ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การเลือกตั้ง"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
|||
(ไม่แสดง 8 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน) | |||
บรรทัดที่ 19: | บรรทัดที่ 19: | ||
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 ได้กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 480 คน มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวน 400 คน และจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วน (กลุ่มจังหวัด) จำนวน 80 คน<ref>'''ความรู้เกี่ยวความรู้เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปี 2550.''' http://www.tddf.or.th/tddf/constitution/readart.php?id=00468 สืบค้นเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2550.</ref> ดังนี้ | รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 ได้กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 480 คน มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวน 400 คน และจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วน (กลุ่มจังหวัด) จำนวน 80 คน<ref>'''ความรู้เกี่ยวความรู้เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปี 2550.''' http://www.tddf.or.th/tddf/constitution/readart.php?id=00468 สืบค้นเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2550.</ref> ดังนี้ | ||
'''1. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง''' | |||
'''1. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง''' | |||
{| | {| | ||
|'''ครั้งที่''' '''วัน/เดือน/ปี''' | |'''ครั้งที่''' '''วัน/เดือน/ปี''' | ||
|- | |- | ||
|[[ครั้งที่ 1 วันที่ 15 พฤศจิกายน 2476]] | |[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 1 วันที่ 15 พฤศจิกายน 2476|ครั้งที่ 1 วันที่ 15 พฤศจิกายน 2476]] | ||
|- | |- | ||
|ครั้งที่ 2 วันที่ 7 พฤศจิกายน 2480 | |[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 2 วันที่ 7 พฤศจิกายน 2480|ครั้งที่ 2 วันที่ 7 พฤศจิกายน 2480]] | ||
|- | |- | ||
|ครั้งที่ 3 วันที่ 12 พฤศจิกายน 2481 | |[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 3 วันที่ 12 พฤศจิกายน 2481|ครั้งที่ 3 วันที่ 12 พฤศจิกายน 2481]] | ||
|- | |- | ||
|ครั้งที่ 4 วันที่ 6 มกราคม 2489 | |[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 4 วันที่ 6 มกราคม 2489|ครั้งที่ 4 วันที่ 6 มกราคม 2489]] | ||
|- | |- | ||
|ครั้งที่ 5 วันที่ 29 มกราคม 2491 | |[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 5 วันที่ 29 มกราคม 2491|ครั้งที่ 5 วันที่ 29 มกราคม 2491]] | ||
|- | |- | ||
|ครั้งที่ 6 วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2495 | |[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 6 วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2495|ครั้งที่ 6 วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2495]] | ||
|- | |- | ||
|ครั้งที่ 7 วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2500 | |[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 7 วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2500|ครั้งที่ 7 วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2500]] | ||
|- | |- | ||
|ครั้งที่ 8 วันที่ 15 ธันวาคม 2500 | |[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 8 วันที่ 15 ธันวาคม 2500|ครั้งที่ 8 วันที่ 15 ธันวาคม 2500]] | ||
|- | |- | ||
|ครั้งที่ 9 วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2512 | |[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 9 วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2512|ครั้งที่ 9 วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2512]] | ||
|- | |- | ||
|ครั้งที่ 10 วันที่ 26 มกราคม 2518 | |[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 10 วันที่ 26 มกราคม 2518|ครั้งที่ 10 วันที่ 26 มกราคม 2518]] | ||
|- | |- | ||
|ครั้งที่ 11 วันที่ 4 เมษายน 2519 | |[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 11 วันที่ 4 เมษายน 2519|ครั้งที่ 11 วันที่ 4 เมษายน 2519]] | ||
|- | |- | ||
|ครั้งที่ 12 วันที่ 22 เมษายน 2522 | |[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 12 วันที่ 22 เมษายน 2522|ครั้งที่ 12 วันที่ 22 เมษายน 2522]] | ||
