ผลต่างระหว่างรุ่นของ "หัวเมืองชั้นนอก"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Suksan (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Suksan (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
บรรทัดที่ 10: บรรทัดที่ 10:
==การแบ่งการปกครองหัวเมือง==
==การแบ่งการปกครองหัวเมือง==
   
   
การจัดการปกครองในสมัยสุโขทัย อยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีการแบ่งหัวเมืองออกเป็นชั้นๆ ตามลำดับความสำคัญของเมือง โดยการแบ่งหัวเมืองเช่นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการจัดระบอบการปกครอง จัดความสัมพันธ์ระหว่างหัวเมืองกับเมืองหลวง เพราะรัฐไม่มีกำลังทหารเพียงพอที่จะไปปกครองโดยตรง  จึงต้องใช้ระบบปกครองคล้าย Feudal ในยุโรป   
การจัดการปกครองในสมัยสุโขทัย อยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีการแบ่งหัวเมืองออกเป็นชั้นๆ ตามลำดับความสำคัญของเมือง โดยการแบ่งหัวเมืองเช่นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการจัดระบอบการปกครอง จัดความสัมพันธ์ระหว่างหัวเมืองกับเมืองหลวง เพราะรัฐไม่มีกำลังทหารเพียงพอที่จะไปปกครองโดยตรง  จึงต้องใช้ระบบปกครองคล้าย Feudal ในยุโรป<ref>สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี, บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549), หน้า 32. </ref>  
   
   
ในสมัยสุโขทัยและอยุธยาตอนต้นจะมีการแบ่งการปกครองหัวเมืองออกเป็น 3 ชั้นคือ [[หัวเมืองชั้นใน]] หัวเมืองชั้นนอกและ[[หัวเมืองประเทศราช]]
ในสมัยสุโขทัยและอยุธยาตอนต้นจะมีการแบ่งการปกครองหัวเมืองออกเป็น 3 ชั้นคือ [[หัวเมืองชั้นใน]] หัวเมืองชั้นนอกและ[[หัวเมืองประเทศราช]]
บรรทัดที่ 18: บรรทัดที่ 18:
2.การปกครองหัวเมืองชั้นนอก คือเมืองใหญ่ที่อยู่ไกลจากราชธานี บางเมืองเจ้าเมืองเจ้าหรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ซึ่งเป็นเชื้อสายของเจ้าเมืองเดิม บางเมืองเจ้าเมืองตั้งไปจากราชธานีเป็นผู้ปกครองต่างพระเนตรพระกรรณ
2.การปกครองหัวเมืองชั้นนอก คือเมืองใหญ่ที่อยู่ไกลจากราชธานี บางเมืองเจ้าเมืองเจ้าหรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ซึ่งเป็นเชื้อสายของเจ้าเมืองเดิม บางเมืองเจ้าเมืองตั้งไปจากราชธานีเป็นผู้ปกครองต่างพระเนตรพระกรรณ
 
 
3.เมืองประเทศราช คือเมืองที่อยู่นอกราชอาณาจักร ผู้ปกครองเมืองมีอำนาจสิทธิ์ขาดเป็นเจ้าแผ่นดินในเมืองของตนเอง ปกครองตนเองโดยอิสระ แต่ต้องถวายต้นไม้เงินต้นไม้ทองและเครื่องราชบรรณาการตามระยะเวลาและในเวลาเกิดสงครามจะต้องเกณฑ์ไพร่พลและเสบียงอาหารเพื่อช่วยเหลือราชธานี   
3.เมืองประเทศราช คือเมืองที่อยู่นอกราชอาณาจักร ผู้ปกครองเมืองมีอำนาจสิทธิ์ขาดเป็นเจ้าแผ่นดินในเมืองของตนเอง ปกครองตนเองโดยอิสระ แต่ต้องถวายต้นไม้เงินต้นไม้ทองและเครื่องราชบรรณาการตามระยะเวลาและในเวลาเกิดสงครามจะต้องเกณฑ์ไพร่พลและเสบียงอาหารเพื่อช่วยเหลือราชธานี<ref>ธานี สุขเกษม, การเมืองการปกครองไทย, (เพชรบูรณ์ : คณะมนุษยศาสตร์แลสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์, 2556),หน้า 88. </ref>  


