ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เสียงข้างน้อย"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Suksan (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:
'''ผู้เรียบเรียง :''' นางสาวเกศกนก เข็มตรง


'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ :''' นายจเร พันธุ์เปรื่อง
'''ผู้เรียบเรียง :''' นางสาวเกศกนก เข็มตรง
 
'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ :''' นายจเร พันธุ์เปรื่อง


----
----


 


[[ประชาธิปไตย]] (Democracy) เป็นระบบการเมืองและระบอบการปกครองที่ประชาชนทั้งหลายปกครองตัวเองร่วมกัน ซึ่งมีที่มาจากความต้องการของประชาชนในอันที่จะกำหนดชะตาชีวิตของตนเองร่วมกัน ไม่ใช่ให้ใครก็ได้ที่ประชาชน (ส่วนใหญ่) ไม่ได้ยินยอมเห็นชอบอย่างอิสระ (consent) มาปกครองตนเอง ฉะนั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง ประชาธิปไตยจึงเป็นการปกครองที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ด้วยการยินยอมพร้อมใจอย่างเสรีของผู้ถูกปกครองหรือของประชาชน (consent of the governed หรือ consent of the people)<ref>วิสุทธิ์ โพธิแท่น, แนวคิดพื้นฐานของประชาธิปไตย, พิมพ์ครั้งที่ 3, กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา, 2554, หน้า 2 - 3. </ref>  
[[ประชาธิปไตย|ประชาธิปไตย]] (Democracy) เป็นระบบการเมืองและระบอบการปกครองที่ประชาชนทั้งหลายปกครองตัวเองร่วมกัน ซึ่งมีที่มาจากความต้องการของประชาชนในอันที่จะกำหนดชะตาชีวิตของตนเองร่วมกัน ไม่ใช่ให้ใครก็ได้ที่ประชาชน (ส่วนใหญ่) ไม่ได้ยินยอมเห็นชอบอย่างอิสระ (consent) มาปกครองตนเอง ฉะนั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง ประชาธิปไตยจึงเป็นการปกครองที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ด้วยการยินยอมพร้อมใจอย่างเสรีของผู้ถูกปกครองหรือของประชาชน (consent of the governed หรือ consent of the people)<ref>วิสุทธิ์ โพธิแท่น, แนวคิดพื้นฐานของประชาธิปไตย, พิมพ์ครั้งที่ 3, กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา, 2554, หน้า 2 - 3. </ref>
จากความหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า “ประชาชน” คือ หัวใจสำคัญที่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยมุ่งหมายที่จะให้การรับรองทั้งในแง่ของ[[ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์]] [[ความเสมอภาค]] [[เสรีภาพ]] และ[[ภราดรภาพ]] ดังที่ปรากฏในหลักการพื้นฐานที่สำคัญของประชาธิปไตย (principles of democracy) โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักการว่าด้วย[[อำนาจอธิปไตยของปวงชน]] (popular sovereignty) ซึ่งประกอบไปด้วยแนวคิดเรื่องการปกครองโดยเสียงข้างมากที่เคารพสิทธิของฝ่ายข้างน้อย (majority rule with respect to minority rights) อันเป็นแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับเสียงของประชาชนแต่ละคนอย่างแท้จริงไม่เว้นแม้แต่คนเดียว


จากความหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า “ประชาชน” คือ หัวใจสำคัญที่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยมุ่งหมายที่จะให้การรับรองทั้งในแง่ของ[[ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์|ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์]] [[ความเสมอภาค|ความเสมอภาค]] [[เสรีภาพ|เสรีภาพ]] และ[[ภราดรภาพ|ภราดรภาพ]] ดังที่ปรากฏในหลักการพื้นฐานที่สำคัญของประชาธิปไตย (principles of democracy) โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักการว่าด้วย[[อำนาจอธิปไตยของปวงชน|อำนาจอธิปไตยของปวงชน]] (popular sovereignty) ซึ่งประกอบไปด้วยแนวคิดเรื่องการปกครองโดยเสียงข้างมากที่เคารพสิทธิของฝ่ายข้างน้อย (majority rule with respect to minority rights) อันเป็นแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับเสียงของประชาชนแต่ละคนอย่างแท้จริงไม่เว้นแม้แต่คนเดียว


&nbsp;


&nbsp;


== แนวคิดการปกครองโดยเสียงข้างมากที่เคารพสิทธิเสียงข้างน้อย<ref>เรื่องเดียวกัน, หน้า 61. </ref> ==
== แนวคิดการปกครองโดยเสียงข้างมากที่เคารพสิทธิเสียงข้างน้อย<ref>เรื่องเดียวกัน, หน้า 61. </ref> ==
ระบอบประชาธิปไตยเป็นการปกครองตัวเองร่วมกันของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน การตัดสินใจร่วมกันของประชาชนในเรื่องต่างๆ นั้น ย่อมต้องมีการปรึกษาหารือร่วมกัน แต่เนื่องจากคนเราแต่ละคนมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกันบ้างต่างกันบ้าง ถ้าอยู่ในภาวะที่มีเสรีภาพเต็มที่ที่จะคิด คนเราย่อมไม่มีใครจะคิดเหมือนกันหมดในทุกๆ เรื่อง ดังนั้น หากในการปกครองตนเองร่วมกันซึ่งจะต้องมีการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ อยู่เสมอนั้น ถ้าทุกคนสามารถเห็นพ้องต้องกันได้โดยเสรีย่อมเป็นสิ่งที่พึงประสงค์ แต่ในความเป็นจริงของคนเรานั้นการเห็นพ้องต้องกันเป็น[[เอกฉันท์]]ย่อมเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก ยิ่งมีคนจำนวนมากเท่าใดความเห็นพ้องต้องกันเป็นเอกฉันท์ยิ่งยากมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น เพื่อให้การตัดสินใจมีข้อยุติที่จะกระทำเรื่องต่างๆ เป็นไปได้อย่างทันการณ์และมีประสิทธิภาพ การตัดสินใจโดยถือตามเสียงข้างมากจึงเป็นหลักเกณฑ์ที่นำมาใช้เพื่อยอมรับกัน


