref>วิษณุ เครืองาม, '''กฎหมายรัฐธรรมนูญ''' (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แสวงการพิมพ์, 2530), หน้า 603.</ref> มาตรา 215 ที่บัญญัติว่า “[[รัฐมนตรี]]ทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งเมื่อ...(2)...มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร...คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่”


. ร่างพระราชบัญญัติที่ค้างการพิจารณาอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร หรือค้างการพิจารณาในวุฒิสภาเป็นอันตกไป  แต่อาจมีการหยิบยกขึ้นมาพิจารณาต่อไปได้ตามยมาตรา ๑๗๘ วรรคสองที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นการเลือกตั้งทั่วไป รัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา แล้วแต่กรณีจะพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม หรือร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่รัฐสภายังมิได้ให้ความเห็นชอบต่อไปได้ ถ้าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปร้องขอภายในหกสิบวันนับแต่วันเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกหลังการเลือกตั้งทั่วไป และรัฐสภามีมติเห็นชอบด้วย แต่ถ้าคณะรัฐมนตรีมิได้ร้องขอภายในกำหนดเวลาดังกล่าวให้ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ร่างพระราชบัญญัติ หรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไป”
3. ร่างพระราชบัญญัติที่ค้างการพิจารณาอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร หรือค้างการพิจารณาใน[[วุฒิสภา]]เป็นอันตกไป แต่อาจมีการหยิบยกขึ้นมาพิจารณาต่อไปได้ตามยมาตรา 178 วรรคสองที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นการเลือกตั้งทั่วไป [[รัฐสภา]] [[สภาผู้แทนราษฎร]] หรือ[[วุฒิสภา]] แล้วแต่กรณีจะพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม หรือร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่รัฐสภายังมิได้ให้ความเห็นชอบต่อไปได้ ถ้าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปร้องขอภายในหกสิบวันนับแต่วันเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกหลังการเลือกตั้งทั่วไป และรัฐสภามีมติเห็นชอบด้วย แต่ถ้าคณะรัฐมนตรีมิได้ร้องขอภายในกำหนดเวลาดังกล่าวให้ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ร่างพระราชบัญญัติ หรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไป”


[[ภาพ:การยุบสภาผู้แทนราษฎร_วันที่_24_กุมภาพันธ์_2549-1.JPG]]
==อ้างอิง==


[[ภาพ:การยุบสภาผู้แทนราษฎร_วันที่_24_กุมภาพันธ์_2549-2.JPG]]
<references/>


[[ภาพ:การยุบสภาผู้แทนราษฎร_วันที่_24_กุมภาพันธ์_2549-3.JPG]]
==บรรณานุกรม==


[[ภาพ:การยุบสภาผู้แทนราษฎร_วันที่_24_กุมภาพันธ์_2549-4.JPG]]
คำแถลงการณ์สำนักนายกรัฐมนตรี. '''ราชกิจจานุเบกษา''' 123 ตอนที่ 20 ก, (24 กุมภาพันธ์ 2549)


[[ภาพ:การยุบสภาผู้แทนราษฎร_วันที่_24_กุมภาพันธ์_2549-5.JPG]]
ตวงรัตน์ เลาหัตถพงษ์ภูริ, '''ปัญหาทางกฎหมายของการยุบสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย,''' วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต,มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2542.


[[ภาพ:การยุบสภาผู้แทนราษฎร_วันที่_24_กุมภาพันธ์_2549-6.JPG]]
พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2549. '''ราชกิจจานุเบกษา''' เล่ม 123 ตอนที่ 20 ก (24 กุมภาพันธ์ 2549)


วิษณุ เครืองาม. '''กฎหมายรัฐธรรมนูญ,''' กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แสวงการพิมพ์, 2530.


==อ้างอิง==
วิกิพีเดีย. '''“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”''' [ออนไลน์] แหล่งที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki. 18 ตุลาคม 2552


==บรรณานุกรม==
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร : กองการประชาสัมพันธ์. '''รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540.''' กรุงเทพมหานคร : กองการพิมพ์, 2540.


