Racial qualities ใน Democracy in Siam ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
racial qualities ใน Democracy in Siam ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
เรียบเรียง : ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร
racial qualities เป็นคำที่ปรากฏ Democracy of Siam หนึ่งในพระราชบันทึกของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในการเตรียมตัวสำหรับการให้สยามมีการปกครองที่พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและมีการเลือกตั้งเป็นประชาธิปไตย [1] ใจความสำคัญของ “Democracy in Siam” ในส่วนแรกคือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯทรงต้องการแจ้งแก่คณะองคมนตรีว่า พระองค์ทรงตระหนักดีว่า ได้มีการถกเถียงกันมานานแล้วในหมู่ผู้มีการศึกษาว่า การปกครองแบบประชาธิปไตยเหมาะสมกับคนไทยหรือไม่ และในรัชสมัยของพระองค์ การถกเถียงดังกล่าวก็ขยายตัวไปยังกลุ่มผู้ที่พอมีการศึกษาบ้าง ดังที่ปรากฏให้เห็นแพร่หลายถึงความเห็นต่างๆตามสื่อสิ่งพิมพ์ แต่ความเห็นโดยทั่วไปดูจะสอดคล้องต้องกันว่า ณ ขณะนี้ ประเทศไทยยังไม่พร้อมที่จะมีการปกครองแบบประชาธิปไตย แต่ถ้าประเทศไทยจะมีการปกครองแบบประชาธิปไตย ก็อาจต้องใช้เวลาอีกนานมาก ขณะเดียวกัน มีบางคนที่ยืนยันว่าการปกครองระบบรัฐสภาไม่มีทางที่จะใช้ได้กับคนไทย แต่จะประสบความสำเร็จใช้ได้ดีก็แต่กับเฉพาะชาวตะวันตกเท่านั้น (Anglo-Saxons) พระองค์ทรงตระหนักดีว่า เงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้การปกครองแบบประชาธิปไตยประสบความสำเร็จได้จริงๆ อยู่ที่คุณภาพของประชาชนเป็นสำคัญ จะต้องมีการพัฒนาประชาชนอย่างมาก ขณะเดียวกัน อาจจะต้องรวมไปถึงเรื่องเงื่อนไขคุณสมบัติทางเชื้อชาติ (racial qualities) ด้วยก็เป็นไปได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติทางเชื้อชาติที่พวกแองโกล-แซกสันมี ถึงจะทำให้สถาบันต่างๆในการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นประโยชน์แก่ประชาชนโดยรวมได้ และเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงจริงๆ (really and truly democratic) ไม่เพียงแต่เป็นประชาธิปไตยแค่เพียงรูปแบบ เพราะประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นในหลายประเทศเป็นประชาธิปไตยก็แต่เพียงรูปแบบเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติไม่เป็น [2]
คำว่า qualities ที่แปลว่าคุณสมบัติที่โดดเด่นที่ทำให้แตกต่าง ที่เชื่อมโยงกับคำว่า race (เชื้อชาติ) และคำว่า racial qualities ที่แปลว่า คุณสมบัติที่โดดเด่นทางเชื้อชาติที่ทำให้คนในเชื้อชาติหนึ่งแตกต่างจากคนเชื้อชาติอื่น [3] สามารถพบได้ในบทความทางมานุษยวิทยาในช่วงศตวรรษที่สิบเก้าที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการทางมานุษยวิทยาราชสถาบันมานุษยวิทยา (Royal Institute of Anthropology) [4] ในบทความทางมานุษยวิทยาดังกล่าว ผู้เขียนบทความได้เขียนถึง qualities ของ race ซึ่งตรงกับคำว่า racial qualities ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯทรงใช้ใน “Democracy in Siam” ในบทความทางมานุษยวิทยาดังกล่าว และพบว่า ผู้เขียนบทความนั้นมีข้อสงสัยในความแตกต่างระหว่างอารยธรรมความเจริญของสังคมอังกฤษและสังคมไอร์แลนด์ โดยผู้เขียนบทความได้ชี้เห็นว่า สังคมทั้งสองเคยประสบความสำเร็จในการอุตสาหกรรมผลิตสินค้าท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานคน แต่หลังจากที่เกิดเครื่องจักรไอน้ำ อุตสาหกรรมท้องถิ่นของไอร์แลนด์กลับล่มสลายปพร้อมกับการเกิดปฏิวัติอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่ ในขณะที่อุตสาหกรรมพื้นบ้านของอังกฤษสามารถปรับตัวและยังรักษาอุตสาหกรรมท้องถิ่นที่อาศัยแรงงานคนอยู่ ผู้เขียนบทความได้อธิบายถึงลักษณะอุปนิสัยและวิถีชีวิตที่แตกต่างกันระหว่างคนอังกฤษกับคนไอริช และตั้งคำถามว่า ความสำเร็จและความล้มเหลวที่แตกต่างกันนี้มาจากสิ่งที่เรียกว่า คุณสมบัติทางเชื้อชาติ racial qualities หรือไม่ ? [5] คำอธิบายความแตกต่างของความเจริญหรืออารยธรรมระหว่างสังคมต่างๆโดยอิงอยู่กับสาเหตุเรื่อง race หรือ racial qualities (คุณสมบัติทางเชื้อชาติ-ชาติพันธุ์) นี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่สิบห้าที่ประเทศในยุโรปตะวันตกเริ่มเดินทางออกสำรวจดินแดนต่างๆที่พวกเขายังไม่เคยไป และพบว่า มีมนุษย์ที่มีผิวพรรณรูปร่างหน้าตาตลอดจนวิถีชีวิตที่แตกต่างไปจากพวกเขา ทำให้ชาวตะวันตกเกิดความคิดว่าสามารถแบ่งมนุษย์ออกเป็นเชื้อชาติที่มีลักษณะโดดเด่นแตกต่างกัน และเชื่อว่ามนุษย์ที่มีความแตกต่างทางเชื้อชาติที่ประจักษ์ได้ด้วยสายตาอันได้แก่ รูปร่างหน้าตาผิวพรรณนั้น ไม่เพียงแต่จะมีความแตกต่างทางชีวภาพเท่านั้น แต่ยังมีพฤติกรรมที่แตกต่างกันไปด้วย โดยพฤติกรรมที่แตกต่างกันนี้เป็นผลมาจากเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกันนั่นเอง พูดง่ายๆคือ พฤติกรรมที่แตกต่างกันนั้นสืบสานผ่านทางชีวพันธุกรรม และเป็นอะไรที่ติดอยู่ในสายพันธุ์ของมนุษย์เชื้อชาติต่างๆที่ไม่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย [6]
ความคิดความเชื่อเรื่อง คุณสมบัติทางเชื้อชาติ racial qualities ได้สืบสานและพัฒนาเรื่อยมาจนถึงศตวรรษที่สิบเก้า [7] อันเป็นช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษระหว่าง พ.ศ. 2448-2457 และที่ฝรั่งเศสระหว่าง พ.ศ. 2463-2464 ผู้เขียนสันนิษฐานว่า การที่พระองค์ทรงสนพระทัยในเรื่อง racial qualities ที่ปรากฏอยู่ในบทความวิชาการทางด้านมานุษยวิทยา ก็เพราะว่า เมื่อพระองค์ได้เสด็จไปศึกษาต่อที่อังกฤษอันเป็นประเทศที่เจริญในระดับต้นๆของโลก ณ เวลานั้น พระองค์คงทรงเห็นความแตกต่างอย่างยิ่งระหว่างสังคมอังกฤษและสังคมไทย ที่ระดับความเจริญและการพัฒนาแตกต่างกันอย่างยิ่งยวด ขณะเดียวกัน นอกเหนือไปจากรูปร่างหน้าตาผิวพรรณแล้ว วิถีชีวิตความคิดอ่านของผู้คนก็แตกต่างกัน ดังนั้น คำถามสำคัญที่อาจเกิดขึ้นก็คือ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้สังคมหนึ่งมีเจริญที่แตกต่างกันจากอีกสังคมหนึ่งขนาดนั้น? และโดยรวมๆคือ ความแตกต่างระหว่างสังคมตะวันตกกับสังคมตะวันออก ผู้เขียนสันนิษฐานว่า พระองค์อาจจะรับแนวคิดเกี่ยวกับ race qualities มาจากพวกนักมานุษยวิทยาอังกฤษในขณะนั้น โดยในหนังสือส่วนพระองค์ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสยาม ได้แก่ Siamese State Ceremonies [8] (1931/พ.ศ. 2474) โดยผู้แต่งคือ H G Quaritch Wales นักมานุษยวิทยาชาวอังกฤษ [9] หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสือด้านการเมืองการปกครองที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวให้ความสนพระราชหฤทัย [10] หนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึงแนวคิดเกี่ยวกับควาสัมพันธ์ระหว่างเชื้อชาติกับวัฒนธรรมของ Sir James Fraser