ระบอบประชาธิปไตยเป็นการปกครองตัวเองร่วมกันของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน การตัดสินใจร่วมกันของประชาชนในเรื่องต่างๆ นั้น ย่อมต้องมีการปรึกษาหารือร่วมกัน แต่เนื่องจากคนเราแต่ละคนมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกันบ้างต่างกันบ้าง ถ้าอยู่ในภาวะที่มีเสรีภาพเต็มที่ที่จะคิด คนเราย่อมไม่มีใครจะคิดเหมือนกันหมดในทุกๆ เรื่อง ดังนั้น หากในการปกครองตนเองร่วมกันซึ่งจะต้องมีการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ อยู่เสมอนั้น ถ้าทุกคนสามารถเห็นพ้องต้องกันได้โดยเสรีย่อมเป็นสิ่งที่พึงประสงค์ แต่ในความเป็นจริงของคนเรานั้นการเห็นพ้องต้องกันเป็น[[เอกฉันท์|เอกฉันท์]]ย่อมเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก ยิ่งมีคนจำนวนมากเท่าใดความเห็นพ้องต้องกันเป็นเอกฉันท์ยิ่งยากมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น เพื่อให้การตัดสินใจมีข้อยุติที่จะกระทำเรื่องต่างๆ เป็นไปได้อย่างทันการณ์และมีประสิทธิภาพ การตัดสินใจโดยถือตามเสียงข้างมากจึงเป็นหลักเกณฑ์ที่นำมาใช้เพื่อยอมรับกัน
&nbsp;


== หลักเกณฑ์การปกครองโดยเสียงข้างมาก<ref>เรื่องเดียวกัน, หน้า 62. </ref> ==
== หลักเกณฑ์การปกครองโดยเสียงข้างมาก<ref>เรื่องเดียวกัน, หน้า 62. </ref> ==
 
การตัดสินใจใดๆ ของกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเล็กหรือกลุ่มใหญ่ ไม่ว่าจะในระดับใด (ระดับที่ประชุมกรรมการ ระดับสมาคม ระดับชุมชนเล็ก ระดับท้องถิ่น หรือระดับชาติ) หลังจากที่ได้มีการปรึกษาหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันพอสมควรแล้วหากไม่อาจหาความเห็นพ้องต้องกันเป็นเอกฉันท์ได้ ก็ให้ตัดสินเป็นข้อยุติในขณะนั้นโดยถือเสียงข้างมากเป็นเสียงชี้ขาดเพื่อจะได้กระทำการต่อไปให้เป็นรูปธรรม ตัวอย่างเช่น [[การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง|การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง]] [[ผู้สมัครรับเลือกตั้ง|ผู้สมัครรับเลือกตั้ง]]ที่ได้รับคะแนนสูงสุดจะเป็นผู้ที่ได้รับเลือก หรือในการออกเสียงประชามติเรื่องที่มีผู้เห็นด้วยมากที่สุดจะได้รับการนำไปปฏิบัติ หรือกรณี[[การออกเสียงลงมติในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร|การออกเสียงลงมติในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร]] ก็จะใช้เสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ในการตัดสินเป็นต้น<ref> “Majority Rule/Minority Rights : Essential Principles”, [ออนไลน์] แหล่งข้อมูล : http://www.democracyweb.org/majority/principles.php, (สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2557) </ref>
การตัดสินใจใดๆ ของกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเล็กหรือกลุ่มใหญ่ ไม่ว่าจะในระดับใด (ระดับที่ประชุมกรรมการ ระดับสมาคม ระดับชุมชนเล็ก ระดับท้องถิ่น หรือระดับชาติ) หลังจากที่ได้มีการปรึกษาหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันพอสมควรแล้วหากไม่อาจหาความเห็นพ้องต้องกันเป็นเอกฉันท์ได้ ก็ให้ตัดสินเป็นข้อยุติในขณะนั้นโดยถือเสียงข้างมากเป็นเสียงชี้ขาดเพื่อจะได้กระทำการต่อไปให้เป็นรูปธรรม ตัวอย่างเช่น [[การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง]] [[ผู้สมัครรับเลือกตั้ง]]ที่ได้รับคะแนนสูงสุดจะเป็นผู้ที่ได้รับเลือก หรือในการออกเสียงประชามติเรื่องที่มีผู้เห็นด้วยมากที่สุดจะได้รับการนำไปปฏิบัติ หรือกรณี[[การออกเสียงลงมติในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร]] ก็จะใช้เสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ในการตัดสินเป็นต้น<ref> “Majority Rule/Minority Rights : Essential Principles”, [ออนไลน์] แหล่งข้อมูล : http://www.democracyweb.org/majority/principles.php, (สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2557) </ref>
 
อย่างไรก็ตาม การตัดสินโดยเสียงข้างมากในแต่ละเรื่องแต่ละเวลา ไม่ได้หมายความว่าเสียงข้างมากถูกหรือเสียงข้างน้อยผิด แต่หมายความว่าในสภาพที่ยังไม่มีทางเลือกอย่างอื่นที่ดีกว่านี้ แต่มีความจำเป็นต้องตัดสินใจที่จะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้ความเสียหายจากการไม่กระทำการเกิดขึ้น ทางเลือกที่ดีที่สุดเมื่อได้เปรียบเทียบรอบด้านแล้วก็คือการกระทำตามมติของเสียงข้างมากไปก่อน แต่ทั้งนี้การถือเอาเสียงข้างมากเป็นเสียงตัดสินนั้นจะต้องคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของเสียงข้างน้อยด้วย เพราะหากไม่คำนึงถึง[[สิทธิเสรีภาพ|สิทธิเสรีภาพ]]ดังกล่าวย่อมทำให้เสียงข้างมากนั้นเป็นเสียงข้างมากที่กดขี่อันเป็นลักษณะของเผด็จการหาใช่ประชาธิปไตยไม่
อย่างไรก็ตาม การตัดสินโดยเสียงข้างมากในแต่ละเรื่องแต่ละเวลา ไม่ได้หมายความว่าเสียงข้างมากถูกหรือเสียงข้างน้อยผิด แต่หมายความว่าในสภาพที่ยังไม่มีทางเลือกอย่างอื่นที่ดีกว่านี้ แต่มีความจำเป็นต้องตัดสินใจที่จะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้ความเสียหายจากการไม่กระทำการเกิดขึ้น ทางเลือกที่ดีที่สุดเมื่อได้เปรียบเทียบรอบด้านแล้วก็คือการกระทำตามมติของเสียงข้างมากไปก่อน แต่ทั้งนี้การถือเอาเสียงข้างมากเป็นเสียงตัดสินนั้นจะต้องคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของเสียงข้างน้อยด้วย เพราะหากไม่คำนึงถึง[[สิทธิเสรีภาพ]]ดังกล่าวย่อมทำให้เสียงข้างมากนั้นเป็นเสียงข้างมากที่กดขี่อันเป็นลักษณะของเผด็จการหาใช่ประชาธิปไตยไม่
 