คำแถลงการณ์สำนักนายกรัฐมนตรี. '''ราชกิจจานุเบกษา''' ๑๒๓ ตอนที่ ๒๐ ก, (๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙) :
==ภาคผนวก==


ตวงรัตน์  เลาหัตถพงษ์ภูริ, '''ปัญหาทางกฎหมายของการยุบสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย,''' วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต,มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๔๒.
[[ภาพ:การยุบสภาผู้แทนราษฎร_วันที่_24_กุมภาพันธ์_2549-1.JPG]]


พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๔๙. '''ราชกิจจานุเบกษา''' เล่ม ๑๒๓ ตอนที่ ๒๐ ก (๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙)
[[ภาพ:การยุบสภาผู้แทนราษฎร_วันที่_24_กุมภาพันธ์_2549-2.JPG]]


วิษณุ  เครืองาม.  '''กฎหมายรัฐธรรมนูญ,''' กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แสวงการพิมพ์, ๒๕๓๐.
[[ภาพ:การยุบสภาผู้แทนราษฎร_วันที่_24_กุมภาพันธ์_2549-3.JPG]]


วิกิพีเดีย. '''“อภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ”''' [ออนไลน์] แหล่งที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki. 18 ตุลาคม ๒๕๕๒
[[ภาพ:การยุบสภาผู้แทนราษฎร_วันที่_24_กุมภาพันธ์_2549-4.JPG]]


สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร : กองการประชาสัมพันธ์. '''รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐.''' กรุงเทพมหานคร : กองการพิมพ์, ๒๕๔๐
[[ภาพ:การยุบสภาผู้แทนราษฎร_วันที่_24_กุมภาพันธ์_2549-5.JPG]]


[[category:ความรู้เกี่ยวกับรัฐสภาไทย]]
[[ภาพ:การยุบสภาผู้แทนราษฎร_วันที่_24_กุมภาพันธ์_2549-6.JPG]]
----
[[หมวดหมู่ : การยุบสภา]]
[[หมวดหมู่:ชงคชาญ สุวรรณมณี]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 15:17, 5 ตุลาคม 2554

ผู้เรียบเรียง ชงคชาญ สุวรรณมณี


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จเร พันธุ์เปรื่อง


การยุบสภาผู้แทนราษฎร เป็นกลไกของระบอบประชาธิปไตย ในระบบรัฐสภาที่นอกจากเป็นเครื่องมือใช้ถ่วงดุลหรือคานอำนาจ ระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อมิให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอำนาจเหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่งโดยสิ้นเชิงแล้ว การยุบสภาผู้แทนราษฎรยังเป็นวิธีการที่ให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งตัดสินชี้ขาดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ผลการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือชี้ขาดเจตจำนงของประชาชน[1]

การยุบสภาผู้แทนราษฎรมีในประเทศที่ปกครองระบบรัฐสภา โดยมีที่มาจากประเทศอังกฤษสำหรับประเทศไทยนับตั้งแต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นการปกครองระบบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน รัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยที่ได้มีการบัญญัติเรื่องการยุบสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 นับแต่นั้นมาก็ได้มีการนำมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับต่าง ๆ เรื่อยมา

การยุบสภาผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้บัญญัติเรื่องการยุบสภาผู้แทนราษฎรไว้ในมาตรา 116 ว่า

มาตรา 116 พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่

การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายในหกสิบวัน และวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร

การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน

การยุบสภาผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญของประเทศไทย ตั้งแต่ฉบับแรกจนถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 จะบัญญัติไว้กว้าง ๆ เพียงมาตราเดียว ครอบคลุมทั้งหลักเกณฑ์ และวิธีการยุบสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด โดยให้การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และกระทำโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไป ภายในหกสิบวันซึ่งต้องเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายบริหารใช้อำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างกว้างขวาง