==หัวเมืองชั้นนอกที่สำคัญในอดีต==
==หัวเมืองชั้นนอกที่สำคัญในอดีต==


ในสมัยสุโขทัย หัวเมืองชั้นนอกด้านทิศใต้มีเมืองแพรก(สวรรค์บุรี) เมืองสุพรรณบุรี(อู่ทอง) เมืองราชบุรี เมืองเพชรบูรณ์ เมืองตะนาวศรี ด้านทิศเหนือมีเมืองแพร่ ด้านทิศตะวันออกมีเมืองหล่ม เมืองเพชรบูรณ์และเมืองศรีเทพ เป็นต้น  
ในสมัยสุโขทัย หัวเมืองชั้นนอกด้านทิศใต้มีเมืองแพรก(สวรรค์บุรี) เมืองสุพรรณบุรี(อู่ทอง) เมืองราชบุรี เมืองเพชรบูรณ์ เมืองตะนาวศรี ด้านทิศเหนือมีเมืองแพร่ ด้านทิศตะวันออกมีเมืองหล่ม เมืองเพชรบูรณ์และเมืองศรีเทพ เป็นต้น<ref>เพิ่งอ้าง,หน้า 88. </ref>


ในสมัยอยุธยา หัวเมืองชั้นนอก ได้แก่ พิษณุโลก นครศรีธรรมราช นครราชสีมา ตะนาวศรีและทวาย  
ในสมัยอยุธยา หัวเมืองชั้นนอก ได้แก่ พิษณุโลก นครศรีธรรมราช นครราชสีมา ตะนาวศรีและทวาย<ref>สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี,บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์, หน้า 29. </ref>   
   
   
เมืองเหล่านี้ปกครองโดยเจ้าเมืองที่ถูกแต่งตั้งออกไปจากราชธานีแต่มักจะเป็นเชื้อสายของเจ้าเมืองเดิม จึงมักเรียกหัวเมืองเหล่านี้ว่า “[[เมืองพระยามหานคร]]” มีอำนาจสิทธิ์ขาดใน[[การบริหารราชการแผ่นดิน]] และในเวลาเกิดสงครามจะต้องเกณฑ์ไพ่พลไปช่วยราชธานีในการทำการรบ
เมืองเหล่านี้ปกครองโดยเจ้าเมืองที่ถูกแต่งตั้งออกไปจากราชธานีแต่มักจะเป็นเชื้อสายของเจ้าเมืองเดิม จึงมักเรียกหัวเมืองเหล่านี้ว่า “[[เมืองพระยามหานคร]]” มีอำนาจสิทธิ์ขาดใน[[การบริหารราชการแผ่นดิน]] และในเวลาเกิดสงครามจะต้องเกณฑ์ไพ่พลไปช่วยราชธานีในการทำการรบ
บรรทัดที่ 30: บรรทัดที่ 30:
==การยกเลิกหัวเมืองชั้นนอก==
==การยกเลิกหัวเมืองชั้นนอก==
   
