Lancelot Lawton ในพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวต่อเค้าโครงเศรษฐกิจฯ
Lancelot Lawton ในพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวต่อเค้าโครงเศรษฐกิจฯ
เรียบเรียง : ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร
ในพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีต่อเค้าโครงเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม พระองค์ได้ทรงอ้างอิงการศึกษาวิจัยของนักวิชาการตะวันตกสองท่าน หนึ่งในนั้นคือ นายแลนซลอต ลอว์ตัน (Lancelot Lawton) ในบทความนี้จะกล่าวถึงนายลอว์ตันและความสำคัญของหนังสือของเขา
การที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯทรงอ้างอิงหนังสือของลอว์ตันสืบเนื่องมาจากการที่เค้าโครงเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรมเสนอให้รัฐบาลซื้อที่ดินจากชาวนาเจ้าของที่ดิน และนำมาทำนารวมโดยรัฐบาลเป็นผู้ประกอบการ แต่เนื่องจากรัฐบาลในขณะนั้นไม่มีเงินซื้อที่ดินได้เพียงพอ จึงจะออกใบกู้ให้เจ้าของที่ดินถือไว้ หลังจากชาวไร่ชาวนาหรือเจ้าของที่ดินที่ให้ชาวนาเช่าทำกินขายที่ดินให้กับรัฐบาลไปแล้ว ก็เปลี่ยนสถานะไปเป็นลูกจ้างทำนาให้รัฐบาล และจะให้ค่าจ้างเป็นคะแนนเป็นค่าตอบแทน เพราะรัฐบาลไม่มีเงินจ่าย[1] ต่อประเด็นการเปลี่ยนเงินเป็นคะแนน ในพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีข้อโต้แย้งดังนี้
“เงินนั้นเป็นแต่เพียงคะแนน เป็นสิ่งที่กินเข้าไปไม่ได้ และมีประโยชน์อยู่ก็แต่สำหรับใช้แลกเปลี่ยนปัจจัยแห่งการครองชีวิตเท่านั้น ก็จริงอยู่ แต่เราต้องอย่าลืมว่า ณ บัดนี้ ก็ไม่เห็นมีอะไรเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนดีเท่ากับเงิน เพราะเงินนั้นคนพอใจที่จะรับไว้ทุกคน ถ้าเลิกเงินก็ต้องกลับไปใช้วิธีโบราณ คือแลกสิ่งของด้วยของ ซึ่งคงทำให้เกิดความลำบากแก่มหาชนไม่น้อย กล่าวคือ คนนั้นมีใจไม่เหมือนกัน มีความอดอยากได้ไม่เหมือนกัน ถ้าเราเอาของที่เรามีอยู่จะไปแลกกับอาหาร หรือสิ่งที่เราประสงค์จากคนอื่น เราก็ไม่มีความรู้สึกที่จะได้ของนั้นมา เพราะเจ้าของสิ่งนั้นเขาอาจไม่ต้องการสิ่งที่เราเอาไปแลกก็ได้ การเช่นนี้ย่อมทำให้เกิดติดต่อระหว่างบุคคลลำบากขึ้นอีกมาก ถ้าเลิกเงินก็เท่ากับถอยหลังเข้าคลองไปหาสมัยเก่า ซึ่งผู้เขียน (หลวงประดิษฐ์ฯ) ดูเหมือนจะไม่ชอบ ไม่ใช่หรือ คนเรานั้น ถึงแม้ผู้เขียน (หลวงประดิษฐ์ฯ) จะนำโครงการเศรษฐกิจออกมาใช้แล้วก็ดี ก็คงยังต้องการติดต่อซึ่งกันและกันอยู่เสมอ ถ้าเลิกเงิน ความลำบากก็จะมี การดำเนินการตามนี้นั้น จริงอยู่ ผู้เขียน (หลวงประดิษฐ์ฯ) ไม่ได้พูดว่าเลิกเงิน แต่ทางดำเนินนั้น มันเป็นไปในทางที่จะตัดราคาให้สูญไปทีละน้อย ดังที่ทำอยู่ในประเทศรัสเซีย
มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ An Economic History of Soviet Russia แต่งโดย Lancelot Lawton มีข้อความเรื่องการเลิกเงินนี้ว่า ประเทศรัสเซียนั้นได้พยายามเลิกเงินมานานแล้วโดยวิธีการอ้างอย่างเดียวกัน คือ จะจ่ายเงินเดือนให้ราษฎรนั้นนำไปซื้อจากร้านสหกรณ์ ที่เหลือจะนำไปเข้าธนาคารชาติ การที่ดำเนินการดังนั้น รัฐบาลต้องจำหน่ายเงินเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก การเพิ่มเงินนี้ ต้องเพิ่มธนบัตรขึ้น เมื่อเพิ่มธนบัตรขึ้นและมีเงินจริงประกันน้อย ราคาก็ตกต่ำจนในที่สุดต้องเลิกใช้เงิน ราษฎรพากันใช้วิธีโบราณ คือ แลกเปลี่ยนสิ่งของด้วยสิ่งของ ผู้ใดไม่มีสิ่งของ มีแต่เงินเดือนที่รัฐบาลจ่ายแล้ว ก็ต้องอดตาย