จากการที่รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่าพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรจะออกได้ในกรณีใดบ้าง เหมือนกับการออกพระราชกำหนดที่ให้ออกได้ในกรณีเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือ ป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะและเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ กรณีมีความจำเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตรา ซึ่งจะต้องได้รับการพิจารณาโดยด่วนและลับ เพื่อประชาชนของแผ่นดินหรือเพื่อมิให้มีการออกพระราชกำหนดในกรณีอันนอกเหนือจากที่รัฐธรรมนูญกำหนด ทำให้ฝ่ายบริหารยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ทุกกรณีโดยอ้างสาเหตุใด ๆ ก็ได้[2]

สำหรับประเทศไทยได้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนรวม 11 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีการยุบสภานิติบัญญัติแห่งชาติและการปิดสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งรวม 2 ครั้ง ซึ่งการยุบสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมามักเกิดจากสาเหตุใหญ่ ๆ 3 ประเภท คือ[3]

1. ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ

2. ความขัดแย้งภายในพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล

3. ปัญหาทางการเมืองหรือวิกฤตการณ์ทางการเมืองเพื่อหาทางออกหรือแก้ปัญหาทางการเมือง

ส่วนการกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ ภายในหกสิบวันนั้น เป็นดุลพินิจของฝ่ายบริหารที่จะกำหนดวันเลือกตั้งเมื่อใดก็ได้ แต่ต้องไม่เกินหกสิบวัน นับแต่วันที่มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เช่น สมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี พ.ศ. 2526 ได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2526 และกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2526[4] ซึ่งมีระยะเวลาในการจัดการเลือกตั้งเพียงสามสิบวัน ถือว่าไม่เกินหกสิบวันก็สามารถทำได้

การยุบสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549

ในสมัยพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการยุบสภาผู้แทนราษฎรครั้งล่าสุดตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540

มีสาเหตุมาจากกลุ่มบุคคลบางกลุ่มไม่พอใจการบริหารราชการแผ่นดินของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวหาว่า มีการใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของครอบครัวตนเอง แทรกแซงการทำงานขององค์กรอิสระ การขายหุ้นของครอบครัวให้กับบริษัทต่างชาติและมีผลประโยชน์ทับซ้อน จึงได้มีการชุมนุมเรียกร้องบีบบังคับให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งเพื่อยุติบทบาททางการเมือง โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น ขณะเดียวกันมีกลุ่มคนอีกจำนวนหนึ่งรวมตัวกันชุมนุมเพื่อสนับสนุนรัฐบาลจนเหตุการณ์ทำท่าจะบานปลาย เนื่องจากฝ่ายต่อต้านและฝ่ายสนับสนุนมีแนวโน้มที่จะออกมาปะทะกัน เหตุการณ์เริ่มส่อเค้าจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าจะสงบแม้รัฐบาลจะได้ดำเนินการขอให้เปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาโดยไม่มีการลงมติในวันแรกที่มีการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญทั่วไป ในวันที่ 8 - 9 มีนาคม พ.ศ. 2549 แต่ก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้

ต่อมารัฐบาลได้แถลงการณ์ถึงเหตุผลของการยุบสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้ว่า

1. การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นกระบวนการปกติของการปกครองในระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา กล่าวคือ เมื่อใดที่มีความขัดแย้งหรือเกิดปัญหาการเมืองอันอาจนำมาซึ่งวิกฤตการณ์ต่าง ๆ จนการบริหารราชการแผ่นดินไม่อาจดำเนินไปได้ หากปล่อยไว้ความขัดแย้งและปัญหาอาจบานปลายถึงขั้นกระทบต่อเสถียรภาพของระบอบประชาธิปไตย วิธีการสุดท้ายที่มักนำมาใช้อยู่เสมอคือการยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นการคืนอำนาจตัดสินทางการเมืองกลับไปให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงเป็นผู้ตัดสิน

2. การยุบสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้เกิดจากรัฐบาลพิจารณาเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปัจจุบัน ได้ใช้บังคับมา 9 ปีแล้ว ทำให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาพัฒนามีความเข้มแข็งตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ แต่ขณะนี้ได้มีความสับสนทางการเมืองเกิดขึ้น เนื่องจากมีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มไม่พอใจในตัวผู้นำรัฐบาล และได้มีการชุมนุมสาธารณะตั้งข้อเรียกร้องในทางการเมืองเชิงบีบบังคับ ซึ่งแม้ในระยะแรกจะอยู่ในกรอบของกฎหมายแต่เมื่อนานวันเข้า การชุมนุมเรียกร้องได้ขยายตัวไปในทางที่กว้างขวางและอาจรุนแรงขึ้น ร่วมทั้งส่อเค้าว่าจะมีการเผชิญหน้าจนอาจปะทะกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและอาจมีการสอดแทรกฉวยโอกาสจากผู้ที่ประสงค์จะเห็นความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมืองจุดชนวนให้เกิดความรู้สึกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน จนลุกลามถึงขั้นก่อการจลาจลวุ่นวายสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ แม้ทางรัฐบาลจะใช้อำนาจเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองเข้าควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดหรือพยายามดำเนินการตามวิถีทางรัฐธรรมนูญด้วยการขอเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาแล้ว ก็ไม่สามารถยุตปัญหาดังกล่าวได้

3. รัฐบาลได้หารือกับประธานกรรมการการเลือกตั้งโดยมีความเห็นร่วมกันว่า แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยจะกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปภายใน 60 วันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร แต่ตามกฎหมายและในความเป็นจริง คณะกรรมการการเลือกตั้งพร้อมที่จะดำเนินการเลือกตั้ง ตั้งแต่วันครบ 30 วันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น จึงได้กำหนดในวันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 เป็นวันเลือกตั้งทั่วไป ทั้งนี้ เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยเร็ว

4. เมื่อยุบสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ทำให้คณะรัฐมนตรีต้องสิ้นสุดลง แต่สามารถอยู่ปฏิบัติหน้าที่ได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 215 ทั้งนี้ เพื่อดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศและบริหารราชการแผ่นดินพร้อมทั้งดูแลการเลือกตั้งให้มีความสุจริตและเที่ยงธรรม

5. ขอให้ประชาชนทั้งหลายให้ความสำคัญกับการเลือกตั้ง ด้วยการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

เหตุการณ์ทางการเมืองภายหลังการประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549

การตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎรของนายกรัฐมนตรีเพื่อเป็นทางออกในการแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์ของประเทศในขณะนั้น ถูกพรรคฝ่ายค้านมองว่านายกรัฐมนตรีตัดสินใจผิดพลาดที่ยุบสภาผู้แทนราษฎร เพราะสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้มีความผิดอะไรและฝ่ายนิติบัญญัติมิได้มีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับฝ่ายบริหารจนเป็นเหตุให้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร แต่มีเจตนาหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากฝ่ายนิติบัญญัติทำให้นายกรัฐมนตรีขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศอีกต่อไป รวมทั้งการกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 นั้นก็ไม่ชอบธรรมไม่เสมอภาคต่อพรรคการเมืองอื่น ทั้ง ๆ ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าในกรณีที่มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมการการเลือกตั้งจะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม เพราะจะทำให้ทุกฝ่ายมีเวลาเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งครั้งต่อไป แต่คณะกรรมการการเลือกตั้งกับเสนอให้รัฐบาลออกพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งใหม่ ภายใน 37 วัน ซึ่งเป็นเวลาที่กระชั้นชิดเกินไปไม่เป็นธรรมต่อพรรคฝ่ายค้าน ทำให้พรรคฝ่ายค้านทั้ง 3 พรรคการเมือง คือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชน ไม่ส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้ง ในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 เป็นผลให้พรรคไทยรักไทยต้องส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียงพรรคเดียวในหลายเขตเลือกตั้ง ในที่สุดนำมาซึ่งการร้องขอให้การเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาในวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 เป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ กำหนดให้มีวันเลือกตั้งทั่วไปใหม่ในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2549 แต่ยังไม่ทันได้จัดการเลือกตั้ง ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 คณะทหารได้ทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เสียก่อน[5]

