ผลต่างระหว่างรุ่นของ "หลักสยาม (พ.ศ. 2537)"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
สร้างหน้าใหม่: '''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ''' รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐ...
 
Teeraphan (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
บรรทัดที่ 6: บรรทัดที่ 6:
'''พรรคหลักสยาม'''
'''พรรคหลักสยาม'''


พรรคหลักสยาม เรียกชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “SIAM PRINCIPLE PARTY” ขึ้นทะเบียนเป็นพรรคการเมืองเลขที่ 41/2537 ได้รับการจดทะเบียนเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2537 <ref>  ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 112 ตอนที่ 3 ง, วันที่ 10 มกราคม 2538, หน้า 15.</ref>  
พรรคหลักสยาม เรียกชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “SIAM PRINCIPLE PARTY” ขึ้นทะเบียนเป็น[[พรรคการเมือง]]เลขที่ 41/2537 ได้รับการจดทะเบียนเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2537 <ref>  ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 112 ตอนที่ 3 ง, วันที่ 10 มกราคม 2538, หน้า 15.</ref>  


ที่ตั้งสำนักงานใหญ่พรรคหลักสยาม ตั้งอยู่ที่ 779/30 ซอยสุวรรณมณี ถนน ประชาอุทิศ-เทพลีลา แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร <ref>ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 112 ตอนที่ 3 ง, วันที่ 10 มกราคม 2538, หน้า 15.</ref>
ที่ตั้งสำนักงานใหญ่พรรคหลักสยาม ตั้งอยู่ที่ 779/30 ซอยสุวรรณมณี ถนน ประชาอุทิศ-เทพลีลา แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร <ref>ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 112 ตอนที่ 3 ง, วันที่ 10 มกราคม 2538, หน้า 15.</ref>
บรรทัดที่ 13: บรรทัดที่ 13:
'''นโยบายพรรคหลักสยาม'''<ref> ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 112 ตอนที่ 3 ง, วันที่ 10 มกราคม 2538, หน้า 16-18</ref>
'''นโยบายพรรคหลักสยาม'''<ref> ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 112 ตอนที่ 3 ง, วันที่ 10 มกราคม 2538, หน้า 16-18</ref>
   
   
พรรคหลักสยาม ยึดหลักประชาธิปไตยในการกำหนดนโยบายของพรรคโดยความคิดเห็นส่วนรวมของสมาชิก และจะทบทวนให้สอดคล้องกับสภาวะการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมอยู่ตลอดเวลา
พรรคหลักสยาม ยึดหลัก[[ประชาธิปไตย]]ในการกำหนดนโยบายของพรรคโดยความคิดเห็นส่วนรวมของสมาชิก และจะทบทวนให้สอดคล้องกับสภาวะการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมอยู่ตลอดเวลา
   
   
ภายใต้ภาวะปัจจุบัน พรรคหลักสยามมีนโยบายในการดำเนินการบริหารประเทศโดยแบ่งออกเป็น 4 ด้านดังต่อไปนี้
ภายใต้ภาวะปัจจุบัน พรรคหลักสยามมีนโยบายในการดำเนินการบริหารประเทศโดยแบ่งออกเป็น 4 ด้านดังต่อไปนี้


1. ด้านการเมืองและการปกครอง
1. ด้านการเมืองและการปกครอง
ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐเดี่ยว โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง การปกครองและการรักษาความมั่นคง ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ โดยจะปรับปรุงกฎหมายและระเบียบการบริหารราชการแผ่นดินให้ทันสมัยและมีแนวทางเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบ[[รัฐเดี่ยว]] โดยมี[[พระมหากษัตริย์]]ทรงเป็นประมุข และส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมใน[[กิจกรรมทางการเมือง]] การปกครองและการรักษาความมั่นคง ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ โดยจะปรับปรุงกฎหมายและ[[ระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน]]ให้ทันสมัยและมีแนวทางเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง


2. ด้านเศรษฐกิจ
2. ด้านเศรษฐกิจ
บรรทัดที่ 24: บรรทัดที่ 24:


3. ด้านสังคมและคุณภาพชีวิต
3. ด้านสังคมและคุณภาพชีวิต
สร้างค่านิยมให้ประชาชนมีคุณธรรมในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม รู้รักสามัคคี มีวินัย มุ่งจัดให้มีสวัสดิการและปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีพให้กับประชาชนโดยเสมอภาคและทั่วถึง ส่งเสริมให้เอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุน และพัฒนาสาธารณูปการด้านสังคมบริการให้ทันสมัยปลอดภัยและเป็นธรรม
สร้างค่านิยมให้ประชาชนมีคุณธรรมในการอยู่ร่วมกันอย่าง[[สันติสุข]] เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม รู้รักสามัคคี มีวินัย มุ่งจัดให้มีสวัสดิการและปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีพให้กับประชาชนโดย[[เสมอภาค]]และ[[ทั่วถึง]] ส่งเสริมให้เอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุน และพัฒนาสาธารณูปการด้านสังคมบริการให้ทันสมัยปลอดภัยและเป็นธรรม


4. ด้านเทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม
4. ด้านเทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม
มุ่งพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของประเทศรวมทั้งการใช้แหล่งพลังงานต่างๆให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ
มุ่งพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของประเทศรวมทั้งการใช้แหล่งพลังงานต่างๆให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ


ส่งเสริมภาครัฐและเอกชนให้ดำเนินการศึกษาค้นคว้าวิจัย ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อกำหนดและพัฒนาเทคโนโลยีที่มีความเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจของไทย เพื่อเพิ่มผลผลิต ตลอดจนเพิ่มการใช้ทรัพยากรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
ส่งเสริมภาครัฐและเอกชนให้ดำเนินการศึกษาค้นคว้าวิจัย ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อกำหนดและพัฒนาเทคโนโลยีที่มีความเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจของไทย เพื่อเพิ่มผลผลิต ตลอดจนเพิ่มการใช้ทรัพยากรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน   พรรคหลักสยามไม่เคยลงสมัครรับเลือกตั้งจนกระทั่ง[[ศาลรัฐธรรมนูญ]]มีคำสั่งที่ 5041/2539 ลงวันที่ 7 สิงหาคม 2539 ให้[[ยุบพรรค]]หลักสยามเนื่องจากไม่ส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2538 ตามนัยมาตรา 46 (3) แห่งพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2524 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนด แก้ไขเพิ่มเติม[[พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2524]] พ.ศ. 2538 มาตรา 3<ref>ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 114 ตอนที่ 54 ง, วันที่ 8 กรกฎาคม 2540, หน้า 15</ref>


พรรคหลักสยามไม่เคยลงสมัครรับเลือกตั้งจนกระทั่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งที่ 5041/2539 ลงวันที่ 7 สิงหาคม 2539 ให้ยุบพรรคหลักสยามเนื่องจากไม่ส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2538 ตามนัยมาตรา 46 (3) แห่งพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2524 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนด แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2524 พ.ศ. 2538 มาตรา 3<ref>ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 114 ตอนที่ 54 ง, วันที่ 8 กรกฎาคม 2540, หน้า 15</ref>
มีรายชื่อ[[คณะกรรมการบริหารพรรค]]หลักสยามตอนตั้งพรรคมีทั้งสิ้น 14 คน โดยมีตำแหน่งสำคัญดังนี้ <ref>ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 112 ตอนที่ 3 ง, วันที่ 10 มกราคม 2538, หน้า 15.</ref>
 
มีรายชื่อคณะกรรมการบริหารพรรคหลักสยามตอนตั้งพรรคมีทั้งสิ้น 14 คน โดยมีตำแหน่งสำคัญดังนี้ <ref>ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 112 ตอนที่ 3 ง, วันที่ 10 มกราคม 2538, หน้า 15.</ref>
 