นักมานุษยวิทยาสังคมชาวสก๊อต (1854-1941/ พ.ศ. 2397- 2484) [11] และกล่าวถึงคุณสมบัติทางเชื้อชาติของคนสยามที่ไม่เหมาะกับการปกครองระบบรัฐสภาแลประชาธิปไตย โดยยกข้อความของ Graham เกี่ยวกับคุณลักษณะของคนเชื้อชาติสยามว่า “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของพระมหากษัตริย์….สัญชาตญาณทางพันธุกรรมของคนเชื้อชาตินี้ได้ผลักดันให้พวกเขาเชื่อฟังโดยไม่ตั้งคำถามและปราศจากซึ่งความคับข้องใจ ไม่ว่าการเชื่อฟังดังกล่าวจะนำมาซึ่งความทุกข์ยากเพียงใดก็ตาม” [12] ในปัจจุบัน แม้ว่าการอธิบายพฤติกรรม-ความสำเร็จและความล้มเหลวของคนในประเทศต่างๆด้วยเรื่องคุณสมบัติทางเชื้อชาติ racial qualities จะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในฐานะที่เป็นคำอธิบายที่นำไปสู่การเกิดอคติทางเชื้อชาติ ตลอดจนการเหยียดหรือรังเกียจผิวหรือเชื้อชาติ (racism) เช่น การเหยียดคนผิวดำ การรังเกียจคนเชื้อสายยิว คนจีน คนผิวสี นำมาซึ่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (genocide) และการยกย่องคนผิวขาวว่ามีความประเสริฐสูงสุด (white supremacy) [13] แต่ขณะเดียวกัน ก็มีการศึกษาวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า racial qualities เป็นปัจจัยสำคัญในการทำความเข้าใจปัญหาและความล้มเหลวในทางการเมืองการปกครอง [14] และความสำเร็จและความล้มเหลวของระบบรัฐสภาและประชาธิปไตยของไทยอาจจะเกี่ยวข้องกับปัจจัย racial qualities และอาจจะต้องอาศัยเวลาอีกนานในการพัฒนาคุณภาพของคนไทยอย่างที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงตั้งข้อสังเกตไว้
อ้างอิง
[1] Democracy in Siam และ The Problems in Siam เป็นพระราชบันทึกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นเอกสาร เก็บรักษาไว้ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติใน “เอกสาร สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ 42/67 (เสนาบดี/ปรึกษาร่างพระราชบัญญัติองคมนตรี)” แม้ว่าจะไม่ปรากฎนามผู้เขียนและไม่ปรากฎวันเดือนปีที่เขียน แต่เบนจามิน แบตสัน (Benjamin A. Batson) ผู้ค้นพบ เห็นว่า จากหลักฐานแวดล้อมต่างๆ เป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะเอกสารดังกล่าวจะเป็นพระราชบันทึกของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่เขียนขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 7 – 10 มิถุนายน พ.ศ. 2470 ผู้สนใจดูพยานแวดล้อมและเหตุผลในรายละเอียดที่ทำให้บัตสันเห็นว่า “Democracy in Siam” เป็นพระราชบันทึกของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สามารถศึกษาได้จากหนังสือ Siam’s Political Future: Documents from the End of the Absolute Monarchy โดยมีเบนจามิน บัตสินเป็นบรรณาธิการและรวบรวม และเขียนคำแนะนำ, หน้า 42-47)
