ผลต่างระหว่างรุ่นของ "16 ธันวาคม พ.ศ. 2481"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
(ไม่แสดง 1 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน)
บรรทัดที่ 7: บรรทัดที่ 7:
----
----


วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 เป็นวันที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งแรก ขณะนั้นท่านมียศเป็น นายพันเอก นับเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ของประเทศ นอกจากเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วก็ยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมอีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งก็เป็นตำแหน่งรัฐมนตรีที่เป็นอยู่ในรัฐบาลก่อน และยังเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเพิ่มอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย
วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 เป็นวันที่[[แปลก พิบูลสงคราม|จอมพล ป.พิบูลสงคราม]] ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น[[นายกรัฐมนตรี]]เป็นครั้งแรก ขณะนั้นท่านมียศเป็น นายพันเอก นับเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ของประเทศ นอกจากเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วก็ยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมอีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งก็เป็นตำแหน่งรัฐมนตรีที่เป็นอยู่ในรัฐบาลก่อน และยังเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเพิ่มอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย
การขึ้นเป็นนายกรัฐมนรีของหลวงพิบูลสงคราม ครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 และเมื่อ นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะนั้นยังใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ที่มีบทเฉพาะกาลให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภทที่ 2 ที่มาจากการแต่งตั้งครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้แทนราษฎรทั้งหมดของสภา
การขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของหลวงพิบูลสงคราม ครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลัง[[การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481]] และเมื่อ [[นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา]] ปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะนั้นยังใช้[[รัฐธรรมนูญ ฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475]] ที่มีบทเฉพาะกาลให้มี[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]] ประเภทที่ 2 ที่มาจากการแต่งตั้งครึ่งหนึ่งของจำนวน[[ผู้แทนราษฎร]]ทั้งหมดของสภา


เมื่อเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรกนี้ หลวงพิบูลสงครามได้นำคณะรัฐมนตรีเข้าแถลงนโยบายต่อสภา และขอความไว้วางใจเข้าบริหารราชการแผ่นดิน รัฐบาลของท่านได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎรด้วยคะแนนเสียง 111 เสียง ต่อ 2 เสียง ที่ไม่ไว้วางใจ
เมื่อเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรกนี้ หลวงพิบูลสงครามได้นำคณะรัฐมนตรีเข้าแถลงนโยบายต่อสภา และขอความไว้วางใจเข้า[[บริหารราชการแผ่นดิน]] [[รัฐบาล]]ของท่านได้รับความไว้วางใจจาก[[สภาผู้แทนราษฎร]]ด้วยคะแนนเสียง 111 เสียง ต่อ 2 เสียง ที่ไม่ไว้วางใจ
ครั้นเข้ามาเป็นหัวหน้ารัฐบาลได้ไม่นานก็ได้สั่งการให้จับกุมผู้ต้องหาคดีกบฏหลายคน ทั้งยังได้ดำเนินการผ่านทางสภาให้ตั้งศาลพิเศษขึ้นมาพิจารณาคดีกบฏ ที่มีผู้ต้องหาเป็นอดีตข้าราชการหลายคน
ครั้นเข้ามาเป็น[[หัวหน้ารัฐบาล]]ได้ไม่นานก็ได้สั่งการให้จับกุมผู้ต้องหาคดี[[กบฏ]]หลายคน ทั้งยังได้ดำเนินการผ่านทางสภาให้ตั้งศาลพิเศษขึ้นมาพิจารณาคดีกบฏ ที่มีผู้ต้องหาเป็นอดีตข้าราชการหลายคน