|- | |- | ||
|ครั้งที่ 13 วันที่ 18 เมษายน 2526 | |[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 13 วันที่ 18 เมษายน 2526|ครั้งที่ 13 วันที่ 18 เมษายน 2526]] | ||
|- | |- | ||
|ครั้งที่ 14 วันที่ 27 กรกฎาคม 2529 | |[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 14 วันที่ 27 กรกฎาคม 2529|ครั้งที่ 14 วันที่ 27 กรกฎาคม 2529]] | ||
|- | |- | ||
|ครั้งที่ 15 วันที่ 24 กรกฎาคม 2531 | |[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 15 วันที่ 24 กรกฎาคม 2531|ครั้งที่ 15 วันที่ 24 กรกฎาคม 2531]] | ||
|- | |- | ||
|ครั้งที่ 16 วันที่ 22 มีนาคม 2535 | |[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 16 วันที่ 22 มีนาคม 2535|ครั้งที่ 16 วันที่ 22 มีนาคม 2535]] | ||
|- | |- | ||
|ครั้งที่ 17 วันที่ 13 กันยายน 2535 | |[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 17 วันที่ 13 กันยายน 2535|ครั้งที่ 17 วันที่ 13 กันยายน 2535]] | ||
|- | |- | ||
|ครั้งที่ 18 วันที่ 2 กรกฎาคม 2538 | |[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 18 วันที่ 2 กรกฎาคม 2538|ครั้งที่ 18 วันที่ 2 กรกฎาคม 2538]] | ||
|- | |- | ||
|ครั้งที่ 19 วันที่ 17 พฤศจิกายน 2539 | |[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 19 วันที่ 17 พฤศจิกายน 2539|ครั้งที่ 19 วันที่ 17 พฤศจิกายน 2539]] | ||
|- | |- | ||
|ครั้งที่ 20 วันที่ 6 มกราคม 2544 | |[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 20 วันที่ 6 มกราคม 2544|ครั้งที่ 20 วันที่ 6 มกราคม 2544]] | ||
|- | |- | ||
|ครั้งที่ 21 วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 | |[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 21 วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548|ครั้งที่ 21 วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548]] | ||
|- | |- | ||
|ครั้งที่ 22 วันที่ 23 ธันวาคม 2550 | |[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 22 วันที่ 23 ธันวาคม 2550|ครั้งที่ 22 วันที่ 23 ธันวาคม 2550]] | ||
|} | |} | ||
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิลงคะแนนเลือกผู้สมัครได้เท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะพึงมีได้ในแต่ละ[[เขตเลือกตั้ง]] โดยการแบ่งเขตเลือกตั้งนั้น มีวิธีการคือนำจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 400 คน ไปหารจำนวนประชากรตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มีการเลือกตั้งเพื่อให้ได้ค่าเฉลี่ยประชากรต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน แล้วนำไปคำนวณจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละจังหวัดจะพึงมี โดยจังหวัดที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน 3 คน ให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้งและจังหวัดที่มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้มากกว่า 3 คน ให้แบ่งเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้งโดยแต่ละเขตจะมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน 3 คน ในกรณีที่แบ่งเขตเลือกตั้งในจังหวัดหนึ่งให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครบ 3 คนทุกเขตไม่ได้ ให้แบ่งเขตเลือกตั้งออกเป็นเขตเลือกตั้งที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตละ 3 คนเสียก่อน และเขตเลือกตั้งที่เหลือต้องมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า 2 คน | ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิลงคะแนนเลือกผู้สมัครได้เท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะพึงมีได้ในแต่ละ[[เขตเลือกตั้ง]] โดยการแบ่งเขตเลือกตั้งนั้น มีวิธีการคือนำจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 400 คน ไปหารจำนวนประชากรตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มีการเลือกตั้งเพื่อให้ได้ค่าเฉลี่ยประชากรต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน แล้วนำไปคำนวณจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละจังหวัดจะพึงมี โดยจังหวัดที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน 3 คน ให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้งและจังหวัดที่มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้มากกว่า 3 คน ให้แบ่งเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้งโดยแต่ละเขตจะมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน 3 คน ในกรณีที่แบ่งเขตเลือกตั้งในจังหวัดหนึ่งให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครบ 3 คนทุกเขตไม่ได้ ให้แบ่งเขตเลือกตั้งออกเป็นเขตเลือกตั้งที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตละ 3 คนเสียก่อน และเขตเลือกตั้งที่เหลือต้องมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า 2 คน | ||