   
ต่อมาในสมัย[[สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ]] พระราชอาณาเขตขยายออกไปมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการควบอาณาจักรสุโขทัยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาใน พ.ศ.1981 ภายหลัง[[พระมหาธรรมราชาที่ 4]] แห่งสุโขทัยเสด็จสวรรคต สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงขึ้นไปเรียกร้องสิทธิในราชบัลลังก์โดยอ้างถึงการสืบพระราชวงศ์ทางสายมารดา  การปกครองอาณาจักรที่ใหญ่ยิ่งขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างอำนาจให้ปึกแผ่นมั่นคง จึงต้องมีการปฏิรูปการปกครอง เพื่อยึดโยงความสัมพันธ์ระหว่างราชธานีกับหัวเมืองต่างๆ การควบคุมกำลังคนและการสร้างอำนาจในทางเศรษฐกิจ  และการปฏิรูปการปกครองทำให้ยกเลิกการปกครองที่แบ่งเป็นหัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอกและหัวเมืองประเทศราชโดยเปลี่ยนเป็นการปกครองที่แบ่งหัวเมืองออกเป็นลำดับชั้นตามสำคัญ คือ[[หัวเมืองชั้นเอก]] [[หัวเมืองชั้นโท]] และ[[หัวเมืองชั้นตรี]]
ต่อมาในสมัย[[สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ]] พระราชอาณาเขตขยายออกไปมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการควบอาณาจักรสุโขทัยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาใน พ.ศ.1981 ภายหลัง[[พระมหาธรรมราชาที่ 4]] แห่งสุโขทัยเสด็จสวรรคต สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงขึ้นไปเรียกร้องสิทธิในราชบัลลังก์โดยอ้างถึงการสืบพระราชวงศ์ทางสายมารดา<ref>ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อยุธยา ประวัติศาสตร์และการเมือง, พิมพ์ครั้งที่ 4 ปรับปรุง, (กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์,2548) ,หน้า 176. </ref>   การปกครองอาณาจักรที่ใหญ่ยิ่งขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างอำนาจให้ปึกแผ่นมั่นคง จึงต้องมีการปฏิรูปการปกครอง เพื่อยึดโยงความสัมพันธ์ระหว่างราชธานีกับหัวเมืองต่างๆ การควบคุมกำลังคนและการสร้างอำนาจในทางเศรษฐกิจ<ref>ลิขิต ธีรเวคิน, วิวัฒนาการเมืองการปกครองไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 9 แก้ไขเพิ่มเติม,กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2548), หน้า 29. </ref> และการปฏิรูปการปกครองทำให้ยกเลิกการปกครองที่แบ่งเป็นหัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอกและหัวเมืองประเทศราชโดยเปลี่ยนเป็นการปกครองที่แบ่งหัวเมืองออกเป็นลำดับชั้นตามสำคัญ คือ[[หัวเมืองชั้นเอก]] [[หัวเมืองชั้นโท]] และ[[หัวเมืองชั้นตรี]]
 
==อ้างอิง==
 
<references/>


==บรรณานุกรม==
==บรรณานุกรม==

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 14:14, 7 ธันวาคม 2557

เรียบเรียงโดย : อาจารย์บุญยเกียรติ การะเวกพันธุ์ และคณะ

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.ปธาน สุวรรณมงคล


ความหมาย

หัวเมืองชั้นนอก หมายถึง เมืองใหญ่ที่อยู่ไกลจากราชธานี พระมหากษัตริย์จะแต่งตั้งเจ้าเมืองจากข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ต่างพระเนตรพระกรรณ หรือบางเมืองจะแต่งตั้งเจ้าเมืองจากผู้สืบเชื้อสายของเจ้าเมืองเดิม หัวเมืองเหล่านี้อยู่ในพระราชอาณาเขต รูปแบบการปกครองเป็นแบบเดียวกับราชธานี มีความสำคัญทั้งในฐานะในการควบคุมไพร่พล กำลังทางเศรษฐกิจและในการสงคราม

การแบ่งการปกครองหัวเมือง

การจัดการปกครองในสมัยสุโขทัย อยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีการแบ่งหัวเมืองออกเป็นชั้นๆ ตามลำดับความสำคัญของเมือง โดยการแบ่งหัวเมืองเช่นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการจัดระบอบการปกครอง จัดความสัมพันธ์ระหว่างหัวเมืองกับเมืองหลวง เพราะรัฐไม่มีกำลังทหารเพียงพอที่จะไปปกครองโดยตรง จึงต้องใช้ระบบปกครองคล้าย Feudal ในยุโรป[1]

ในสมัยสุโขทัยและอยุธยาตอนต้นจะมีการแบ่งการปกครองหัวเมืองออกเป็น 3 ชั้นคือ หัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอกและหัวเมืองประเทศราช

1.การปกครองหัวเมืองชั้นใน โดยมีเมืองชั้นในรายรอบเป็นปริมณฑล เรียกว่าเมืองลูกหลวง ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านล้อมราชธานีไว้ทั้ง 4 ด้าน โดยระยะทางจากเมืองลูกหลวงกับราชธานี จะใช้เวลาเดินทางภายในระยะเวลา 2 วัน

2.การปกครองหัวเมืองชั้นนอก คือเมืองใหญ่ที่อยู่ไกลจากราชธานี บางเมืองเจ้าเมืองเจ้าหรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ซึ่งเป็นเชื้อสายของเจ้าเมืองเดิม บางเมืองเจ้าเมืองตั้งไปจากราชธานีเป็นผู้ปกครองต่างพระเนตรพระกรรณ

