ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ระบบหลายพรรคการเมือง"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
(ไม่แสดง 5 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้ 2 คน) | |||
บรรทัดที่ 1: | บรรทัดที่ 1: | ||
'''ผู้เรียบเรียง''' ชัยวัฒน์ ม่านศรีสุข และ รศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ | |||
---- | ---- | ||
''' | |||
'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ''' รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต | |||
---- | ---- | ||
ระบบ[[พรรคการเมือง]]ที่มีพรรคการเมืองตั้งแต่สามพรรคหรือมากกว่านั้นในระบบการเมือง โดยที่พรรคเหล่านี้มีศักยภาพที่จะจัดตั้งรัฐบาลผ่านการแข่งขันอย่างเสรีใน[[การเลือกตั้ง]] [[รัฐบาล]]ที่เกิดขึ้นจากระบบหลากหลายพรรคการเมืองอาจเป็น[[ระบบพรรคการเมืองพรรคเดียว|รัฐบาลพรรคการเมืองเดียว]] หรือ[[รัฐบาลผสม]]หลายพรรคการเมืองก็ได้ | |||
==ประเภทของระบบหลายพรรคการเมือง== | ==ประเภทของระบบหลายพรรคการเมือง== | ||
ภายใต้ระบบหลากหลายพรรคการเมือง [[Giovanni Sartori]] นักรัฐศาสตร์ชาวอิตาลีได้จำแนกระบบหลากหลายพรรคออกเป็น 2 ประเภทย่อย<ref>Giovanni Sartori, Parties and Party System: A Framework of Analysis, New York: Cambridge University Press, 1976</ref> '''ประเภทแรก'''ได้แก่ '''ระบบหลากหลายพรรคแบบกลางๆ''' (''moderate multi-party system'') ซึ่งประกอบไปด้วยพรรคการเมืองประมาณ 5-6 พรรค พรรคการเมืองทั้งหมดนี้มีความสามารถที่จะจัดตั้งรัฐบาลหรือเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลผสม | |||
ภายใต้ระบบหลากหลายพรรคการเมือง [[Giovanni Sartori]] นักรัฐศาสตร์ชาวอิตาลีได้จำแนกระบบหลากหลายพรรคออกเป็น 2 ประเภทย่อย<ref>Giovanni Sartori, Parties and Party System: A Framework of Analysis, New York: Cambridge University Press, 1976</ref> '''ประเภทแรก'''ได้แก่ '''ระบบหลากหลายพรรคแบบกลางๆ''' (''moderate multi-party system'') ซึ่งประกอบไปด้วยพรรคการเมืองประมาณ 5-6 พรรค พรรคการเมืองทั้งหมดนี้มีความสามารถที่จะจัดตั้งรัฐบาลหรือเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลผสม โดยที่แต่ละพรรคการเมืองจะมี[[อุดมการณ์ทางการเมือง]]ไม่แตกต่างกันมากนัก ตัวอย่างเช่น ประเทศเยอรมนี ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม และสวีเดน '''ประเภทที่สอง'''ได้แก่ '''ระบบหลากหลายพรรคแบบแตกย่อย''' (''polarlized multi-party system'') ซึ่งประกอบไปด้วยพรรคการเมืองมากกว่า 5-6 พรรคขึ้นไป ในกรณีนี้รวมพรรคการเมืองชนิดที่ไม่ต้องการเป็นรัฐบาลหรือมี[[ลักษณะต่อต้านระบบ]] (''[[ลักษณะต่อต้านระบบ|anti-system party]]'') เข้าไปด้วย พรรคการเมืองในระบบพรรคการเมืองเช่นนี้จะมีพื้นฐานความแตกต่างในเชิงอุดมการณ์สูงมาก ตัวอย่างเช่น ประเทศฝรั่งเศสในสมัย[[สาณารณรัฐฝรั่งเศส|สาธารณรัฐที่ 4]] อิตาลี และประเทศไทยในช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 จนถึงช่วง 6 ตุลาคม 2519 ที่มีพรรคการเมืองกว่า 50 พรรคการเมือง | |||
เมื่อเทียบกับระบบสองพรรคใหญ่ทางการเมืองแล้ว ระบบหลากหลายพรรค (แบบกลางๆ) มีข้อดีที่น่าสนใจคือ ภายใต้ระบบสองพรรคใหญ่ ผู้ลงคะแนนได้จำแนกตนออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ โดยที่ทั้งสองกลุ่มมีความแตกต่างกันในเชิงพื้นฐานอุดมการณ์อย่างมากจนในบางครั้งส่งผลให้ไม่สามารถตกลงกันได้ในหลักการสำคัญๆ ขณะที่ภายใต้ระบบหลากหลายพรรค พรรคการเมืองจะมีลักษณะธรรมชาติที่มีความเป็นกลางๆ ไม่สุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่ง และถ้าไม่มีพรรคการเมืองใดได้เสียงข้างมากเด็ดขาด สภาวะดังกล่าวจะบังคับให้พรรคการเมืองต้องหันหน้าเข้ามาทำงานร่วมกันเพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสม ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นปัจจัยสนับสนุนรูปแบบของความเป็นกลาง (''centrism'') กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ ภายใต้ระบบหลากหลายพรรคการเมืองมักจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงหรืออย่างถอนรากถอนโคนในเชิงนโยบาย | |||