หมู่ชนที่อยู่ในเมืองใหญ่ ซึ่งย่อมไม่มีสิ่งของพืชผลอันใดที่จะแลกเปลี่ยนอาหารได้ เพราะตนเป็นเพียงคนงานได้เงินเดือนเท่านั้น ร้านของสหกรณ์หรือรัฐบาลจัดขึ้นนั้น ก็หาอาหารขายให้ราษฎรไม่พอ คนที่อยากกินหรือกินไม่อิ่มก็อยู่ต่อไปในเมืองไม่ไหว ต้องทิ้งเมืองออกไปอยู่ตามบ้านนอก เพื่อประสงค์ที่จะได้หากินจากพื้นดิน เพื่อที่จะหาของแลกเปลี่ยนได้ดีขึ้น พลเมืองในรัสเซียมีประมาณ ๑๙๐ ล้านคน แต่ปรากฏว่าเพียง ๑๒ ล้านคนเท่านั้นที่ได้รับความดูแลจากรัฐบาล นอกนั้นอยู่ตามยถากรรม ถูกริบโดยภาษีทางอ้อมไปบ้าง ถูกกดขี่ต่างๆไปบ้าง พวก ๑๒ ล้านคนที่ได้รับเลี้ยงก็เต็มทน เพราะเงินไม่มีราคา พลเมืองในกรุงเปโตรกราด ซึ่งเคยมีอยู่ ๒ ล้าน ๖ แสนคน แต่เมื่อได้เกิดวิธีนี้แล้ว มีคนแต่เพียง ๖ แสนเท่านั้น เพราะอยู่ต่อไปไม่ไหว เพราะอยู่ต่อไปก็ไม่มีอะไรจะแลกของกินดังกล่าวแล้ว
ตัวอย่างทหารของเราที่ผู้บังคับบัญชาได้พยายามหลายครั้งแล้วที่จะให้มีการเลี้ยงอาหารเป็นส่วนรวมและงดการจ่ายเบี้ยเลี้ยง แต่ทหารไม่พอใจเลย ชอบรับเบี้ยเลี้ยงไปซื้อกินเองดีกว่า ดังนี้ ย่อมเห็นได้ว่า เงินนั้นยังมีความสำคัญเพียงใด เพราะฉะนั้น ผู้เขียน (หลวงประดิษฐ์ฯ) จะดำเนินการอย่างไรก็ตาม ต้องพยายามอย่าทำลายค่าของเงินให้ป่นปี้ไปเสีย และถ้าจะให้ราษฎรเป็นข้าราชการทั้งหมดแล้ว และจะจ่ายเงินเดือนให้ ก็ต้องให้เป็นเงินจริงๆ ไม่ใช่กระดาษไม่มีค่า หาไม่จะทำให้ราษฎรได้รับความลำบากโดยแท้ อย่าลืมว่า ถ้าเลิกเงินเสียแล้วจะไม่มีวิธีการตีราคาสิ่งของอย่างไร จะต้องถอยหลังเข้าคลองไปใช้วิธีการแลกเปลี่ยนอย่างโบราณอีก ดังนี้หรือคือความเจริญ”[2]
ส่วนหนึ่งของข้อความที่เป็นตัวเข้มข้างต้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสรุปความและเรียบเรียงจากหนังสือของลอว์ตัน ดังนี้:
“…….Yet not to trade was to face the certainty of death from starvation…..; thousands of citizens of both sexes and of all ages went daily to the country, taking with them portable articles to exchange for food….In Petrograd the equivalent of 7 10s. was required for one pound of butter, of 8 for one pound of sugar, of 3 for one pound of meat, of 2 for one pound of horseflesh, of 14s. for one pound of dogmeat. As money was almost worthless, only things had value, for they could be exchanged for food, and food was all that mattered. A panic rush to the land set in. Towns emptied; the population of Petrograd, which was 2,600,000 in 1916, fell to 600,000. The Russian worker had always preserved links with the country, and when faced with hunger the first thought which occurred to many of his class was to take refuge in the village.” [3]
Lawton เป็นนักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษและเป็นนักหนังสือพิมพ์การเมืองระหว่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นนักวิชาการที่ศึกษาเรื่องยูเครนโดยเฉพาะด้วย ซึ่งในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2475-2476 ได้เกิดวิกฤตความอดอยากอย่างรุนแรงในยูเครน ผู้คนนับล้านต้องอดตาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความอดอยากของทั้งสหภาพโซเวียตที่เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2474 [4] ในพระบรมราชวินิจฉัยที่มีต่อเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์ฯ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2476 (ปฏิทินสากล) ได้ทรงแสดงความเห็นโต้แย้งแนวคิดทางเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์ฯแทบจะทุกประเด็นโดยละเอียด[5] โดยพระองค์ได้ทรงศึกษาจากหนังสือ “An Economic History of Soviet Russia” ของ Lancelot Lawton ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2475 นับว่าเป็นการใช้ข้อมูลวิชาการเกี่ยวกับเศรษฐกิจของรัสเซียที่ทันสมัยอย่างยิ่งในขณะนั้น