3.เมืองประเทศราช คือเมืองที่อยู่นอกราชอาณาจักร ผู้ปกครองเมืองมีอำนาจสิทธิ์ขาดเป็นเจ้าแผ่นดินในเมืองของตนเอง ปกครองตนเองโดยอิสระ แต่ต้องถวายต้นไม้เงินต้นไม้ทองและเครื่องราชบรรณาการตามระยะเวลาและในเวลาเกิดสงครามจะต้องเกณฑ์ไพร่พลและเสบียงอาหารเพื่อช่วยเหลือราชธานี[2]

หัวเมืองชั้นนอกที่สำคัญในอดีต

ในสมัยสุโขทัย หัวเมืองชั้นนอกด้านทิศใต้มีเมืองแพรก(สวรรค์บุรี) เมืองสุพรรณบุรี(อู่ทอง) เมืองราชบุรี เมืองเพชรบูรณ์ เมืองตะนาวศรี ด้านทิศเหนือมีเมืองแพร่ ด้านทิศตะวันออกมีเมืองหล่ม เมืองเพชรบูรณ์และเมืองศรีเทพ เป็นต้น[3]

ในสมัยอยุธยา หัวเมืองชั้นนอก ได้แก่ พิษณุโลก นครศรีธรรมราช นครราชสีมา ตะนาวศรีและทวาย[4]

เมืองเหล่านี้ปกครองโดยเจ้าเมืองที่ถูกแต่งตั้งออกไปจากราชธานีแต่มักจะเป็นเชื้อสายของเจ้าเมืองเดิม จึงมักเรียกหัวเมืองเหล่านี้ว่า “เมืองพระยามหานคร” มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการบริหารราชการแผ่นดิน และในเวลาเกิดสงครามจะต้องเกณฑ์ไพ่พลไปช่วยราชธานีในการทำการรบ

การยกเลิกหัวเมืองชั้นนอก

ต่อมาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระราชอาณาเขตขยายออกไปมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการควบอาณาจักรสุโขทัยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาใน พ.ศ.1981 ภายหลังพระมหาธรรมราชาที่ 4 แห่งสุโขทัยเสด็จสวรรคต สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงขึ้นไปเรียกร้องสิทธิในราชบัลลังก์โดยอ้างถึงการสืบพระราชวงศ์ทางสายมารดา[5] การปกครองอาณาจักรที่ใหญ่ยิ่งขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างอำนาจให้ปึกแผ่นมั่นคง จึงต้องมีการปฏิรูปการปกครอง เพื่อยึดโยงความสัมพันธ์ระหว่างราชธานีกับหัวเมืองต่างๆ การควบคุมกำลังคนและการสร้างอำนาจในทางเศรษฐกิจ[6] และการปฏิรูปการปกครองทำให้ยกเลิกการปกครองที่แบ่งเป็นหัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอกและหัวเมืองประเทศราชโดยเปลี่ยนเป็นการปกครองที่แบ่งหัวเมืองออกเป็นลำดับชั้นตามสำคัญ คือหัวเมืองชั้นเอก หัวเมืองชั้นโท และหัวเมืองชั้นตรี

อ้างอิง

  1. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี, บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549), หน้า 32.
  2. ธานี สุขเกษม, การเมืองการปกครองไทย, (เพชรบูรณ์ : คณะมนุษยศาสตร์แลสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์, 2556),หน้า 88.
  3. เพิ่งอ้าง,หน้า 88.
  4. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี,บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์, หน้า 29.
  5. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อยุธยา ประวัติศาสตร์และการเมือง, พิมพ์ครั้งที่ 4 ปรับปรุง, (กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์,2548) ,หน้า 176.
  6. ลิขิต ธีรเวคิน, วิวัฒนาการเมืองการปกครองไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 9 แก้ไขเพิ่มเติม,กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2548), หน้า 29.

บรรณานุกรม

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อยุธยา ประวัติศาสตร์และการเมือง, พิมพ์ครั้งที่ 4 ปรับปรุง, กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์,2548.

ธานี สุขเกษม, การเมืองการปกครองไทย, เพชรบูรณ์ : คณะมนุษยศาสตร์แลสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์, 2556.

ลิขิต ธีรเวคิน, วิวัฒนาการเมืองการปกครองไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 9 แก้ไขเพิ่มเติม, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2548.

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี, บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549.

เอกสารอ่านเพิ่มเติม

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี, บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549.