==อ้างอิง== | ==อ้างอิง== | ||
<references/> | <references/> | ||
==ดูเพิ่มเติม== | ==ดูเพิ่มเติม== | ||
*[[ระบบการเมืองแบบสองพรรค]] | *[[ระบบการเมืองแบบสองพรรค]] | ||
*[[ระบบพรรคเดี่ยวครอบงำทางการเมือง]] | *[[ระบบพรรคเดี่ยวครอบงำการเมือง|ระบบพรรคเดี่ยวครอบงำทางการเมือง]] | ||
[[category: | [[category:แนวคิดและการก่อตั้งพรรคการเมือง]] |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 10:46, 29 มิถุนายน 2554
ผู้เรียบเรียง ชัยวัฒน์ ม่านศรีสุข และ รศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
ระบบพรรคการเมืองที่มีพรรคการเมืองตั้งแต่สามพรรคหรือมากกว่านั้นในระบบการเมือง โดยที่พรรคเหล่านี้มีศักยภาพที่จะจัดตั้งรัฐบาลผ่านการแข่งขันอย่างเสรีในการเลือกตั้ง รัฐบาลที่เกิดขึ้นจากระบบหลากหลายพรรคการเมืองอาจเป็นรัฐบาลพรรคการเมืองเดียว หรือรัฐบาลผสมหลายพรรคการเมืองก็ได้
ประเภทของระบบหลายพรรคการเมือง
ภายใต้ระบบหลากหลายพรรคการเมือง Giovanni Sartori นักรัฐศาสตร์ชาวอิตาลีได้จำแนกระบบหลากหลายพรรคออกเป็น 2 ประเภทย่อย[1] ประเภทแรกได้แก่ ระบบหลากหลายพรรคแบบกลางๆ (moderate multi-party system) ซึ่งประกอบไปด้วยพรรคการเมืองประมาณ 5-6 พรรค พรรคการเมืองทั้งหมดนี้มีความสามารถที่จะจัดตั้งรัฐบาลหรือเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลผสม โดยที่แต่ละพรรคการเมืองจะมีอุดมการณ์ทางการเมืองไม่แตกต่างกันมากนัก ตัวอย่างเช่น ประเทศเยอรมนี ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม และสวีเดน ประเภทที่สองได้แก่ ระบบหลากหลายพรรคแบบแตกย่อย (polarlized multi-party system) ซึ่งประกอบไปด้วยพรรคการเมืองมากกว่า 5-6 พรรคขึ้นไป ในกรณีนี้รวมพรรคการเมืองชนิดที่ไม่ต้องการเป็นรัฐบาลหรือมีลักษณะต่อต้านระบบ (anti-system party) เข้าไปด้วย พรรคการเมืองในระบบพรรคการเมืองเช่นนี้จะมีพื้นฐานความแตกต่างในเชิงอุดมการณ์สูงมาก ตัวอย่างเช่น ประเทศฝรั่งเศสในสมัยสาธารณรัฐที่ 4 อิตาลี และประเทศไทยในช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 จนถึงช่วง 6 ตุลาคม 2519 ที่มีพรรคการเมืองกว่า 50 พรรคการเมือง
เมื่อเทียบกับระบบสองพรรคใหญ่ทางการเมืองแล้ว ระบบหลากหลายพรรค (แบบกลางๆ) มีข้อดีที่น่าสนใจคือ ภายใต้ระบบสองพรรคใหญ่ ผู้ลงคะแนนได้จำแนกตนออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ โดยที่ทั้งสองกลุ่มมีความแตกต่างกันในเชิงพื้นฐานอุดมการณ์อย่างมากจนในบางครั้งส่งผลให้ไม่สามารถตกลงกันได้ในหลักการสำคัญๆ ขณะที่ภายใต้ระบบหลากหลายพรรค พรรคการเมืองจะมีลักษณะธรรมชาติที่มีความเป็นกลางๆ ไม่สุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่ง และถ้าไม่มีพรรคการเมืองใดได้เสียงข้างมากเด็ดขาด สภาวะดังกล่าวจะบังคับให้พรรคการเมืองต้องหันหน้าเข้ามาทำงานร่วมกันเพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสม ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นปัจจัยสนับสนุนรูปแบบของความเป็นกลาง (centrism) กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ ภายใต้ระบบหลากหลายพรรคการเมืองมักจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงหรืออย่างถอนรากถอนโคนในเชิงนโยบาย
อ้างอิง
- ↑ Giovanni Sartori, Parties and Party System: A Framework of Analysis, New York: Cambridge University Press, 1976