1. นายพีระพงศ์ ถนอมพงษ์พันธ์ หัวหน้าพรรค


1. นายพีระพงศ์ ถนอมพงษ์พันธ์ [[หัวหน้าพรรค]]
[[
2. นายสุทธิ เศรษฐโสภณสุข รองหัวหน้าพรรค
2. นายสุทธิ เศรษฐโสภณสุข รองหัวหน้าพรรค
3. นายวิสุทธิ์ กนกศีชริน เลขาธิการพรรค
3. นายวิสุทธิ์ กนกศีชริน [[เลขาธิการพรรค]]
4. นายกุลชีพ วรพงษ์ รองเลขาธิการพรรค
4. นายกุลชีพ วรพงษ์ รองเลขาธิการพรรค


และกรรมการบริหารพรรคจำนวน 10 คน โดยนายพีระพงศ์ ถนอมพงษ์พันธ์ เคยเป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร (พลังธรรม)ต่อมาเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2538 นายพีระพงศ์ ถนอมพงษ์พันธ์ ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค โดยให้นายสุทธิ เศรษฐโสภณสุข ปฏิบัติหน้าที่แทน<ref> ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 112 ตอนพิเศษ 19 ง, วันที่ 7 มิถุนายน 2538, หน้า 35.</ref>  โดยนายพีระพงศ์กล่าวว่าเพื่อจะนำพรรคไปรวมกับพรรคพลังธรรมเนื่องจากอุดมการณ์ตรงกัน <ref>สยามจดหมายเหตุ พ.ศ. 2538, หน้า 360.</ref>  
และกรรมการบริหารพรรคจำนวน 10 คน โดยนายพีระพงศ์ ถนอมพงษ์พันธ์ เคยเป็นอดีต[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]][[กรุงเทพมหานคร]] (พลังธรรม)ต่อมาเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2538 นายพีระพงศ์ ถนอมพงษ์พันธ์ ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค โดยให้นายสุทธิ เศรษฐโสภณสุข ปฏิบัติหน้าที่แทน<ref> ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 112 ตอนพิเศษ 19 ง, วันที่ 7 มิถุนายน 2538, หน้า 35.</ref>  โดยนายพีระพงศ์กล่าวว่าเพื่อจะนำพรรคไปรวมกับพรรคพลังธรรมเนื่องจากอุดมการณ์ตรงกัน <ref>สยามจดหมายเหตุ พ.ศ. 2538, หน้า 360.</ref>  


==อ้างอิง==
==อ้างอิง==
<references/>
<references/>
[[หมวดหมู่:รายชื่อพรรคการเมืองไทย]]
[[หมวดหมู่:รายชื่อพรรคการเมืองไทย]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 14:36, 27 กรกฎาคม 2553

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต



พรรคหลักสยาม

พรรคหลักสยาม เรียกชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “SIAM PRINCIPLE PARTY” ขึ้นทะเบียนเป็นพรรคการเมืองเลขที่ 41/2537 ได้รับการจดทะเบียนเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2537 [1]

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่พรรคหลักสยาม ตั้งอยู่ที่ 779/30 ซอยสุวรรณมณี ถนน ประชาอุทิศ-เทพลีลา แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร [2]


นโยบายพรรคหลักสยาม[3]

พรรคหลักสยาม ยึดหลักประชาธิปไตยในการกำหนดนโยบายของพรรคโดยความคิดเห็นส่วนรวมของสมาชิก และจะทบทวนให้สอดคล้องกับสภาวะการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมอยู่ตลอดเวลา

ภายใต้ภาวะปัจจุบัน พรรคหลักสยามมีนโยบายในการดำเนินการบริหารประเทศโดยแบ่งออกเป็น 4 ด้านดังต่อไปนี้

