ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การก่อตั้งพรรคการเมืองโดยสมาชิกรัฐสภา"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
(ไม่แสดง 2 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้ 2 คน)
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:
'''ผู้เรียบเรียง''' นครินทร์ เมฆไตรรัตน์
'''ผู้เรียบเรียง''' รองศาสตราจารย์ ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์


----
----
บรรทัดที่ 9: บรรทัดที่ 9:
== การก่อตั้งพรรคการเมืองโดยสมาชิกรัฐสภา ==
== การก่อตั้งพรรคการเมืองโดยสมาชิกรัฐสภา ==


การก่อตั้งพรรคการเมืองโดยสมาชิกรัฐสภา เป็นการเริ่มต้นจากการที่ได้มีการรวมตัวกันของผู้แทนราษฎรขึ้นเป็นกลุ่มในรัฐสภา เพื่อสร้างอำนาจต่อรองในการปฏิบัติหน้าที่ในรัฐสภา นอกจากนี้ยังเป็นผลสืบเนื่องมาจากการขยายจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งมากขึ้น ทำให้กลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งอยู่ในรัฐสภา จำเป็นต้องมีการรวมตัวกันเพื่อสนับสนุนหรือช่วยเหลือกันในการเลือกตั้ง เพื่อที่จะได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาสู่รัฐสภาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  จนในที่สุดได้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้น     
การก่อตั้ง[[พรรคการเมือง]]โดยสมาชิกรัฐสภา เป็นการเริ่มต้นจากการที่ได้มีการรวมตัวกันของ[[ผู้แทนราษฎร]]ขึ้นเป็นกลุ่มในรัฐสภา เพื่อสร้าง[[อำนาจต่อรอง]]ในการปฏิบัติหน้าที่ใน[[รัฐสภา]] นอกจากนี้ยังเป็นผลสืบเนื่องมาจากการขยายจำนวน[[ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง]]มากขึ้น ทำให้กลุ่ม[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]]ซึ่งอยู่ในรัฐสภา จำเป็นต้องมีการรวมตัวกันเพื่อสนับสนุนหรือช่วยเหลือกันในการเลือกตั้ง เพื่อที่จะได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาสู่รัฐสภาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  จนในที่สุดได้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้น     
   
   
ศาสตราจารย์มอริส  ดูแวร์เย (Maurice Duverger) นักวิชาการชาวฝรั่งเศส  เชื่อว่าพรรคการเมืองเริ่มต้นในรัฐสภาโดยบรรดาผู้แทนราษฎรได้มีการรวบรวมกันเป็นกลุ่มในสภาก่อน  ซึ่งโดยทั่วไปมักเป็นการรวมกลุ่มโดยการยึดถือเอามาตุภูมิหรือถิ่นฐานเดิมแห่งเดียวกันเป็นหลักในการรวมกลุ่ม  โดยผู้แทนเหล่านี้ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกันจนกลายเป็นพวกที่มีความเห็นคล้ายคลึงกัน ก่อนที่จะเป็นการรวมกันโดยยึดอุดมการณ์  จากนั้นจึงรวมเอาแนวความคิดที่เหมือนกันของสมาชิกรัฐสภา จัดตั้งเป็นกลุ่มในสภา  เช่น  กลุ่มซ้าย  กลุ่มกลาง  กลุ่มขวา  และกลุ่มอิสระ เป็นต้น  โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มตน   
ศาสตราจารย์มอริส  ดูแวร์เย (Maurice Duverger) นักวิชาการชาวฝรั่งเศส  เชื่อว่าพรรคการเมืองเริ่มต้นในรัฐสภาโดยบรรดาผู้แทนราษฎรได้มีการรวบรวมกันเป็นกลุ่มในสภาก่อน  ซึ่งโดยทั่วไปมักเป็นการรวมกลุ่มโดยการยึดถือเอามาตุภูมิหรือถิ่นฐานเดิมแห่งเดียวกันเป็นหลักในการรวมกลุ่ม  โดยผู้แทนเหล่านี้ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกันจนกลายเป็นพวกที่มีความเห็นคล้ายคลึงกัน ก่อนที่จะเป็นการรวมกันโดยยึดอุดมการณ์  จากนั้นจึงรวมเอาแนวความคิดที่เหมือนกันของ[[สมาชิกรัฐสภา]] จัดตั้งเป็นกลุ่มในสภา  เช่น  กลุ่มซ้าย  กลุ่มกลาง  กลุ่มขวา  และกลุ่มอิสระ เป็นต้น  โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มตน   