&nbsp;


== หลักการเคารพสิทธิเสียงข้างน้อย ==
== หลักการเคารพสิทธิเสียงข้างน้อย ==


การเคารพในสิทธิของเสียงข้างน้อยถือเป็นการเคารพในสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนประการหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ทั้งการพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายด้วยวิธีอื่นๆ เพื่อแสดงถึงเจตจำนงที่แท้จริงของปัจเจกบุคคลแต่ละคน อันเป็นสิทธิประการหนึ่งที่ได้รับการรับรองโดยกติกาสากลว่าด้วย[[สิทธิพลเมือง|สิทธิพลเมือง]]และ[[สิทธิทางการเมือง|สิทธิทางการเมือง]] ซึ่งถูกนำมาบัญญัติไว้ใน[[รัฐธรรมนูญ|รัฐธรรมนูญ]]อันเป็น[[กฎหมายสูงสุด|กฎหมายสูงสุด]]ของแต่ละประเทศ<ref>วิสุทธิ์ โพธิแท่น, แนวคิดพื้นฐานของประชาธิปไตย, หน้า 62 – 63. </ref> ดังนั้น เสียงข้างน้อยจึงเป็นเสียงที่มีความสำคัญมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเสียงข้างมากในระบอบประชาธิปไตยเลย เนื่องจากเป็นเสียงที่สะท้อนให้เห็นถึงอีกแง่มุมหนึ่งของความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป ซึ่งแง่มุมนั้นอาจจะได้รับการสนับสนุนในภายหลังในเวลาที่สภาพการณ์และเงื่อนไขอันเป็นปัจจัยแวดล้อมต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยที่เชื่อมโยงกับความต้องการของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย<ref>เพิ่งอ้าง.</ref>
การเคารพในสิทธิของเสียงข้างน้อยถือเป็นการเคารพในสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนประการหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ทั้งการพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายด้วยวิธีอื่นๆ เพื่อแสดงถึงเจตจำนงที่แท้จริงของปัจเจกบุคคลแต่ละคน อันเป็นสิทธิประการหนึ่งที่ได้รับการรับรองโดยกติกาสากลว่าด้วย[[สิทธิพลเมือง]]และ[[สิทธิทางการเมือง]] ซึ่งถูกนำมาบัญญัติไว้ใน[[รัฐธรรมนูญ]]อันเป็น[[กฎหมายสูงสุด]]ของแต่ละประเทศ<ref>วิสุทธิ์ โพธิแท่น, แนวคิดพื้นฐานของประชาธิปไตย, หน้า 62 – 63. </ref> ดังนั้น เสียงข้างน้อยจึงเป็นเสียงที่มีความสำคัญมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเสียงข้างมากในระบอบประชาธิปไตยเลย เนื่องจากเป็นเสียงที่สะท้อนให้เห็นถึงอีกแง่มุมหนึ่งของความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป ซึ่งแง่มุมนั้นอาจจะได้รับการสนับสนุนในภายหลังในเวลาที่สภาพการณ์และเงื่อนไขอันเป็นปัจจัยแวดล้อมต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยที่เชื่อมโยงกับความต้องการของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย<ref>เพิ่งอ้าง.</ref>  


&nbsp;


== การเคารพสิทธิเสียงข้างน้อยในปัจจุบัน ==
== การเคารพสิทธิเสียงข้างน้อยในปัจจุบัน ==


เสียงข้างน้อยในระบอบประชาธิปไตยที่เห็นได้ชัดเจนในปัจจุบัน ได้แก่ เสียงข้างน้อยใน[[การประชุมสภาผู้แทนราษฎร|การประชุมสภาผู้แทนราษฎร]] [[การประชุมวุฒิสภา|การประชุมวุฒิสภา]] [[การประชุมรัฐสภา|การประชุมรัฐสภา]] และ[[การประชุมคณะกรรมาธิการ|การประชุมคณะกรรมาธิการ]] ซึ่งทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศต่างให้การเคารพต่อเสียงข้างน้อยเหล่านี้ ดังจะเห็นได้จากการยอมรับการมี[[ฝ่ายค้าน|ฝ่ายค้าน]] (acceptance of opposition) หรือฝ่ายที่ไม่ใช่พวกเดียวกันกับ[[ฝ่ายรัฐบาล|ฝ่ายรัฐบาล]] โดยให้สามารถเกิดขึ้น คงอยู่ และดำเนินการได้โดยอิสระ รวมทั้งการที่[[รัฐบาล|รัฐบาล]]ยอมรับฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลด้วย ตราบใดที่การวิพากษ์วิจารณ์นั้นไม่ล่วงละเมิดผู้ใดจนขัดต่อกฎหมายที่ออกและประกาศใช้ตามวิถีทางประชาธิปไตย ตัวอย่างเช่น ในประเทศไทยมีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญกำหนดให้[[ผู้นำเสียงข้างน้อย|ผู้นำเสียงข้างน้อย]]ใน[[สภาผู้แทนราษฎร|สภาผู้แทนราษฎร]]ดำรงตำแหน่งเป็น[[ผู้นำฝ่ายค้าน|ผู้นำฝ่ายค้าน]]ในสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเป็นหลักในการตรวจสอบ[[รัฐบาล|รัฐบาล]] เป็นต้น
เสียงข้างน้อยในระบอบประชาธิปไตยที่เห็นได้ชัดเจนในปัจจุบัน ได้แก่ เสียงข้างน้อยใน[[การประชุมสภาผู้แทนราษฎร]] [[การประชุมวุฒิสภา]] [[การประชุมรัฐสภา]] และ[[การประชุมคณะกรรมาธิการ]] ซึ่งทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศต่างให้การเคารพต่อเสียงข้างน้อยเหล่านี้ ดังจะเห็นได้จากการยอมรับการมี[[ฝ่ายค้าน]] (acceptance of opposition) หรือฝ่ายที่ไม่ใช่พวกเดียวกันกับ[[ฝ่ายรัฐบาล]] โดยให้สามารถเกิดขึ้น คงอยู่ และดำเนินการได้โดยอิสระ รวมทั้งการที่[[รัฐบาล]]ยอมรับฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลด้วย ตราบใดที่การวิพากษ์วิจารณ์นั้นไม่ล่วงละเมิดผู้ใดจนขัดต่อกฎหมายที่ออกและประกาศใช้ตามวิถีทางประชาธิปไตย ตัวอย่างเช่น ในประเทศไทยมีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญกำหนดให้[[ผู้นำเสียงข้างน้อย]]ใน[[สภาผู้แทนราษฎร]]ดำรงตำแหน่งเป็น[[ผู้นำฝ่ายค้าน]]ในสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเป็นหลักในการตรวจสอบ[[รัฐบาล]] เป็นต้น
 