'''2. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน''' | |||
'''2. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน''' | |||
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถลงคะแนนเลือกบัญชีรายชื่อผู้สมัครที่[[พรรคการเมือง]]จัดทำได้เพียงหนึ่งบัญชีรายชื่อเท่านั้น และการกำหนดเขตเลือกตั้งแบบสัดส่วน จะแบ่งพื้นที่ประเทศไทยเป็น 8 กลุ่มจังหวัด โดยในแต่ละกลุ่มจังหวัดถือเป็นหนึ่งเขตเลือกตั้งโดยจะมี ส.ส. แบบสัดส่วนได้กลุ่มจังหวัดละ 10 คน โดย ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ | ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถลงคะแนนเลือกบัญชีรายชื่อผู้สมัครที่[[พรรคการเมือง]]จัดทำได้เพียงหนึ่งบัญชีรายชื่อเท่านั้น และการกำหนดเขตเลือกตั้งแบบสัดส่วน จะแบ่งพื้นที่ประเทศไทยเป็น 8 กลุ่มจังหวัด โดยในแต่ละกลุ่มจังหวัดถือเป็นหนึ่งเขตเลือกตั้งโดยจะมี ส.ส. แบบสัดส่วนได้กลุ่มจังหวัดละ 10 คน โดย ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ | ||
บรรทัดที่ 210: | บรรทัดที่ 212: | ||
*คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของสมาชิกวุฒิสภา. http://www.parliament.go.th/mp2550/asset/member_mp_property.pdf สืบค้นเมื่อ 3 มิถุนายน 2552. | *คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของสมาชิกวุฒิสภา. http://www.parliament.go.th/mp2550/asset/member_mp_property.pdf สืบค้นเมื่อ 3 มิถุนายน 2552. | ||
[[category: | [[category:การเลือกตั้งในประเทศไทย]] |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 17:16, 19 กรกฎาคม 2553
ผู้เรียบเรียง มาลินี คงรื่น
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จเร พันธุ์เปรื่อง
การปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองที่เหมาะสมที่สุดในปัจจุบัน เพราะเป็นระบอบการปกครองที่ยอมรับสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของประชาชน เปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการใช้อำนาจปกครองประเทศอย่างทั่วถึง และมีกลไกที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการผูกขาดอำนาจทางการเมืองของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย คือ ประชาชนมีอำนาจในการปกครองตนเอง แต่ในทางปฏิบัติประชาชนทุกคนไม่สามารถเข้าไปร่วมปกครองประเทศได้ทั้งหมด จึงต้องใช้วิธีเลือกตัวแทนเข้าไปดำเนินการแทน สำหรับประเทศไทยการเลือกตั้งผู้แทนประชาชนในระดับชาติ ได้แก่ การเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการเลือกสมาชิกวุฒิสภาเพื่อทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัตินั้นคือการออกกฎหมายต่าง ๆ ในการปกครองประเทศ และเลือกสรรบุคคลจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่เป็นผู้นำคณะรัฐมนตรีบริหารราชการแผ่นดิน การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาจึงเป็นวิธีการที่ทำให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศอย่างเสมอภาค
ด้วยเหตุนี้เมื่อรัฐสภาผ่านกฎหมายใด ๆ และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ประชาชนจะปฏิเสธว่าตนไม่เห็นชอบด้วยไม่ได้ เพราะผู้ออกกฎหมาย ก็คือตัวแทนของประชาชนนั่นเอง นอกจากนี้การเลือกตั้งยังทำให้คณะผู้บริหารหรือคณะรัฐมนตรีเข้ามาบริหารประเทศด้วยความชอบธรรมเพราะเป็นตัวแทนของประชาชนที่ประชาชนเลือกเข้ามาทำหน้าที่ในรัฐสภา การเลือกตั้งจึงเป็นกระบวนการทางประชาธิปไตยที่มีความสำคัญยิ่งเพราะเป็นการแสดงเจตนารมณ์ ของประชาชนเจ้าของประเทศที่มอบความไว้วางใจให้ตัวแทนของประชาชนไปทำหน้าที่ปกครองประเทศ รวมทั้งแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เป็นความเดือดร้อนของประชาชน
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในอดีต
การเลือกตั้งครั้งแรกของประเทศไทย ประเทศไทยจัดให้มีการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 โดยมีการเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2476 วิธีการเลือกตั้งเป็นแบบทางอ้อม ซึ่งได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 78 คน เป็นสมาชิกประเภทที่ 1 สมาชิกประเภทที่ 1 หมายถึงผู้ที่ราษฎรเลือกตั้ง โดยราษฎรเลือกผู้แทนตำบลก่อน จากนั้นผู้แทนตำบลจึงไปเลือกตั้งผู้แทนราษฎรเป็นลำดับต่อไป สำหรับสถิติการเลือกตั้งที่น่าสนใจของการเลือกตั้งครั้งแรกของประเทศไทยคือ มีประชาชนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งจำนวน 4,278,231 คน และประชาชนมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งจำนวน 1,773,532 คน จังหวัดที่มีผู้ใช้สิทธิ์มากที่สุดคือจังหวัดเพชรบุรี หลังจากนั้นประเทศไทยได้มีการเลือกตั้งจนถึงปัจจุบันรวมทั้งสิ้น 22 ครั้ง
สถิติการเลือกตั้งทั่วไปของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร[1]
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 ได้กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 480 คน มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวน 400 คน และจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วน (กลุ่มจังหวัด) จำนวน 80 คน[2] ดังนี้
1. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิลงคะแนนเลือกผู้สมัครได้เท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะพึงมีได้ในแต่ละเขตเลือกตั้ง โดยการแบ่งเขตเลือกตั้งนั้น มีวิธีการคือนำจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 400 คน ไปหารจำนวนประชากรตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มีการเลือกตั้งเพื่อให้ได้ค่าเฉลี่ยประชากรต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน แล้วนำไปคำนวณจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละจังหวัดจะพึงมี โดยจังหวัดที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน 3 คน ให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้งและจังหวัดที่มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้มากกว่า 3 คน ให้แบ่งเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้งโดยแต่ละเขตจะมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน 3 คน ในกรณีที่แบ่งเขตเลือกตั้งในจังหวัดหนึ่งให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครบ 3 คนทุกเขตไม่ได้ ให้แบ่งเขตเลือกตั้งออกเป็นเขตเลือกตั้งที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตละ 3 คนเสียก่อน และเขตเลือกตั้งที่เหลือต้องมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า 2 คน
2. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถลงคะแนนเลือกบัญชีรายชื่อผู้สมัครที่พรรคการเมืองจัดทำได้เพียงหนึ่งบัญชีรายชื่อเท่านั้น และการกำหนดเขตเลือกตั้งแบบสัดส่วน จะแบ่งพื้นที่ประเทศไทยเป็น 8 กลุ่มจังหวัด โดยในแต่ละกลุ่มจังหวัดถือเป็นหนึ่งเขตเลือกตั้งโดยจะมี ส.ส. แบบสัดส่วนได้กลุ่มจังหวัดละ 10 คน โดย ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
(1) มีสัญชาติไทย กรณีบุคคลแปลงสัญชาติจะต้องได้สัญชาติไทยมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 5 ปี
(2) มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ในวันที่ 1 มกราคมของปีที่มีการเลือกตั้ง และ
(3) มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 90 วันนับถึงวันเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งอยู่นอกเขตเลือกตั้งที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งเป็นเวลาน้อยกว่า 90 วันนับถึงวันเลือกตั้งหรือมีถิ่นที่อยู่นอกราชอาณาจักรย่อมมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ใน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งวุฒิสภา
ส่วนบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 บัญญัติเกี่ยวกับการไปใช้สิทธิเลือกตั้งของบุคคลไว้ด้วยว่า บุคคลดังต่อไปนี้ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง
(1) ภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช
(2) อยู่ในระหว่างเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
(3) ต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาลหรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
(4) วิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