ทั้งนี้ ในยุคแรกเริ่มนั้น กลุ่มการเมืองต่างๆ ที่มีอำนาจในทางการปกครองยังไม่ได้ใช้ชื่อว่า “Party” หรือ “พรรค” แต่มักใช้ชื่อเรียกเป็นกลุ่มต่างๆ เช่น “Club” ซึ่งหมายถึง ชมรม หรือ สมาคม ตัวอย่างในกรณีนี้เห็นได้ชัดในรัฐสภาของฝรั่งเศส ช่วงปี ค.ศ.1789  เช่น  กลุ่มบรีตัน (Breton Club) ซึ่งสมาชิกในกลุ่มนี้ประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนที่มาจากแถบเบรอตาน (Bretagne) ทั้งยังมีกลุ่มผู้แทนที่อยู่ใกล้เคียงกัน ได้ร่วมกันเช่าร้านกาแฟเป็นที่ชุมนุมกันและจัดให้มีการประชุมเพื่อต่อสู้ในสภาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของท้องถิ่น  และปัญหานโยบายพื้นฐานของชาติเป็นประจำ  จากนั้นในเวลาต่อมาเมื่อมีการย้ายที่ตั้งรัฐสภาจากพระราชวังแวร์ซายส์  ไปยังกรุงปารีส สมาชิกกลุ่มนี้ได้ไปเช่าโรงอาหารของสำนักนางชีเป็นที่ทำการ และได้พัฒนากลายเป็นสมาคมทางการเมืองที่มีชื่อเสียงโด่งดังในชื่อของ กลุ่มจาโคแบง (Jacobins Club) และด้วยขบวนการเดียวกันนี้ ได้ก่อให้เกิดกลุ่ม จิรองแด็ง (Girondins Club)ที่มีชื่อเสียงในเวลาต่อมา  
ทั้งนี้ ในยุคแรกเริ่มนั้น กลุ่มการเมืองต่างๆ ที่มีอำนาจในทางการปกครองยังไม่ได้ใช้ชื่อว่า “Party” หรือ “พรรค” แต่มักใช้ชื่อเรียกเป็นกลุ่มต่างๆ เช่น “Club” ซึ่งหมายถึง ชมรม หรือ สมาคม ตัวอย่างในกรณีนี้เห็นได้ชัดในรัฐสภาของฝรั่งเศส ช่วงปี ค.ศ.1789  เช่น  กลุ่มบรีตัน (Breton Club) ซึ่งสมาชิกในกลุ่มนี้ประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนที่มาจากแถบเบรอตาน (Bretagne) ทั้งยังมีกลุ่มผู้แทนที่อยู่ใกล้เคียงกัน ได้ร่วมกันเช่าร้านกาแฟเป็นที่ชุมนุมกันและจัดให้มีการประชุมเพื่อต่อสู้ในสภาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของท้องถิ่น  และปัญหานโยบายพื้นฐานของชาติเป็นประจำ  จากนั้นในเวลาต่อมาเมื่อมีการย้ายที่ตั้งรัฐสภาจากพระราชวังแวร์ซายส์  ไปยังกรุงปารีส สมาชิกกลุ่มนี้ได้ไปเช่าโรงอาหารของสำนักนางชีเป็นที่ทำการ และได้พัฒนากลายเป็นสมาคมทางการเมืองที่มีชื่อเสียงโด่งดังในชื่อของ กลุ่มจาโคแบง (Jacobins Club) และด้วยขบวนการเดียวกันนี้ ได้ก่อให้เกิดกลุ่ม จิรองแด็ง (Girondins Club)ที่มีชื่อเสียงในเวลาต่อมา  
บรรทัดที่ 17: บรรทัดที่ 17:
ในกรณีของประเทศอังกฤษ ก็มีการจัดตั้งสโมสรการเมืองและกลุ่มพวกขุนนางเกิดขึ้นมากมายในศตวรรษที่ 19 พรรคอนุรักษ์นิยม (The Conservative Party)  อังกฤษ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีความเป็นมายาวนาน เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างสำคัญของการเกิดพรรคการเมืองโดยสมาชิกรัฐสภา  โดยเริ่มจากการก่อตัวเป็นกลุ่มทอรี่ (Tory) ซึ่งเป็นกลุ่มการเมืองฝ่ายขวาในรัฐสภาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 จนถึงทศวรรษที่ 1870 เมื่อมีการจัดตั้งพรรคอนุรักษ์นิยมขึ้น อันเนื่องมาจากการขยายสิทธิเลือกตั้ง ประกอบกับเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเข้ามาเป็นสมาชิกรัฐสภาและมีจำนวนมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลหรือสามารถกดดันให้รัฐบาลรับนโยบายหรือความเห็นชอบไปปฏิบัติ จึงจำเป็นที่พรรคการเมืองต้องหาเสียงสนับสนุนจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งมีจำนวนมากขึ้น เพื่อให้สมาชิกของพรรคได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด พัฒนาการต่อมาของพรรคการเมืองแบบนี้จึงขยายโครงสร้างออกไปนอกรัฐสภามากยิ่งขึ้น จนนำไปสู่การตั้งสาขาพรรคตามท้องถิ่นหรือเขตเลือกตั้งต่างๆ   
ในกรณีของประเทศอังกฤษ ก็มีการจัดตั้งสโมสรการเมืองและกลุ่มพวกขุนนางเกิดขึ้นมากมายในศตวรรษที่ 19 พรรคอนุรักษ์นิยม (The Conservative Party)  อังกฤษ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีความเป็นมายาวนาน เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างสำคัญของการเกิดพรรคการเมืองโดยสมาชิกรัฐสภา  โดยเริ่มจากการก่อตัวเป็นกลุ่มทอรี่ (Tory) ซึ่งเป็นกลุ่มการเมืองฝ่ายขวาในรัฐสภาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 จนถึงทศวรรษที่ 1870 เมื่อมีการจัดตั้งพรรคอนุรักษ์นิยมขึ้น อันเนื่องมาจากการขยายสิทธิเลือกตั้ง ประกอบกับเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเข้ามาเป็นสมาชิกรัฐสภาและมีจำนวนมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลหรือสามารถกดดันให้รัฐบาลรับนโยบายหรือความเห็นชอบไปปฏิบัติ จึงจำเป็นที่พรรคการเมืองต้องหาเสียงสนับสนุนจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งมีจำนวนมากขึ้น เพื่อให้สมาชิกของพรรคได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด พัฒนาการต่อมาของพรรคการเมืองแบบนี้จึงขยายโครงสร้างออกไปนอกรัฐสภามากยิ่งขึ้น จนนำไปสู่การตั้งสาขาพรรคตามท้องถิ่นหรือเขตเลือกตั้งต่างๆ   