ในอดีตที่ผ่านมา [[การประชุมคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร|การประชุมคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร]] และวุฒิสภา โดยเฉพาะ[[การประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ|การประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ]]ในวาระที่สอง มติของคณะกรรมาธิการจะมาจาก[[กรรมาธิการเสียงข้างมาก|กรรมาธิการเสียงข้างมาก]]ซึ่งรายงานต่อสภา แต่[[กรรมาธิการเสียงข้างน้อย|กรรมาธิการเสียงข้างน้อย]]ที่แพ้ในการ[[ลงมติ|ลงมติ]]ต่อกรรมาธิการเสียงข้างมาก ยังคงมีสิทธิที่จะสงวนความเห็นที่แตกต่างไปจากกรรมาธิการเสียงข้างมาก เพื่อให้ที่ประชุมสภาพิจารณาอีกครั้งหนึ่งและตัดสินใจในขั้นสุดท้าย เพื่อดูว่าที่ประชุมจะเห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมากหรือกรรมาธิการเสียงข้างน้อย โดยขอสงวนของกรรมาธิการเสียงข้างน้อยดังกล่าวนี้จะเรียกว่า “[[สงวนความเห็น|สงวนความเห็น]]” ซึ่งถือเป็นสิทธิของฝ่ายเสียงข้างน้อย (minority right)<ref>คณิน บุญสุวรรณ, ศัพท์รัฐสภา, พิมพ์ครั้งแรก, กรุงเทพฯ : บพิธการพิมพ์, 2520, หน้า 157 – 158. </ref> ประการหนึ่งที่ได้รับการยอมรับ
ในอดีตที่ผ่านมา [[การประชุมคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร]] และวุฒิสภา โดยเฉพาะ[[การประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ]]ในวาระที่สอง มติของคณะกรรมาธิการจะมาจาก[[กรรมาธิการเสียงข้างมาก]]ซึ่งรายงานต่อสภา แต่[[กรรมาธิการเสียงข้างน้อย]]ที่แพ้ในการ[[ลงมติ]]ต่อกรรมาธิการเสียงข้างมาก ยังคงมีสิทธิที่จะสงวนความเห็นที่แตกต่างไปจากกรรมาธิการเสียงข้างมาก เพื่อให้ที่ประชุมสภาพิจารณาอีกครั้งหนึ่งและตัดสินใจในขั้นสุดท้าย เพื่อดูว่าที่ประชุมจะเห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมากหรือกรรมาธิการเสียงข้างน้อย โดยขอสงวนของกรรมาธิการเสียงข้างน้อยดังกล่าวนี้จะเรียกว่า “[[สงวนความเห็น]]” ซึ่งถือเป็นสิทธิของฝ่ายเสียงข้างน้อย (minority right)<ref>คณิน บุญสุวรรณ, ศัพท์รัฐสภา, พิมพ์ครั้งแรก, กรุงเทพฯ : บพิธการพิมพ์, 2520, หน้า 157 – 158. </ref> ประการหนึ่งที่ได้รับการยอมรับ


&nbsp;


== แนวทางการประกันสิทธิเสียงข้างน้อย<ref>นิสารัชต์ นิลสว่าง, “เสียงข้างน้อย เสียงข้างมาก กับระบอบประชาธิปไตย”, [ออนไลน์] แหล่งข้อมูล : http://pr.prd.go.th/nan/ewt_news.php?nid=1674&filename=index, (สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2557) </ref> ==
== แนวทางการประกันสิทธิเสียงข้างน้อย<ref>นิสารัชต์ นิลสว่าง, “เสียงข้างน้อย เสียงข้างมาก กับระบอบประชาธิปไตย”, [ออนไลน์] แหล่งข้อมูล : http://pr.prd.go.th/nan/ewt_news.php?nid=1674&filename=index, (สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2557) </ref> ==
 