ประเทศไทยได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ผลปรากฎว่ามีผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีจำนวนทั้งสิ้น 44,002,593 คน มีผู้มาใช้สิทธิ 32,759,009 คน คิดเป็น 74.45 % ถือเป็นการใช้สิทธิมากสุดเป็นประวัติการณ์ สถิติที่น่าสนใจของการเลือกตั้งครั้งปัจจุบันพบว่าจังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุดคือ จังหวัดลำพูน คิดเป็น 88.90 % ส่วนจังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิน้อยที่สุดคือ จังหวัดสกลนคร คิดเป็น 66.73 %
คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร[3]
ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องมีคุณสมบัติสรุปได้ดังนี้
1. มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด
2. มีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าปีบริบรูณ์ในวันเลือกตั้ง
3. เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคเดียวเป็นเวลาไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับถึงวันเลือกตั้ง
4. ผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ต้องมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้
(ก) มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งมาแล้วติดต่อกันเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปีนับถึงวันเลือกตั้ง
(ข) เป็นบุคคลที่เกิดในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้ง
(ค ) เคยศึกษาในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปีการศึกษา
(ง ) เคยรับราชการหรือเคยมีชื่ออยู่ในทะเบียบบ้านในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้ง เป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปี
หน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีหน้าที่สรุปได้ดังนี้
1. ออกกฎหมายหรือแก้ไขกฎหมายเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน
2. เป็นผู้เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี
3. ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน เช่น การตั้งกระทู้ถาม
4. จัดสรรงบประมาณแผ่นดินเพื่อพัฒนาประเทศ
5. แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนโดยนำเสนอปัญหาต่อรัฐบาลเพื่อหาทางแก้ไข เช่น การเสนอญัตติตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณาศึกษาปัญหาต่างๆ
การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา
ตั้งแต่ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขของชาติ เมื่อพุทธศักราช 2475 เป็นต้นมา รูปแบบของรัฐสภาไทยมีทั้งแบบสภาเดี่ยวและสภาคู่ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ของบ้านเมืองในขณะนั้น สมาชิกวุฒิสภามีหน้าที่สำคัญในการกลั่นกรองกฎหมาย จึงเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มีความรู้ความชำนาญในวิชาการหรืออาชีพต่างๆ ซึ่งแต่เดิมใช้วิธีแต่งตั้งทั้งหมดโดยพระมหากษัตริย์[4] แต่ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน สมาชิกวุฒิสภาจะมาจากการเลือกตั้งและการสรรหา สมาชิกวุฒิสมาชิกมีหน้าที่ทางด้านนิติบัญญัติโดยสรุป คือ กลั่นกรองร่างกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว รวมถึงพิจารณาอนุมัติพระราชกำหนดต่างๆ และทำหน้าที่ในการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีในปัญหาสำคัญของประเทศ ตามมาตรา 161 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจํานวน 150 คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง และมาจากการสรรหา ดังนั้น สรุปได้ว่าวุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกที่มีที่มาจาก 2 ทาง คือ สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละ 1 คน มีสมาชิกวุฒิสภาทั้งสิ้น 76 คน และสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหา จํานวน 74 คน
1. การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในแต่ละจังหวัด
เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกําหนดเขตเลือกตั้งและดําเนินการจัดการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ทั้งนี้ กฎหมายและระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งกําหนดให้นําบทบัญญัติในส่วนของ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาบังคับใช้โดยอนุโลม ตั้งแต่บททั่วไป เขตเลือกตั้ง หน่วยเลือกตั้งและที่เลือกตั้ง เจ้าพนักงานผู้ดําเนินการเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งและบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การสมัครรับเลือกตั้ง ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งและวิธีการหาเสียงเลือกตั้ง การลงคะแนนเลือกตั้ง การนับคะแนนและการประกาศผลการเลือกตั้ง การลงคะแนนเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้ง การดําเนินการกรณีการเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม รวมทั้งการคัดค้านการเลือกตั้ง