กรณีของไทยนั้น ตัวอย่างพรรคการเมืองที่มีลักษณะของการก่อตั้งจากความร่วมมือหรือรวมกลุ่มกันของสมาชิกรัฐสภา มักมีลักษณะของการที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแยกตัวออกมาจากพรรคการเมืองเดิมแล้วมาจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ เช่น พรรคประชาชน ซึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อลงสมัครในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 เป็นการแยกตัวของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร “กลุ่ม 10 มกรา” ที่ออกมาจากพรรคประชาธิปัตย์ โดยมี นายเฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์ เป็นหัวหน้าพรรค และ นายวีระ มุกสิกพงศ์ เป็นเลขาธิการพรรค ร่วมกับสมาชิกคนอื่นๆ ได้แก่ พล.อ.หาญ ลีลานนท์ นายจาตุรนต์ ฉายแสง และนายเด่น โต๊ะมีนา  เป็นต้น   
กรณีของไทยนั้น ตัวอย่างพรรคการเมืองที่มีลักษณะของการก่อตั้งจากความร่วมมือหรือรวมกลุ่มกันของสมาชิกรัฐสภา มักมีลักษณะของการที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแยกตัวออกมาจากพรรคการเมืองเดิมแล้วมาจัดตั้งพรรค[[การเมืองใหม่]] เช่น พรรค[[ประชาชน]] ซึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อลงสมัครในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 เป็นการแยกตัวของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร “กลุ่ม 10 มกรา” ที่ออกมาจากพรรค[[ประชาธิปัตย์]] โดยมี นายเฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์ เป็น[[หัวหน้าพรรค]] และ นายวีระ มุกสิกพงศ์ เป็น[[เลขาธิการพรรค]] ร่วมกับสมาชิกคนอื่นๆ ได้แก่ พล.อ.หาญ ลีลานนท์ นายจาตุรนต์ ฉายแสง และนายเด่น โต๊ะมีนา  เป็นต้น   