 
แม้ว่าในปัจจุบัน จะปรากฏให้เห็นการยอมรับฟังเสียงข้างน้อยในบริบทต่างๆ แต่การเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่เป็นการปกครองโดยเสียงข้างมากนั้นมีความเป็นไปได้ที่เสียงข้างน้อยจะถูกทอดทิ้งหรือถูกครอบงำโดยเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งแนวทางที่จะช่วยป้องกันมิให้เกิดปัญหาดังกล่าว ได้แก่
แม้ว่าในปัจจุบัน จะปรากฏให้เห็นการยอมรับฟังเสียงข้างน้อยในบริบทต่างๆ แต่การเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่เป็นการปกครองโดยเสียงข้างมากนั้นมีความเป็นไปได้ที่เสียงข้างน้อยจะถูกทอดทิ้งหรือถูกครอบงำโดยเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งแนวทางที่จะช่วยป้องกันมิให้เกิดปัญหาดังกล่าว ได้แก่
1. การให้หลักประกันแก่สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานในด้านต่างๆ ของปัจเจกบุคคล โดยเฉพาะสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ทั้งการพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นๆ แก่บุคคลทุกคน รวมทั้งยังต้องมีกลไกของรัฐและสังคมคอยทำหน้าที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาด้านสิทธิเสรีภาพพื้นฐานในกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อที่พลเมืองทุกคนจะเข้าใจและตระหนักถึงสิทธิเสรีภาพของตน ตลอดจนสามารถยืนยันและอ้างสิทธิเหล่านั้นได้หากจำเป็น นอกจากนี้ ยังต้องมีช่องทางการแสดงออกอย่างเป็นประชาธิปไตยที่เหมาะสมและเข้าถึงง่าย เพื่อให้เสียงส่วนน้อยสามารถแสดงความคิดเห็นหรือข้อเรียกร้องของตนได้อย่างเปิดกว้าง เป็นอิสระและเท่าเทียมกัน
2. การให้หลักประกันในความจำเป็นขั้นพื้นฐานที่เป็นธรรม เช่น โอกาสด้านการศึกษา โอกาสด้านจ้างงานที่เท่าเทียม และค่าแรงและสวัสดิการที่สมเหตุสมผลสำหรับผู้มีรายได้น้อย รวมทั้งต้องมีการส่งเสริมกระบวนการประชาธิปไตยอย่างทั่วถึงในสังคม เพื่อให้แน่ใจว่าเสียงส่วนน้อยจะสามารถก่อรูปความคิดเห็นของตนอย่างอิสระโดยไม่ถูกครอบงำหรือจำกัดด้วยเงื่อนไข เช่น ความยากจน หรือการปราศจากความรู้และข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการมีความคิดเห็นที่ถูกต้อง หรือตระหนักรับรู้ถึงผลประโยชน์ที่แท้จริงของตน เพื่อที่จะสามารถมีส่วนร่วมในช่องทางประชาธิปไตยได้อย่างบังเกิดผล (Effective capacity for participation)
3. การมีกระบวนการเพื่อส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันบนพื้นฐานของ[[ฉันทามติ]] (Consensus) ขึ้นในสังคม ซึ่งสามารถทำได้สองทาง คือ ทางแรกจะต้องมีกลไกทางสังคมและวัฒนธรรมที่สร้างให้ประชาชนทุกคนมีฉันทามติ คือ ยอมรับกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดที่ชอบธรรมเพราะให้หลักประกันสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของตน (Constitutional patriotism) และทางที่สองจะต้องมีกลไกทางสังคมและวัฒนธรรมที่สร้างให้ประชาชนทุกคนมีฉันทามติในอุดมคติเรื่อง[[ความเป็นธรรม]] (Fairness) เพื่อที่เสียงส่วนน้อยจะสามารถอ้างถึงฉันทามติสองข้อนี้เป็นพื้นฐานเรียกร้องให้เสียงส่วนใหญ่ในสังคมรับฟังความคิดเห็นข้อเรียกร้องและมุมมองของตน ตลอดจนปฏิบัติต่อความคิดเห็น ข้อเรียกร้อง และมุมมองเหล่านี้ด้วยความรับผิดชอบ (Accountability)


1. การให้หลักประกันแก่สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานในด้านต่างๆ ของปัจเจกบุคคล โดยเฉพาะสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ทั้งการพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นๆ แก่บุคคลทุกคน รวมทั้งยังต้องมีกลไกของรัฐและสังคมคอยทำหน้าที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาด้านสิทธิเสรีภาพพื้นฐานในกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อที่พลเมืองทุกคนจะเข้าใจและตระหนักถึงสิทธิเสรีภาพของตน ตลอดจนสามารถยืนยันและอ้างสิทธิเหล่านั้นได้หากจำเป็น นอกจากนี้ ยังต้องมีช่องทางการแสดงออกอย่างเป็นประชาธิปไตยที่เหมาะสมและเข้าถึงง่าย เพื่อให้เสียงส่วนน้อยสามารถแสดงความคิดเห็นหรือข้อเรียกร้องของตนได้อย่างเปิดกว้าง เป็นอิสระและเท่าเทียมกัน
2. การให้หลักประกันในความจำเป็นขั้นพื้นฐานที่เป็นธรรม เช่น โอกาสด้านการศึกษา โอกาสด้านจ้างงานที่เท่าเทียม และค่าแรงและสวัสดิการที่สมเหตุสมผลสำหรับผู้มีรายได้น้อย รวมทั้งต้องมีการส่งเสริมกระบวนการประชาธิปไตยอย่างทั่วถึงในสังคม เพื่อให้แน่ใจว่าเสียงส่วนน้อยจะสามารถก่อรูปความคิดเห็นของตนอย่างอิสระโดยไม่ถูกครอบงำหรือจำกัดด้วยเงื่อนไข เช่น ความยากจน หรือการปราศจากความรู้และข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการมีความคิดเห็นที่ถูกต้อง หรือตระหนักรับรู้ถึงผลประโยชน์ที่แท้จริงของตน เพื่อที่จะสามารถมีส่วนร่วมในช่องทางประชาธิปไตยได้อย่างบังเกิดผล (Effective capacity for participation)
3. การมีกระบวนการเพื่อส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันบนพื้นฐานของ[[ฉันทามติ|ฉันทามติ]] (Consensus) ขึ้นในสังคม ซึ่งสามารถทำได้สองทาง คือ ทางแรกจะต้องมีกลไกทางสังคมและวัฒนธรรมที่สร้างให้ประชาชนทุกคนมีฉันทามติ คือ ยอมรับกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดที่ชอบธรรมเพราะให้หลักประกันสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของตน (Constitutional patriotism) และทางที่สองจะต้องมีกลไกทางสังคมและวัฒนธรรมที่สร้างให้ประชาชนทุกคนมีฉันทามติในอุดมคติเรื่อง[[ความเป็นธรรม|ความเป็นธรรม]] (Fairness) เพื่อที่เสียงส่วนน้อยจะสามารถอ้างถึงฉันทามติสองข้อนี้เป็นพื้นฐานเรียกร้องให้เสียงส่วนใหญ่ในสังคมรับฟังความคิดเห็นข้อเรียกร้องและมุมมองของตน ตลอดจนปฏิบัติต่อความคิดเห็น ข้อเรียกร้อง และมุมมองเหล่านี้ด้วยความรับผิดชอบ (Accountability)
&nbsp;


== หนังสือแนะนำให้อ่านเพิ่มเติม ==
== หนังสือแนะนำให้อ่านเพิ่มเติม ==


คณิน บุญสุวรรณ. (2520). ศัพท์รัฐสภา. พิมพ์ครั้งแรก. กรุงเทพฯ : บพิธการพิมพ์.
คณิน บุญสุวรรณ. (2520). ศัพท์รัฐสภา. พิมพ์ครั้งแรก. กรุงเทพฯ&nbsp;: บพิธการพิมพ์.
 