ทางด้านต่างประเทศ รัฐบาลของหลวงพิบูลสงครามได้ประกาศสงครามกับอินโดจีนของฝรั่งเศสในตอนต้นปี พ.ศ. 2484 เมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2484 สงครามครั้งนี้ถูกเรียกกันว่าสงครามอินโดจีน ถึงตอนนี้ นายกรัฐมนตรีก็ได้ยศทางทหารขึ้นเป็นนายพลตรีของกองทัพบก การรบกับฝรั่งเศสและอินโดจีนครั้งนั้น กองกำลังของไทยได้เข้าไปในพื้นที่
ทางด้านต่างประเทศ รัฐบาลของหลวงพิบูลสงครามได้ประกาศสงครามกับอินโดจีนของฝรั่งเศสในตอนต้นปี พ.ศ. 2484 เมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2484 สงครามครั้งนี้ถูกเรียกกันว่า[[สงครามอินโดจีน]] ถึงตอนนี้ นายกรัฐมนตรีก็ได้ยศทางทหารขึ้นเป็นนายพลตรีของกองทัพบก การรบกับฝรั่งเศสและอินโดจีนครั้งนั้น กองกำลังของไทยได้เข้าไปในพื้นที่ อินโดจีนถึงนครหลวงพระบาง และนครจำปาศักดิ์ เป็นต้น ต่อมาประเทศญี่ปุ่นได้เข้ามาไกล่เกลี่ย ผลของ[[การไกล่เกลี่ย]]ไทยต้องจ่ายค่าเสียหายให้ฝรั่งเศส และทางฝรั่งเศสก็ยอมยกดินแดนในเขตเขมรปัจจุบันบางแห่ง เช่น [[เมืองศรีโสภณ]] [[เมืองพระตะบอง]] คืนให้ไทย เสร็จสงครามอินโดจีน นายกรัฐมนตรีหลวงพิบูลสงครามก็ได้ยศข้ามขั้นจากพลตรีเป็นจอมพลของกองทัพไทย
อินโดจีนถึงนครหลวงพระบาง และนครจำปาศักดิ์ เป็นต้น ต่อมาประเทศญี่ปุ่นได้เข้ามา
ไกล่เกลี่ย ผลของการไกล่เกลี่ยไทยต้องจ่ายค่าเสียหายให้ฝรั่งเศส และทางฝรั่งเศสก็ยอมยกดินแดนในเขตเขมรปัจจุบันบางแห่ง เช่น เมืองศรีโสภณ เมืองพระตะบอง คืนให้ไทย เสร็จสงครามอินโดจีน นายกรัฐมนตรีหลวงพิบูลสงครามก็ได้ยศข้ามขั้นจากพลตรีเป็นจอมพลของกองทัพไทย
ในเวลานั้นความคิดเรื่องชาตินิยมมาแรง ได้มีการผ่านพระราชบัญญัติขนานนามประเทศจากชื่อ “สยาม” มาเป็น “ไทย” ในพ.ศ. 2482 ตอนนั้นอำนาจของนายกรัฐมนตรีก็มากขึ้นมาก สภาผู้แทนราษฎรก็เกรงใจ มีผู้ยกย่องท่านเป็น “ผู้นำ” จนทำให้นายกรัฐมนตรีเป็นที่เกรงกลัวของผู้คนทั้งหลาย
ในเวลานั้นความคิดเรื่องชาตินิยมมาแรง ได้มีการผ่านพระราชบัญญัติขนานนามประเทศจากชื่อ “สยาม” มาเป็น “ไทย” ในพ.ศ. 2482 ตอนนั้นอำนาจของนายกรัฐมนตรีก็มากขึ้นมาก สภาผู้แทนราษฎรก็เกรงใจ มีผู้ยกย่องท่านเป็น “ผู้นำ” จนทำให้นายกรัฐมนตรีเป็นที่เกรงกลัวของผู้คนทั้งหลาย
ตอนปลายปี พ.ศ. 2484 ในวันที่ 8 ธันวาคม กองทัพญี่ปุ่นได้ยกกำลังขึ้นบกในแผ่นดินไทยและขอเดินทางผ่านประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงครามก็ยินยอม แต่ที่ทำให้ไทยต้องเข้าไปสู่สงครามโลกครั้งที่สองด้วยก็เพราะในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 รัฐบาลไทยได้ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร รัฐบาลของท่านจึงเป็นรัฐบาลที่นำประเทศเข้าสงครามอีกครั้ง
ตอนปลายปี พ.ศ. 2484 ในวันที่ 8 ธันวาคม กองทัพญี่ปุ่นได้ยกกำลังขึ้นบกในแผ่นดินไทยและขอเดินทางผ่านประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงครามก็ยินยอม แต่ที่ทำให้ไทยต้องเข้าไปสู่[[สงครามโลกครั้งที่สอง]]ด้วยก็เพราะในวันที่ [[25 มกราคม พ.ศ. 2485]] รัฐบาลไทยได้ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร รัฐบาลของท่านจึงเป็นรัฐบาลที่นำประเทศเข้าสงครามอีกครั้ง
จอมพล ป.พิบูลสงคราม มีอำนาจมาก เป็นนายกรัฐมนตรีที่สภาผู้แทนราษฎรเกรงใจมาจนถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2487 สภาจึงได้กล้าขัดใจนายกรัฐมนตรีออกเสียงไม่รับร่างพระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนด 2 ฉบับที่รัฐบาลเสนอ ทำให้จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งสูงสุดทางทหารอยู่ด้วยต้องยอมลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2487
จอมพล ป.พิบูลสงคราม มีอำนาจมาก เป็นนายกรัฐมนตรีที่สภาผู้แทนราษฎรเกรงใจมาจนถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2487 สภาจึงได้กล้าขัดใจนายกรัฐมนตรีออกเสียงไม่รับร่าง[[พระราชบัญญัติ]]อนุมัติ[[พระราชกำหนด]] 2 ฉบับที่รัฐบาลเสนอ ทำให้จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งสูงสุดทางทหารอยู่ด้วยต้องยอมลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ [[24 กรกฎาคม พ.ศ. 2487]]