== ที่มา ==
== ที่มา ==
บรรทัดที่ 32: บรรทัดที่ 32:


[[หมวดหมู่:แนวคิดและการก่อตั้งพรรคการเมือง]]
[[หมวดหมู่:แนวคิดและการก่อตั้งพรรคการเมือง]]
[[หมวดหมู่:รองศาสตราจารย์ ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 16:09, 13 ตุลาคม 2557

ผู้เรียบเรียง รองศาสตราจารย์ ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


การก่อตั้งพรรคการเมืองโดยสมาชิกรัฐสภา

การก่อตั้งพรรคการเมืองโดยสมาชิกรัฐสภา เป็นการเริ่มต้นจากการที่ได้มีการรวมตัวกันของผู้แทนราษฎรขึ้นเป็นกลุ่มในรัฐสภา เพื่อสร้างอำนาจต่อรองในการปฏิบัติหน้าที่ในรัฐสภา นอกจากนี้ยังเป็นผลสืบเนื่องมาจากการขยายจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งมากขึ้น ทำให้กลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งอยู่ในรัฐสภา จำเป็นต้องมีการรวมตัวกันเพื่อสนับสนุนหรือช่วยเหลือกันในการเลือกตั้ง เพื่อที่จะได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาสู่รัฐสภาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนในที่สุดได้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้น

ศาสตราจารย์มอริส ดูแวร์เย (Maurice Duverger) นักวิชาการชาวฝรั่งเศส เชื่อว่าพรรคการเมืองเริ่มต้นในรัฐสภาโดยบรรดาผู้แทนราษฎรได้มีการรวบรวมกันเป็นกลุ่มในสภาก่อน ซึ่งโดยทั่วไปมักเป็นการรวมกลุ่มโดยการยึดถือเอามาตุภูมิหรือถิ่นฐานเดิมแห่งเดียวกันเป็นหลักในการรวมกลุ่ม โดยผู้แทนเหล่านี้ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกันจนกลายเป็นพวกที่มีความเห็นคล้ายคลึงกัน ก่อนที่จะเป็นการรวมกันโดยยึดอุดมการณ์ จากนั้นจึงรวมเอาแนวความคิดที่เหมือนกันของสมาชิกรัฐสภา จัดตั้งเป็นกลุ่มในสภา เช่น กลุ่มซ้าย กลุ่มกลาง กลุ่มขวา และกลุ่มอิสระ เป็นต้น โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มตน

ทั้งนี้ ในยุคแรกเริ่มนั้น กลุ่มการเมืองต่างๆ ที่มีอำนาจในทางการปกครองยังไม่ได้ใช้ชื่อว่า “Party” หรือ “พรรค” แต่มักใช้ชื่อเรียกเป็นกลุ่มต่างๆ เช่น “Club” ซึ่งหมายถึง ชมรม หรือ สมาคม ตัวอย่างในกรณีนี้เห็นได้ชัดในรัฐสภาของฝรั่งเศส ช่วงปี ค.ศ.1789 เช่น กลุ่มบรีตัน (Breton Club) ซึ่งสมาชิกในกลุ่มนี้ประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนที่มาจากแถบเบรอตาน (Bretagne) ทั้งยังมีกลุ่มผู้แทนที่อยู่ใกล้เคียงกัน ได้ร่วมกันเช่าร้านกาแฟเป็นที่ชุมนุมกันและจัดให้มีการประชุมเพื่อต่อสู้ในสภาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของท้องถิ่น และปัญหานโยบายพื้นฐานของชาติเป็นประจำ จากนั้นในเวลาต่อมาเมื่อมีการย้ายที่ตั้งรัฐสภาจากพระราชวังแวร์ซายส์ ไปยังกรุงปารีส สมาชิกกลุ่มนี้ได้ไปเช่าโรงอาหารของสำนักนางชีเป็นที่ทำการ และได้พัฒนากลายเป็นสมาคมทางการเมืองที่มีชื่อเสียงโด่งดังในชื่อของ กลุ่มจาโคแบง (Jacobins Club) และด้วยขบวนการเดียวกันนี้ ได้ก่อให้เกิดกลุ่ม จิรองแด็ง (Girondins Club)ที่มีชื่อเสียงในเวลาต่อมา