ชัยอนันต์ สมุทวณิช. (2519). ประชาธิปไตย สังคมนิยม คอมมิวนิสต์ กับการเมืองไทย. พิมพ์ครั้งแรก. กรุงเทพฯ&nbsp;: พิฆเณศ.


ชัยอนันต์ สมุทวณิช. (2519). ประชาธิปไตย สังคมนิยม คอมมิวนิสต์ กับการเมืองไทย. พิมพ์ครั้งแรก. กรุงเทพฯ : พิฆเณศ.  
วิสุทธิ์ โพธิแท่น. (2554). แนวคิดพื้นฐานของประชาธิปไตย. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ&nbsp;: สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา.


วิสุทธิ์  โพธิแท่น. (2554). แนวคิดพื้นฐานของประชาธิปไตย. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา.
&nbsp;


== อ้างอิง ==


<references />


== อ้างอิง ==
<references/>
== บรรณานุกรม ==
== บรรณานุกรม ==


คณิน บุญสุวรรณ. (2520). ศัพท์รัฐสภา. พิมพ์ครั้งแรก. กรุงเทพฯ : บพิธการพิมพ์.
คณิน บุญสุวรรณ. (2520). ศัพท์รัฐสภา. พิมพ์ครั้งแรก. กรุงเทพฯ&nbsp;: บพิธการพิมพ์.
 
ชัยอนันต์ สมุทวณิช. (2523). ประชาธิปไตย สังคมนิยม คอมมิวนิสต์ กับการเมืองไทย.กรุงเทพฯ&nbsp;: บรรณกิจ.
 
วิสุทธิ์ โพธิแท่น. (2554). แนวคิดพื้นฐานของประชาธิปไตย. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ&nbsp;: สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรี และราชกิจจานุเบกษา.


ชัยอนันต์ สมุทวณิช. (2523). ประชาธิปไตย สังคมนิยม คอมมิวนิสต์ กับการเมืองไทย.กรุงเทพฯ : บรรณกิจ.  
นิสารัชต์ นิลสว่าง. “เสียงข้างน้อย เสียงข้างมาก กับระบอบประชาธิปไตย”. [http://pr.prd.go.th/nan/ewt_news.php?nid=1674&filename=index http://pr.prd.go.th/nan/ewt_news.php?nid=1674&filename=index] (สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2557)


วิสุทธิ์  โพธิแท่น. (2554). แนวคิดพื้นฐานของประชาธิปไตย. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรี และราชกิจจานุเบกษา.
“Majority Rule/Minority Rights&nbsp;: Essential Priciples” [http://www.democracyweb.org/majority/principles.php http://www.democracyweb.org/majority/principles.php] (สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2557)


นิสารัชต์ นิลสว่าง. “เสียงข้างน้อย เสียงข้างมาก กับระบอบประชาธิปไตย”. http://pr.prd.go.th/nan/ewt_news.php?nid=1674&filename=index  (สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2557)
&nbsp;


“Majority Rule/Minority Rights : Essential Priciples” http://www.democracyweb.org/majority/principles.php (สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2557)
[[Category:รัฐสภา]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 14:58, 25 พฤษภาคม 2560

ผู้เรียบเรียง : นางสาวเกศกนก เข็มตรง

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายจเร พันธุ์เปรื่อง


 

ประชาธิปไตย (Democracy) เป็นระบบการเมืองและระบอบการปกครองที่ประชาชนทั้งหลายปกครองตัวเองร่วมกัน ซึ่งมีที่มาจากความต้องการของประชาชนในอันที่จะกำหนดชะตาชีวิตของตนเองร่วมกัน ไม่ใช่ให้ใครก็ได้ที่ประชาชน (ส่วนใหญ่) ไม่ได้ยินยอมเห็นชอบอย่างอิสระ (consent) มาปกครองตนเอง ฉะนั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง ประชาธิปไตยจึงเป็นการปกครองที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ด้วยการยินยอมพร้อมใจอย่างเสรีของผู้ถูกปกครองหรือของประชาชน (consent of the governed หรือ consent of the people)[1]

จากความหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า “ประชาชน” คือ หัวใจสำคัญที่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยมุ่งหมายที่จะให้การรับรองทั้งในแง่ของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเสมอภาค เสรีภาพ และภราดรภาพ ดังที่ปรากฏในหลักการพื้นฐานที่สำคัญของประชาธิปไตย (principles of democracy) โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักการว่าด้วยอำนาจอธิปไตยของปวงชน (popular sovereignty) ซึ่งประกอบไปด้วยแนวคิดเรื่องการปกครองโดยเสียงข้างมากที่เคารพสิทธิของฝ่ายข้างน้อย (majority rule with respect to minority rights) อันเป็นแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับเสียงของประชาชนแต่ละคนอย่างแท้จริงไม่เว้นแม้แต่คนเดียว

 

 

แนวคิดการปกครองโดยเสียงข้างมากที่เคารพสิทธิเสียงข้างน้อย[2]

ระบอบประชาธิปไตยเป็นการปกครองตัวเองร่วมกันของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน การตัดสินใจร่วมกันของประชาชนในเรื่องต่างๆ นั้น ย่อมต้องมีการปรึกษาหารือร่วมกัน แต่เนื่องจากคนเราแต่ละคนมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกันบ้างต่างกันบ้าง ถ้าอยู่ในภาวะที่มีเสรีภาพเต็มที่ที่จะคิด คนเราย่อมไม่มีใครจะคิดเหมือนกันหมดในทุกๆ เรื่อง ดังนั้น หากในการปกครองตนเองร่วมกันซึ่งจะต้องมีการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ อยู่เสมอนั้น ถ้าทุกคนสามารถเห็นพ้องต้องกันได้โดยเสรีย่อมเป็นสิ่งที่พึงประสงค์ แต่ในความเป็นจริงของคนเรานั้นการเห็นพ้องต้องกันเป็นเอกฉันท์ย่อมเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก ยิ่งมีคนจำนวนมากเท่าใดความเห็นพ้องต้องกันเป็นเอกฉันท์ยิ่งยากมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น เพื่อให้การตัดสินใจมีข้อยุติที่จะกระทำเรื่องต่างๆ เป็นไปได้อย่างทันการณ์และมีประสิทธิภาพ การตัดสินใจโดยถือตามเสียงข้างมากจึงเป็นหลักเกณฑ์ที่นำมาใช้เพื่อยอมรับกัน