[[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2475-2500]]
[[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2475-2500]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 09:19, 15 ตุลาคม 2557

ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 เป็นวันที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งแรก ขณะนั้นท่านมียศเป็น นายพันเอก นับเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ของประเทศ นอกจากเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วก็ยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมอีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งก็เป็นตำแหน่งรัฐมนตรีที่เป็นอยู่ในรัฐบาลก่อน และยังเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเพิ่มอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย

การขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของหลวงพิบูลสงคราม ครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 และเมื่อ นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะนั้นยังใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ที่มีบทเฉพาะกาลให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภทที่ 2 ที่มาจากการแต่งตั้งครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้แทนราษฎรทั้งหมดของสภา

เมื่อเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรกนี้ หลวงพิบูลสงครามได้นำคณะรัฐมนตรีเข้าแถลงนโยบายต่อสภา และขอความไว้วางใจเข้าบริหารราชการแผ่นดิน รัฐบาลของท่านได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎรด้วยคะแนนเสียง 111 เสียง ต่อ 2 เสียง ที่ไม่ไว้วางใจ

ครั้นเข้ามาเป็นหัวหน้ารัฐบาลได้ไม่นานก็ได้สั่งการให้จับกุมผู้ต้องหาคดีกบฏหลายคน ทั้งยังได้ดำเนินการผ่านทางสภาให้ตั้งศาลพิเศษขึ้นมาพิจารณาคดีกบฏ ที่มีผู้ต้องหาเป็นอดีตข้าราชการหลายคน

ทางด้านต่างประเทศ รัฐบาลของหลวงพิบูลสงครามได้ประกาศสงครามกับอินโดจีนของฝรั่งเศสในตอนต้นปี พ.ศ. 2484 เมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2484 สงครามครั้งนี้ถูกเรียกกันว่าสงครามอินโดจีน ถึงตอนนี้ นายกรัฐมนตรีก็ได้ยศทางทหารขึ้นเป็นนายพลตรีของกองทัพบก การรบกับฝรั่งเศสและอินโดจีนครั้งนั้น กองกำลังของไทยได้เข้าไปในพื้นที่ อินโดจีนถึงนครหลวงพระบาง และนครจำปาศักดิ์ เป็นต้น ต่อมาประเทศญี่ปุ่นได้เข้ามาไกล่เกลี่ย ผลของการไกล่เกลี่ยไทยต้องจ่ายค่าเสียหายให้ฝรั่งเศส และทางฝรั่งเศสก็ยอมยกดินแดนในเขตเขมรปัจจุบันบางแห่ง เช่น เมืองศรีโสภณ เมืองพระตะบอง คืนให้ไทย เสร็จสงครามอินโดจีน นายกรัฐมนตรีหลวงพิบูลสงครามก็ได้ยศข้ามขั้นจากพลตรีเป็นจอมพลของกองทัพไทย

ในเวลานั้นความคิดเรื่องชาตินิยมมาแรง ได้มีการผ่านพระราชบัญญัติขนานนามประเทศจากชื่อ “สยาม” มาเป็น “ไทย” ในพ.ศ. 2482 ตอนนั้นอำนาจของนายกรัฐมนตรีก็มากขึ้นมาก สภาผู้แทนราษฎรก็เกรงใจ มีผู้ยกย่องท่านเป็น “ผู้นำ” จนทำให้นายกรัฐมนตรีเป็นที่เกรงกลัวของผู้คนทั้งหลาย

ตอนปลายปี พ.ศ. 2484 ในวันที่ 8 ธันวาคม กองทัพญี่ปุ่นได้ยกกำลังขึ้นบกในแผ่นดินไทยและขอเดินทางผ่านประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงครามก็ยินยอม แต่ที่ทำให้ไทยต้องเข้าไปสู่สงครามโลกครั้งที่สองด้วยก็เพราะในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 รัฐบาลไทยได้ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร รัฐบาลของท่านจึงเป็นรัฐบาลที่นำประเทศเข้าสงครามอีกครั้ง

จอมพล ป.พิบูลสงคราม มีอำนาจมาก เป็นนายกรัฐมนตรีที่สภาผู้แทนราษฎรเกรงใจมาจนถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2487 สภาจึงได้กล้าขัดใจนายกรัฐมนตรีออกเสียงไม่รับร่างพระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนด 2 ฉบับที่รัฐบาลเสนอ ทำให้จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งสูงสุดทางทหารอยู่ด้วยต้องยอมลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2487