ต่อมาวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ตุลาการรัฐธรรมนูญ ได้มีคำสั่งให้ยุบพรรคไทยรักไทย และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคจำนวน 111 คน มีกำหนดห้าปี ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกพรรคไทยรักไทยกล่าวหาว่าให้สินบนกับพรรคเล็กเพื่อให้คว่ำบาตรการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 ตุลาการรัฐธรรมนูญได้ตัดสินให้พ้นความผิด


ผลทางกฎหมายที่เกิดจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร[6]

ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรก่อให้เกิดผลทางกฎหมายดังต่อไปนี้

1. ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ้นจากตำแหน่งทันที จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้เพราะไม่มีสภาผู้แทนราษฎรแล้วตามมาตรา 118 ที่บัญญัติว่า “สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงเมื่อ (1)...ถึงคราวออกตามอายุของสภาผู้แทนราษฎรหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร...” ส่วนสมาชิกวุฒิสภายังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะครบวาระ

2. ทำให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งเพราะไม่มีสภาผู้แทนราษฎรไว้ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินต่อไปแล้ว[7]

คณะรัฐมนตรีจะอยู่ในตำแหน่งต่อไปไม่ได้ แต่คณะรัฐมนตรียังคงปฏิบัติหน้าที่ในฐานะคณะรัฐมนตรีรักษาการได้ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ เพื่อมิให้การบริหารราชการแผ่นดินต้องหยุดชะงัก[8] มาตรา 215 ที่บัญญัติว่า “รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งเมื่อ...(2)...มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร...คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่”

3. ร่างพระราชบัญญัติที่ค้างการพิจารณาอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร หรือค้างการพิจารณาในวุฒิสภาเป็นอันตกไป แต่อาจมีการหยิบยกขึ้นมาพิจารณาต่อไปได้ตามยมาตรา 178 วรรคสองที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นการเลือกตั้งทั่วไป รัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา แล้วแต่กรณีจะพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม หรือร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่รัฐสภายังมิได้ให้ความเห็นชอบต่อไปได้ ถ้าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปร้องขอภายในหกสิบวันนับแต่วันเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกหลังการเลือกตั้งทั่วไป และรัฐสภามีมติเห็นชอบด้วย แต่ถ้าคณะรัฐมนตรีมิได้ร้องขอภายในกำหนดเวลาดังกล่าวให้ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ร่างพระราชบัญญัติ หรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไป”

อ้างอิง

  1. ตวงรัตน์ เลาหัตถพงษ์ภูริ, “ปัญหาทางกฎหมายของการยุบสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย”, (วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2542) : หน้า 38
  2. เรื่องเดียวกัน, หน้า 98-99.
  3. เรื่องเดียวกัน, หน้า 71.
  4. เรื่องเดียวกัน, หน้า 85.
  5. วิกิพีเดีย. “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” [ออนไลน์] แหล่งที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki. ( 18 ตุลาคม 2552) หน้า 3.
  6. ตวงรัตน์, เรื่องเดิม, หน้า 63-67.
  7. หยุด แสงอุทัย, คำอธิบายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 (กรุงเทพฯ : น่ำเซียการพิมพ์, 2512, หน้า 238.
  8. วิษณุ เครืองาม, กฎหมายรัฐธรรมนูญ (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แสวงการพิมพ์, 2530), หน้า 603.

บรรณานุกรม

คำแถลงการณ์สำนักนายกรัฐมนตรี. ราชกิจจานุเบกษา 123 ตอนที่ 20 ก, (24 กุมภาพันธ์ 2549)

ตวงรัตน์ เลาหัตถพงษ์ภูริ, ปัญหาทางกฎหมายของการยุบสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย, วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต,มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2542.

พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2549. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 123 ตอนที่ 20 ก (24 กุมภาพันธ์ 2549)

วิษณุ เครืองาม. กฎหมายรัฐธรรมนูญ, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แสวงการพิมพ์, 2530.

วิกิพีเดีย. “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” [ออนไลน์] แหล่งที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki. 18 ตุลาคม 2552

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร : กองการประชาสัมพันธ์. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540. กรุงเทพมหานคร : กองการพิมพ์, 2540.

ภาคผนวก