 

หลักเกณฑ์การปกครองโดยเสียงข้างมาก[3]

การตัดสินใจใดๆ ของกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเล็กหรือกลุ่มใหญ่ ไม่ว่าจะในระดับใด (ระดับที่ประชุมกรรมการ ระดับสมาคม ระดับชุมชนเล็ก ระดับท้องถิ่น หรือระดับชาติ) หลังจากที่ได้มีการปรึกษาหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันพอสมควรแล้วหากไม่อาจหาความเห็นพ้องต้องกันเป็นเอกฉันท์ได้ ก็ให้ตัดสินเป็นข้อยุติในขณะนั้นโดยถือเสียงข้างมากเป็นเสียงชี้ขาดเพื่อจะได้กระทำการต่อไปให้เป็นรูปธรรม ตัวอย่างเช่น การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ได้รับคะแนนสูงสุดจะเป็นผู้ที่ได้รับเลือก หรือในการออกเสียงประชามติเรื่องที่มีผู้เห็นด้วยมากที่สุดจะได้รับการนำไปปฏิบัติ หรือกรณีการออกเสียงลงมติในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ก็จะใช้เสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ในการตัดสินเป็นต้น[4]

อย่างไรก็ตาม การตัดสินโดยเสียงข้างมากในแต่ละเรื่องแต่ละเวลา ไม่ได้หมายความว่าเสียงข้างมากถูกหรือเสียงข้างน้อยผิด แต่หมายความว่าในสภาพที่ยังไม่มีทางเลือกอย่างอื่นที่ดีกว่านี้ แต่มีความจำเป็นต้องตัดสินใจที่จะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้ความเสียหายจากการไม่กระทำการเกิดขึ้น ทางเลือกที่ดีที่สุดเมื่อได้เปรียบเทียบรอบด้านแล้วก็คือการกระทำตามมติของเสียงข้างมากไปก่อน แต่ทั้งนี้การถือเอาเสียงข้างมากเป็นเสียงตัดสินนั้นจะต้องคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของเสียงข้างน้อยด้วย เพราะหากไม่คำนึงถึงสิทธิเสรีภาพดังกล่าวย่อมทำให้เสียงข้างมากนั้นเป็นเสียงข้างมากที่กดขี่อันเป็นลักษณะของเผด็จการหาใช่ประชาธิปไตยไม่

 

หลักการเคารพสิทธิเสียงข้างน้อย

การเคารพในสิทธิของเสียงข้างน้อยถือเป็นการเคารพในสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนประการหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ทั้งการพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายด้วยวิธีอื่นๆ เพื่อแสดงถึงเจตจำนงที่แท้จริงของปัจเจกบุคคลแต่ละคน อันเป็นสิทธิประการหนึ่งที่ได้รับการรับรองโดยกติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ซึ่งถูกนำมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของแต่ละประเทศ[5] ดังนั้น เสียงข้างน้อยจึงเป็นเสียงที่มีความสำคัญมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเสียงข้างมากในระบอบประชาธิปไตยเลย เนื่องจากเป็นเสียงที่สะท้อนให้เห็นถึงอีกแง่มุมหนึ่งของความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป ซึ่งแง่มุมนั้นอาจจะได้รับการสนับสนุนในภายหลังในเวลาที่สภาพการณ์และเงื่อนไขอันเป็นปัจจัยแวดล้อมต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยที่เชื่อมโยงกับความต้องการของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย[6]

 

การเคารพสิทธิเสียงข้างน้อยในปัจจุบัน

เสียงข้างน้อยในระบอบประชาธิปไตยที่เห็นได้ชัดเจนในปัจจุบัน ได้แก่ เสียงข้างน้อยในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร การประชุมวุฒิสภา การประชุมรัฐสภา และการประชุมคณะกรรมาธิการ ซึ่งทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศต่างให้การเคารพต่อเสียงข้างน้อยเหล่านี้ ดังจะเห็นได้จากการยอมรับการมีฝ่ายค้าน (acceptance of opposition) หรือฝ่ายที่ไม่ใช่พวกเดียวกันกับฝ่ายรัฐบาล โดยให้สามารถเกิดขึ้น คงอยู่ และดำเนินการได้โดยอิสระ รวมทั้งการที่รัฐบาลยอมรับฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลด้วย ตราบใดที่การวิพากษ์วิจารณ์นั้นไม่ล่วงละเมิดผู้ใดจนขัดต่อกฎหมายที่ออกและประกาศใช้ตามวิถีทางประชาธิปไตย ตัวอย่างเช่น ในประเทศไทยมีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญกำหนดให้ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎรดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเป็นหลักในการตรวจสอบรัฐบาล เป็นต้น

ในอดีตที่ผ่านมา การประชุมคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา โดยเฉพาะการประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติในวาระที่สอง มติของคณะกรรมาธิการจะมาจากกรรมาธิการเสียงข้างมากซึ่งรายงานต่อสภา แต่กรรมาธิการเสียงข้างน้อยที่แพ้ในการลงมติต่อกรรมาธิการเสียงข้างมาก ยังคงมีสิทธิที่จะสงวนความเห็นที่แตกต่างไปจากกรรมาธิการเสียงข้างมาก เพื่อให้ที่ประชุมสภาพิจารณาอีกครั้งหนึ่งและตัดสินใจในขั้นสุดท้าย เพื่อดูว่าที่ประชุมจะเห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมากหรือกรรมาธิการเสียงข้างน้อย โดยขอสงวนของกรรมาธิการเสียงข้างน้อยดังกล่าวนี้จะเรียกว่า “สงวนความเห็น” ซึ่งถือเป็นสิทธิของฝ่ายเสียงข้างน้อย (minority right)[7] ประการหนึ่งที่ได้รับการยอมรับ

 

แนวทางการประกันสิทธิเสียงข้างน้อย[8]