ในกรณีของประเทศอังกฤษ ก็มีการจัดตั้งสโมสรการเมืองและกลุ่มพวกขุนนางเกิดขึ้นมากมายในศตวรรษที่ 19 พรรคอนุรักษ์นิยม (The Conservative Party) อังกฤษ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีความเป็นมายาวนาน เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างสำคัญของการเกิดพรรคการเมืองโดยสมาชิกรัฐสภา โดยเริ่มจากการก่อตัวเป็นกลุ่มทอรี่ (Tory) ซึ่งเป็นกลุ่มการเมืองฝ่ายขวาในรัฐสภาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 จนถึงทศวรรษที่ 1870 เมื่อมีการจัดตั้งพรรคอนุรักษ์นิยมขึ้น อันเนื่องมาจากการขยายสิทธิเลือกตั้ง ประกอบกับเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเข้ามาเป็นสมาชิกรัฐสภาและมีจำนวนมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลหรือสามารถกดดันให้รัฐบาลรับนโยบายหรือความเห็นชอบไปปฏิบัติ จึงจำเป็นที่พรรคการเมืองต้องหาเสียงสนับสนุนจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งมีจำนวนมากขึ้น เพื่อให้สมาชิกของพรรคได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด พัฒนาการต่อมาของพรรคการเมืองแบบนี้จึงขยายโครงสร้างออกไปนอกรัฐสภามากยิ่งขึ้น จนนำไปสู่การตั้งสาขาพรรคตามท้องถิ่นหรือเขตเลือกตั้งต่างๆ

กรณีของไทยนั้น ตัวอย่างพรรคการเมืองที่มีลักษณะของการก่อตั้งจากความร่วมมือหรือรวมกลุ่มกันของสมาชิกรัฐสภา มักมีลักษณะของการที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแยกตัวออกมาจากพรรคการเมืองเดิมแล้วมาจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ เช่น พรรคประชาชน ซึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อลงสมัครในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 เป็นการแยกตัวของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร “กลุ่ม 10 มกรา” ที่ออกมาจากพรรคประชาธิปัตย์ โดยมี นายเฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์ เป็นหัวหน้าพรรค และ นายวีระ มุกสิกพงศ์ เป็นเลขาธิการพรรค ร่วมกับสมาชิกคนอื่นๆ ได้แก่ พล.อ.หาญ ลีลานนท์ นายจาตุรนต์ ฉายแสง และนายเด่น โต๊ะมีนา เป็นต้น

ที่มา

โกสินทร์ วงศ์สุรวัฒน์ และ นรนิติ เศรษฐบุตร (บรรณาธิการ).พรรคการเมือง.กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2521 หน้า 4.

ตุลภาค ประเสริฐศิลป์.การก่อตั้งและพัฒนาการของพรรคพลังธรรม.วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต(การปกครอง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2537 หน้า 67.

พฤทธิสาณ ชุมพล.ประชาธิปไตยแบบรัฐสภาในอังกฤษ.กรุงเทพฯ : ศูนย์ยุโรปศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2544 หน้า 158-159.

วิทยา นภาศิริกุลกิจ และ สุรพล ราชมัณฑารักษ์.พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์.กรุงเทพฯ :มหาวิทยาลัยรามคำแหง,2544 หน้า 29 – 30 และ 52.

อานนท์ อาภาภิรม.รัฐศาสตร์เบื้องต้น.กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์,2545 หน้า 88.