[2] “It is even possible that there must also be certain racial qualities (which the Anglo-Saxons possess to a high degree) if democratic institutions are to be really beneficial to the people as a whole and to be really and truly democratic, not only in form, but also in fact.” ดู แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบ “ประชาธิปไตย” ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2469-2475), สนธิ เตชานันท์ ผู้รวบรวม, สถาบันพระปกเกล้า จัดพิมพ์ในงานพิธีเปิดพิพิธภัณฑ๋พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว วันที่ 7 ธันวาคม พุทธศักราช 2545, หน้า 266-267.
[3] Quality หมายถึง a characteristic or feature of someone or something และ a characteristic or feature of something, that makes it different from other things ดูความหมายของ quality ใน B2 ใน Cambridge Dictionary, https://dictionary.cambridge.org/dictionary/english/quality
[4] J. Gould Avery, “Racial Characteristics, as Related to Civilisation,” The Journal of the Anthropological Institute of Great Britain and Ireland, 1873, Vol. 2 (1873), pp. 63-67; J. Gould Avery, “Civilisation; with Especial Reference to the So-Called Celtic Inhabitants of Ireland,” The Journal of the Anthropological Society of London, 1869, Vol. 7 (1869), pp. ccxxi-ccxxxvii.
[5] เพิ่งอ้าง.
[6] ดู race, human https://www.britannica.com/topic/race-human
[7] เพิ่งอ้าง.
[8] Horace Geoffrey Quaritch Wales, Siamese State Ceremonies, (London: Bernard Quaritch, Ltd.: 1931). มีแปลเป็นภาษาไทยในชื่อ พระราชพิธีแห่งกรุงสยาม : ตั้งแต่โบราณกาลถึง พ.ศ. 2475, สุทธิศักดิ์ ปาลโพธิ์ แปล, (กรุงเทพฯ: Rivers Book: 2562).
[9] แม้หนังสือ Siamese State Ceremonies ของ Quaritch Wales จะตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2474 เป็นเวลา 4 ปีหลังจากที่แบตสันคาดการณ์ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ Democracy in Siam ขึ้นในราววันที่ 7 – 10 มิถุนายน พ.ศ. 2470 แต่ก่อนหน้านั้น Quaritch Wales ได้เดินทางมารับราชการในสยามตั้งแต่ปี พ.ศ. 2467 จนถึง พ.ศ. 2471 โดยเป็นที่ปรึกษาประจำราชสำนักสมัยรัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 7 และในช่วงเวลาตั้งแต่ พ.ศ. 2468-2471 เป็นช่วงคาบเกี่ยวที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จครองราชย์และเริ่มเตรียมการณ์สู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระองค์น่าจะทรงแลกเปลี่ยนและรับการถวายความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวคิดเรื่อง racial qualities และความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อชาติกับวัฒนธรรมความเจริญจาก Quaritch Wales และได้ทรงประยุกต์ความรู้นั้นออกมาเป็นสาระสำคัญใน Democracy in Siam จากนั้นในปี พ.ศ. 2471 Quaritch Wales ได้เดินทางกลับประเทศอังกฤษและเริ่มตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับสยามและศิลปะของสยาม และศึกษาระดับปริญญาเอกสาขามานุษยวิทยาที่ the School of Oriental and African Studies และเดินทางกลับมาเก็บข้อมูลทำวิจัยภาคสนามในสยามระหว่าง พ.