2. การสรรหาสมาชิกวุฒิสภา
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ รวมทั้งระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการลงทะเบียนขององค์กรที่มีสิทธิเสนอชื่อบุคคลเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 กําหนดหลักเกณฑ์และกระบวนการสรรหาและแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาไว้ โดยสรุปดังนี้
(1) เมื่อมีเหตุต้องสรรหาสมาชิกวุฒิสภา ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศใน ราชกิจจานุเบกษากําหนดวันสรรหาภายใน 3 วันนับแต่วันที่มีเหตุให้ต้องมีการสรรหา และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษากําหนดให้องค์กรภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาชีพ และภาคอื่นมาลงทะเบียนพร้อมทั้งเสนอชื่อผู้ที่สมควรได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันนับแต่วันสรรหา ทั้งนี้ แต่ละองค์กรเสนอชื่อได้ 1 คน
องค์กรต่างๆ ที่มีสิทธิเสนอชื่อบุคคลเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นโดยกฎหมาย หรือเป็นนิติบุคคลที่ได้รับการรับรอง โดยกฎหมายให้จัดตั้งขึ้นในราชอาณาจักรมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี และต้องมิใช่องค์กรที่แสวงหาผลกําไรหรือดําเนินกิจกรรมทางการเมือง
บุคคลที่จะได้รับการเสนอชื่อจากองค์กรภาคต่าง ๆ ต้องเป็นบุคคลที่เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกขององค์กร หรือปฏิบัติหน้าที่หรือเคยปฏิบัติหน้าที่ในองค์กร ซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่รัฐธรรมนูญกําหนด โดยให้ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อชําระค่าธรรมเนียมคนละ 5,000 บาท โดยให้ค่าธรรมเนียมตกเป็นรายได้ของรัฐ และบุคคลดังกล่าวจะขอถอนชื่อออกจากการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหามิได้
(2) คณะกรรมการการเลือกตั้งรวบรวมรายชื่อบุคคลซึ่งได้รับการเสนอชื่อเสนอต่อคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา ภายใน 5 วันนับแต่วันสิ้นสุดระยะเวลาการเสนอชื่อ
ทั้งนี้ คณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาประกอบด้วยกรรมการ ได้แก่ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้พิพากษาในศาลฎีกาซึ่งดํารงตําแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกาที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา มอบหมายจํานวน 1 คน และตุลาการในศาลปกครองสูงสุดที่ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดมอบหมายจํานวน 1 คน
(3) คณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาพิจารณาสรรหาและคัดเลือกบุคคลที่มีความเหมาะสมที่จะดํารงตําแหน่งสมาชิกวุฒิสภาจากบัญชีรายชื่อที่คณะกรรมการการเลือกตั้งรวบรวมมาจากการเสนอชื่อขององค์กรต่างๆ จํานวนทั้งสิ้น 74 คน และแจ้งผลการพิจารณาต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับบัญชีรายชื่อ ทั้งนี้ ให้ผลการพิจารณาของคณะกรรมการสรรหาเป็นที่สุด
ในการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาของคณะกรรมการสรรหานั้น ให้คํานึงถึง ความรู้ ความเชี่ยวชาญ หรือประสบการณ์ที่จะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติงานของวุฒิสภาเป็นสําคัญ และให้คํานึงถึงองค์ประกอบจากบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถในด้านต่างๆที่แตกต่างกัน โอกาสและความเท่าเทียมกันทางเพศ สัดส่วนของบุคคลในแต่ละภาค รวมทั้งการให้โอกาสกับผู้ด้อยโอกาสทางสังคมด้วย
(4) คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการสรรหาและแจ้งผลการสรรหาไปยังประธานรัฐสภาเพื่อทราบ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
คุณสมบัติของสมาชิกวุฒิสภา[5]
คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของสมาชิกวุฒิสภา สรุปได้ดังนี้ ผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีอายุไม่ต่ำากว่า 40 ปีบริบูรณ์ และต้องจบการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเป็นสมาชิกวุฒิสภา ต้องไม่เป็นบุพการี คู่สมรส หรือบุตรของผู้ดํารงตําแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง ต้องไม่เป็นสมาชิกหรือผู้ดํารงตําแหน่งใดในพรรคการเมืองหรือเคยเป็นสมาชิก หรือเคยดํารงตําแหน่งและพ้นจากการเป็นสมาชิกหรือการดํารงตําแหน่งใด ๆ ในพรรคการเมืองมาแล้วยังไม่เกิน 5 ปี ต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพ้นจากตําแหน่งมาแล้วไม่เกิน 5 ปี ต้องไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นจาก ตําแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกิน 5 ปี และสมาชิกวุฒิสภาจะเป็นรัฐมนตรีผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองอื่น หรือผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญมิได้ อีกทั้ง บุคคลผู้เคยดํารงตําแหน่งสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกภาพสิ้นสุดลงมาแล้วยังไม่เกิน 2 ปี จะเป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองมิได้
หน้าที่ของสมาชิกวุฒิสภา[6]
อำนาจหน้าที่ของวุฒิสภาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สรุปได้ดังนี้
1. กลั่นกรองกฎหมาย
2. ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน
3. ให้ความเห็นชอบในเรื่องสำคัญต่าง ๆ
4. พิจารณาให้บุคคลดำรงตำแหน่ง
5. ถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง
การไปใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นหน้าที่สำคัญของปวงชนชาวไทยทุกคน พี่น้องประชาชนควรร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจกันออกมาแสดงตนเพื่อใช้สิทธิเพราะนอกจากจะได้สมาชิกรัฐสภาที่มีความรู้ความสามารถ และเป็นคนดีตามความตั้งใจแล้วยังเป็นการป้องกันการทุจริตในการซื้อสิทธิ ขายเสียง ได้อีกทางหนึ่งด้วย
อ้างอิง
- ↑ ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยุคปฏิรูปการเมืองใหม่ 6 มกราคม 2544. กรุงเทพฯ : หอสมุดรัฐสภา สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2544.
- ↑ ความรู้เกี่ยวความรู้เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปี 2550. http://www.tddf.or.th/tddf/constitution/readart.php?id=00468 สืบค้นเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2550.
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550. กรุงเทพฯ : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2550.
- ↑ ประวัติวุฒิสภา. http://www.intarat.net/senate_1.php สืบค้นเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2552.
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550. กรุงเทพฯ : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2550.
- ↑ วุฒิสภา. http://www.senate.go.th/main/senate/unit.php สืบค้นเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2550.
หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง. 10 ปี กกต. ก้าวต่อไปเพื่อประชาธิปไตยที่ยั่งยืน. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง, 2551.
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. 75 ปี รัฐสภาไทย. กรุงเทพฯ: สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2550.
บรรณานุกรม
ความรู้เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปี 2550. http://www.tddf.or.th/tddf/constitution/readart.php?id=00468 สืบค้นเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2552.
ปัทมา สูบกําปัง. วุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550. ในสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย www.sumc.in.th สืบค้นเมื่อ 28 พฤษภาคม 2552.
ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยุคปฏิรูปการเมืองใหม่ 6 มกราคม 2544. กรุงเทพฯ : หอสมุดรัฐสภา สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2544.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550. กรุงเทพฯ: สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2550.
สรรสาระรัฐธรรมนูญไทย. กรุงเทพฯ : คณะอนุกรรมการจัดทำหนังสือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, ม.ป.ป.
อำนาจหน้าที่รัฐสภา ใน หนังสือที่ระลึกในการที่สภาผู้แทนราษฎรได้รับพระราชทานผ้าพระกฐินไปถวายพระภิกษุที่จำพรรษา ณ วัดวัดศรีสุดารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม 2551. กรุงเทพฯ : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2551.
ดูเพิ่มเติม
- พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550
- พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2550
- ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550
- คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของสมาชิกวุฒิสภา. http://www.parliament.go.th/mp2550/asset/member_mp_property.pdf สืบค้นเมื่อ 3 มิถุนายน 2552.