ต่อมาในปี พ.ศ. 2478 จากความน่าเชื่อถือของผลงานการศึกษาเศรษฐกิจโซเวียดรัสเสียของลอว์ตันนายลอว์ตันได้รับเชิญให้มารายงานต่อสภาสามัญ สหราชอาณาจักร เกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในยูเครนภายใต้โซเวียด รัสเซียในวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2478 และในรายงานที่เขาแถลงต่อสภาฯ มีสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระบรมราชวินิจฉัยต่อเรื่องการทำนารวมและการระบบไม่ใช้เงินในเค้าโครงเศรษฐกิจฯ ดังนี้
“ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2474-2475 มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งในยูเครนที่อ้างตัวว่าเป็นพวกชาตินิยมแต่แท้จริงแล้วเป็นพวกคอมมิวนิสต์ ได้เตรียมการ ที่จะทำนารวม (collective farms) คนกลุ่มนี้ได้เข้าควบคุมหนังสือพิมพ์ และสถาบันสำคัญต่างๆ ต่อมาได้มีการสังหารหมู่ (mass executions) คนที่ออกมาต่อต้านการปกครองกดขี่อย่างทรราชย์เป็นจำนวนมากก่อนการปฏิวัติรัสเซีย ชาวนายูเครนส่วนใหญ่เป็นชาวนาที่ทำนาเป็นอิสระแยกจากกันซึ่งต่างจากชาวนารัสเซีย เพราะชาวนายูเครนไม่ได้เป็นระบบคอมมูนแบบบรรพกาล (the primitive commune) ที่มาร์กซได้คาดการณ์ว่าจะเป็นจุดตั้งต้นสำหรับการปฏิวัติและอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ในระดับโลก และด้วยลักษณะเฉพาะของ ชาวนายูเครนนี้ที่ทำให้พวกเขาต่อต้านอย่างแข็งขันต่อการที่รัฐบาลจะบังคับซื้อผลผลิตโดยออกแต่เพียงใบรับซื้อ ซึ่งยูเครนเป็นแหล่งผลิตเกษตรกรรมแหล่งใหญ่ นโยบายของพวกบอลเชวิชได้นำมาซึ่งความยากจนอดอยากที่แพร่กระจายอย่างกว้างขวางในหมู่ชาวนายูเครน ส่งผลให้เกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงจนชาวนายูเครนจำนวนหลายล้านต้องตายไป และรัฐบาลโซเวียดก็ไม่ได้สนใจและ ปล่อยให้ผู้คนในยูเครนอดอยากล้มตายและปฏิเสธว่าไม่ได้มีปัญหาความอดอยากในยูเครน ทั้งๆ ที่มีหลักฐานปรากฎอยู่อย่างท่วมท้น มีหลักฐานชัดเจนว่า เมื่อพิจารณาอัตราการเติบโตของประชากรของสหภาพโซเซียด เพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็นจำนวนสามล้านต่อปี เมื่อมีการยอมรับอย่างเป็นทางการว่า มีการสูญเสียผลผลิตทางการเกษตรเป็นจำนวนมากไปในระหว่าง ช่วงและหลังการเก็บเกี่ยว เป็นจำนวนถึง 30-50 % ความอดอยากหิวโหยอย่างรุนแรงย่อมไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ และไม่สามารถเป็นอย่างอื่นได้ ในรายงาน จากหนังสือพิมพ์ the Manchester Guardian ที่เป็นสื่อที่ไม่ได้ต่อต้านโซเซียล ลงวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2477 ที่กล่าวถึงความอดอยากไว้ว่า เป็นเวลานานที่เผด็จการรัสเซียสามารถปิดบังสายตาชาวโลกไม่ให้รับรู้ ถึงความหายนะทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดที่ไม่เคยเกินขึ้นมาก่อน ที่ส่งผลกระทบต่อยุโรปมากกว่าทศวรรษ และจากแหล่งข้อมูลอื่นที่ชี้ให้เห็น ว่า ในช่วง พ.