1. ด้านการเมืองและการปกครอง ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐเดี่ยว โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง การปกครองและการรักษาความมั่นคง ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ โดยจะปรับปรุงกฎหมายและระเบียบการบริหารราชการแผ่นดินให้ทันสมัยและมีแนวทางเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

2. ด้านเศรษฐกิจ สนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบทุนเสรีที่มีคุณธรรม มุ่งพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าและเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะคำนึงถึงความสมดุลกับการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ทรัพยากรบุคคล และรักษาสภาพความสมดุลของสิ่งแวดล้อม มุ่งกระจายความมั่งคั่งไปสู่ชนบท และปรับปรุงการจัดเก็บภาษีให้เป็นธรรม

3. ด้านสังคมและคุณภาพชีวิต สร้างค่านิยมให้ประชาชนมีคุณธรรมในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม รู้รักสามัคคี มีวินัย มุ่งจัดให้มีสวัสดิการและปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีพให้กับประชาชนโดยเสมอภาคและทั่วถึง ส่งเสริมให้เอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุน และพัฒนาสาธารณูปการด้านสังคมบริการให้ทันสมัยปลอดภัยและเป็นธรรม

4. ด้านเทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม มุ่งพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของประเทศรวมทั้งการใช้แหล่งพลังงานต่างๆให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ

ส่งเสริมภาครัฐและเอกชนให้ดำเนินการศึกษาค้นคว้าวิจัย ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อกำหนดและพัฒนาเทคโนโลยีที่มีความเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจของไทย เพื่อเพิ่มผลผลิต ตลอดจนเพิ่มการใช้ทรัพยากรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน พรรคหลักสยามไม่เคยลงสมัครรับเลือกตั้งจนกระทั่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งที่ 5041/2539 ลงวันที่ 7 สิงหาคม 2539 ให้ยุบพรรคหลักสยามเนื่องจากไม่ส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2538 ตามนัยมาตรา 46 (3) แห่งพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2524 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนด แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2524 พ.ศ. 2538 มาตรา 3[4]

มีรายชื่อคณะกรรมการบริหารพรรคหลักสยามตอนตั้งพรรคมีทั้งสิ้น 14 คน โดยมีตำแหน่งสำคัญดังนี้ [5]

1. นายพีระพงศ์ ถนอมพงษ์พันธ์ หัวหน้าพรรค [[ 2. นายสุทธิ เศรษฐโสภณสุข รองหัวหน้าพรรค

3. นายวิสุทธิ์ กนกศีชริน เลขาธิการพรรค

4. นายกุลชีพ วรพงษ์ รองเลขาธิการพรรค

และกรรมการบริหารพรรคจำนวน 10 คน โดยนายพีระพงศ์ ถนอมพงษ์พันธ์ เคยเป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร (พลังธรรม)ต่อมาเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2538 นายพีระพงศ์ ถนอมพงษ์พันธ์ ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค โดยให้นายสุทธิ เศรษฐโสภณสุข ปฏิบัติหน้าที่แทน[6] โดยนายพีระพงศ์กล่าวว่าเพื่อจะนำพรรคไปรวมกับพรรคพลังธรรมเนื่องจากอุดมการณ์ตรงกัน [7]

อ้างอิง

  1. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 112 ตอนที่ 3 ง, วันที่ 10 มกราคม 2538, หน้า 15.
  2. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 112 ตอนที่ 3 ง, วันที่ 10 มกราคม 2538, หน้า 15.
  3. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 112 ตอนที่ 3 ง, วันที่ 10 มกราคม 2538, หน้า 16-18
  4. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 114 ตอนที่ 54 ง, วันที่ 8 กรกฎาคม 2540, หน้า 15
  5. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 112 ตอนที่ 3 ง, วันที่ 10 มกราคม 2538, หน้า 15.
  6. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 112 ตอนพิเศษ 19 ง, วันที่ 7 มิถุนายน 2538, หน้า 35.
  7. สยามจดหมายเหตุ พ.ศ. 2538, หน้า 360.