ศ. 2473-2474 โดยทำวิทยานิพนธ์เรื่อง “พิธีกรรมของรัฐสยาม” (Siamese State Ceremonies) ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2474 ต่อมาหลังจากที่เขาได้ตีพิมพ์หนังสือ The Ancient Siamese Government and Administration ในปี พ.ศ. 2477 (ฉบับแปลภาษาไทย: การปกครองและการบริหารของไทยสมัยโบราณ [พ.ศ. 2515]) เขาได้รับการยกย่องในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการบริหารและการปกครองของสยามโบราณ ดู David Russell Lawrence, In Search of Greater India: HG Quaritch Wales: pioneer archaeologist, art historian and war correspondent, Crawford School of Public Policy College of Asia and the Pacific, The Australian National University, Canberra ACT 2601 Australia, pp. 13, 14, 21, 22-23, 24, 26-30, 38-39, 39-40. https://cdn.angkordatabase.asia/libs/docs/QuaritchWalesInSearchofGreaterIndiaLawrence2019.pdf และ John Guy, “The Dorothy and Horace Quaritch Wales Bequest: A Note,” Journal of the Royal Asiatic Society, Third Series, Vol. 5, No. 1 (Apr., 1995), pp. 91-92.
[10] ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล, หนังสือส่วนพระองค์ของสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (๓), “แรงบันดาลใจจากหนังสือทรงอ่าน” นิทรรศการชั่วคราว พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มิถุนายน 2561, มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ ร.7
https://www.facebook.com/788629941182225/posts/1800009550044254/
[11] Sir James Fraser ได้รับการยกย่องให้เป็นนักมานุษยวิทยาที่มีชื่อเสียงที่สุดและเป็นตำนานเป็นอันดับที่สองในสิบจาก สหราชอาณาจักร ดู The Most Famous Anthropologist from United Kingdom, https://pantheon.world/explore/rankings?show=people&years=-3501,2025&place=gbr&occupation=ANTHROPOLOGIST
[12] Walter Armstrong Graham, Siam: A Handbook of Practical, Commercial, and Political Information, (Chicago: F. G. Browne, 1913), p. 232 cited in Horace Geoffrey Quaritch Wales, Siamese State Ceremonies, opcit., p. 24.
[13] Seth ชี้ว่า การศึกษาทางมานุษยวิทยาเป็นหนึ่งในต้นกำเนิดของลัทธิเหยียดเชื้อชาติ (racism) ดู Vanita Seth, “The Origins of Racism: A Critique of the History of Ideas,” History and Theory 59, no. 3 (September 2020), p. 344.
[14] Winant ชี้ว่า ปัจจัยเรื่องเชื้อชาติไม่มีทีท่าว่าจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ตรงกันข้าม เชื้อชาติยังคงมีบทบาทเป็นปัจจัยพื้นฐานในชีวิตทางการเมืองและวัฒนธรรมทั่วโลกในหลากหลายรูปแบบที่กว้างไกลและรุนแรงเกินกว่าที่จินตนาการอันล้ำเลิศจะจินตนาการได้ เชื้อชาติยังคงมีบทบาทเป็นปัจจัยพื้นฐานในชีวิตทางการเมืองและวัฒนธรรมทั่วโลก การแพร่หลายของเชื้อชาตินี้สร้างความสับสนให้กับนักการเมือง นักวิชาการ และอาจารย์เนื่องจากความคาดหวังในการก้าวข้ามขอบเขตของเชื้อชาติ…แต่ความต่อเนื่องของเชื้อชาติในฐานะข้อเท็จจริงทางสังคมจึงสร้างความสับสนให้กับกลุ่มการเมืองทั้งหมด ดู Howard Winant, Racial Conditions: Politics, Theory, Comparisons, (Minnesota: University of Minnesota Press: 1994), pp. 1-10.