ศ. 2475-2476 มีอัตราผู้เสียชีวิตจากความอดอยากและสาเหตุที่มาจากความอดอยากที่สูงกว่าระดับการเสียชีวิตปกติถึง 4,000,000 – 5,000,000 คน และในช่วงที่วิกฤตรุนแรงที่สุด ไม่มีหน่วยงานใดมีมาตรการช่วยเหลือใดๆ ต่อความหายนะดังกล่าว และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฎ ทางรัฐบาลโซเวียดกลับ ถือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการตอบโต้กระแสชาตินิยมของยูเครนที่ต่อต้านนโยบาย การเกษตรของโซเวียด โดยปรากฏในคำแถลงของ คาลินิน ประธานคณะกรรมการบริหารกลางของสหภาพโซเวียต): “ถือเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับชาวนายูเครน และเป็นบทเรียนที่โหดร้ายมาก” [6]
อ้างอิง
[1] ก่อนหน้าการเสนอให้ใช้คะแนนแทนเงินและความโน้มเอียงที่จะเลิกใช้เงินในเค้าโครงเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์ฯในปี พ.ศ. 2476 ได้มีข้อเขียนเรื่อง “ทูตพระศรีอาริย์” ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ราษฎร ฉบับวันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2471 ที่มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า “...ในที่สุดพวกคนจนก็จะรู้สึกตัวเห็นว่าทรัพย์สมบัติทุกอย่างเป็นของกลางในโลก ไม่ควรที่จะมาฆ่าฟันกัน เมื่อมีความเห็นเช่นนี้เป็นจุดเดียวกัน ก็จะช่วยกันล้างพวกมั่งมีให้หมดไป ‘วันใดเงินหมดอำนาจ เป็นแร่ธาตุไปตามสภาพเดิมแล้ว วันนั้นเป็นวันเสมอภาค’” แม้ว่ายังไม่สามารถสืบค้นได้ว่า ใครคือผู้เขียนบทความเรื่อง “ทูตพระศรีอาริย์” แต่ความคิดรากฐานในบทความดังกล่าวดูจะไปในทางเดียวกันกับเค้าโครงเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์ฯ ดุ หนังสือพิมพ์ราษฎร ฉบับวันจันทร์ที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๑ อ้างใน ชัยอนันต์ สมุทวนิช, ความคิดทางการเมืองการปกครองไทยโบราณ, เอกสารโรเนียว คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (ห้องสมุดคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ 320.5 ช451ค ฉ.1), หน้า ๓๒.
[2] ชัยอนันต์ สมุทวนิชและขัตติยา กรรณสูตร, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2517-2477, โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2518), หน้า 284-285.
[3] Lancelot Lawton , An Economic History of Soviet Russia, (London: Macmillan: 1932), pp. 117-118. ส่วนข้อความก่อนหน้านั้น ปรากฏในหน้า 132-135 ในบทที่สิบเอ็ด ที่ว่าด้วย “Code of Labour Laws—Industrial Collapse—Breakdown of Transport—Shortage of Food and Fuel—Measures for the Abolition of Money—Financial Chaos (1919)” และในบทที่แปด ที่ว่าด้วย “General Nationalisation—Beginning of War Commnusim—Moneyless Accounting (1918)”
[4] https://www.britannica.com/event/Holodomor วิกฤตความอดอยากครั้งใหญ่ในยูเครนนี้มีชื่อเรียกว่า “Holodomor” ซึ่งมีความหมายว่า “การฆ่าโดยปล่อยให้อดตาย” นักวิชาการลงคามเห็นสว่า วิกฤตดังกล่าวในยูเครนเกิดจากความตั้งใจของรัฐบาลโซเวียต
[5] ชัยอนันต์ สมุทวนิชและขัตติยา กรรณสูตร, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2517-2477, โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2518), หน้า 277-356.
[6] “The Ukrainian Question and Its Importance to Great Britain” Address given by Mr. Lancelot Lawton in a Committee Room of the House of Commons, May 29th, 1935, Lancelot Lawton House Of Commons 29-May-1935 The Ukrainian Question in 1935
https://willzuzak.ca/lp/lawton01.html