แม้ว่าในปัจจุบัน จะปรากฏให้เห็นการยอมรับฟังเสียงข้างน้อยในบริบทต่างๆ แต่การเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่เป็นการปกครองโดยเสียงข้างมากนั้นมีความเป็นไปได้ที่เสียงข้างน้อยจะถูกทอดทิ้งหรือถูกครอบงำโดยเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งแนวทางที่จะช่วยป้องกันมิให้เกิดปัญหาดังกล่าว ได้แก่

1. การให้หลักประกันแก่สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานในด้านต่างๆ ของปัจเจกบุคคล โดยเฉพาะสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ทั้งการพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นๆ แก่บุคคลทุกคน รวมทั้งยังต้องมีกลไกของรัฐและสังคมคอยทำหน้าที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาด้านสิทธิเสรีภาพพื้นฐานในกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อที่พลเมืองทุกคนจะเข้าใจและตระหนักถึงสิทธิเสรีภาพของตน ตลอดจนสามารถยืนยันและอ้างสิทธิเหล่านั้นได้หากจำเป็น นอกจากนี้ ยังต้องมีช่องทางการแสดงออกอย่างเป็นประชาธิปไตยที่เหมาะสมและเข้าถึงง่าย เพื่อให้เสียงส่วนน้อยสามารถแสดงความคิดเห็นหรือข้อเรียกร้องของตนได้อย่างเปิดกว้าง เป็นอิสระและเท่าเทียมกัน

2. การให้หลักประกันในความจำเป็นขั้นพื้นฐานที่เป็นธรรม เช่น โอกาสด้านการศึกษา โอกาสด้านจ้างงานที่เท่าเทียม และค่าแรงและสวัสดิการที่สมเหตุสมผลสำหรับผู้มีรายได้น้อย รวมทั้งต้องมีการส่งเสริมกระบวนการประชาธิปไตยอย่างทั่วถึงในสังคม เพื่อให้แน่ใจว่าเสียงส่วนน้อยจะสามารถก่อรูปความคิดเห็นของตนอย่างอิสระโดยไม่ถูกครอบงำหรือจำกัดด้วยเงื่อนไข เช่น ความยากจน หรือการปราศจากความรู้และข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการมีความคิดเห็นที่ถูกต้อง หรือตระหนักรับรู้ถึงผลประโยชน์ที่แท้จริงของตน เพื่อที่จะสามารถมีส่วนร่วมในช่องทางประชาธิปไตยได้อย่างบังเกิดผล (Effective capacity for participation)

3. การมีกระบวนการเพื่อส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันบนพื้นฐานของฉันทามติ (Consensus) ขึ้นในสังคม ซึ่งสามารถทำได้สองทาง คือ ทางแรกจะต้องมีกลไกทางสังคมและวัฒนธรรมที่สร้างให้ประชาชนทุกคนมีฉันทามติ คือ ยอมรับกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดที่ชอบธรรมเพราะให้หลักประกันสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของตน (Constitutional patriotism) และทางที่สองจะต้องมีกลไกทางสังคมและวัฒนธรรมที่สร้างให้ประชาชนทุกคนมีฉันทามติในอุดมคติเรื่องความเป็นธรรม (Fairness) เพื่อที่เสียงส่วนน้อยจะสามารถอ้างถึงฉันทามติสองข้อนี้เป็นพื้นฐานเรียกร้องให้เสียงส่วนใหญ่ในสังคมรับฟังความคิดเห็นข้อเรียกร้องและมุมมองของตน ตลอดจนปฏิบัติต่อความคิดเห็น ข้อเรียกร้อง และมุมมองเหล่านี้ด้วยความรับผิดชอบ (Accountability)

 

หนังสือแนะนำให้อ่านเพิ่มเติม

คณิน บุญสุวรรณ. (2520). ศัพท์รัฐสภา. พิมพ์ครั้งแรก. กรุงเทพฯ : บพิธการพิมพ์.

ชัยอนันต์ สมุทวณิช. (2519). ประชาธิปไตย สังคมนิยม คอมมิวนิสต์ กับการเมืองไทย. พิมพ์ครั้งแรก. กรุงเทพฯ : พิฆเณศ.

วิสุทธิ์ โพธิแท่น. (2554). แนวคิดพื้นฐานของประชาธิปไตย. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา.

 

อ้างอิง

  1. วิสุทธิ์ โพธิแท่น, แนวคิดพื้นฐานของประชาธิปไตย, พิมพ์ครั้งที่ 3, กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา, 2554, หน้า 2 - 3.
  2. เรื่องเดียวกัน, หน้า 61.
  3. เรื่องเดียวกัน, หน้า 62.
  4. “Majority Rule/Minority Rights : Essential Principles”, [ออนไลน์] แหล่งข้อมูล : http://www.democracyweb.org/majority/principles.php, (สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2557)
  5. วิสุทธิ์ โพธิแท่น, แนวคิดพื้นฐานของประชาธิปไตย, หน้า 62 – 63.
  6. เพิ่งอ้าง.
  7. คณิน บุญสุวรรณ, ศัพท์รัฐสภา, พิมพ์ครั้งแรก, กรุงเทพฯ : บพิธการพิมพ์, 2520, หน้า 157 – 158.
  8. นิสารัชต์ นิลสว่าง, “เสียงข้างน้อย เสียงข้างมาก กับระบอบประชาธิปไตย”, [ออนไลน์] แหล่งข้อมูล : http://pr.prd.go.th/nan/ewt_news.php?nid=1674&filename=index, (สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2557)

บรรณานุกรม

คณิน บุญสุวรรณ. (2520). ศัพท์รัฐสภา. พิมพ์ครั้งแรก. กรุงเทพฯ : บพิธการพิมพ์.

ชัยอนันต์ สมุทวณิช. (2523). ประชาธิปไตย สังคมนิยม คอมมิวนิสต์ กับการเมืองไทย.กรุงเทพฯ : บรรณกิจ.

วิสุทธิ์ โพธิแท่น. (2554). แนวคิดพื้นฐานของประชาธิปไตย. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรี และราชกิจจานุเบกษา.

นิสารัชต์ นิลสว่าง. “เสียงข้างน้อย เสียงข้างมาก กับระบอบประชาธิปไตย”. http://pr.prd.go.th/nan/ewt_news.php?nid=1674&filename=index (สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2557)

“Majority Rule/Minority Rights : Essential Priciples” http://www.democracyweb.org/majority/principles.php (สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2557)