โปรเฟซเซอร์ซิมเมอร์แมน

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

เรียบเรียง : ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


โปรเฟซเซอร์ซิมเมอร์แมน ในพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวต่อเค้าโครงเศรษฐกิจฯ

ในพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีต่อเค้าโครงเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม มีการอ้างอิงการศึกษาวิจัยของนักวิชาการตะวันตก อาทิ สองท่าน นายแลนซลอต ลอว์ตัน (Lancelot Lawton) และศาสตราจารย์ซิมเมอร์แมน ในบทความนี้จะกล่าวถึงศาสตราจารย์ซิมเมอร์แมนและความสำคัญของงานวิจัยของเขา  

ความตอนหนึ่งในพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีต่อเค้าโครงเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม:  “หลวงประดิษฐ์มนูธรรมประเมินสภาพชีวิตของคนผู้ยากไร้เช่นนั้นในปี พ.ศ. 2476 ทำให้เขาเห็นว่า เค้าโครงเศรษฐกิจโดยเฉพาะในเรื่องการทำนารวม (collective farming) โดยให้รัฐบาลซื้อที่ดินทำกินจากชาวนาชาวไร่ โดยออกใบกู้ให้ไปก่อน เพราะรัฐบาลไม่มีเงิน และเปลี่ยนให้ชาวนาชาวไร่เป็นลูกจ้างรัฐบาลหรือข้าราชการเป็นผู้ลงแรงทำนาทำไร่และรัฐบาลจะจ่ายให้เป็นคะแนนไว้แลกปัจจัยสี่ในการดำรงชีพ และที่สำคัญคือ “ ‘รัฐบาลรับราษฎรทั้งหมดเข้าทำงานเป็นข้าราชการ แม้แต่เด็ก คนป่วย คนพิการ คนชรา ซึ่งทำงานไม่ได้ ก็จะได้รับเงินเดือนจากรัฐบาล แล้วราษฎรก็จะไม่อดอยาก’ ” [1]  

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวินิจฉัยตอบในประเด็นนี้ว่า                            

“พระบรมราชวินิจฉัย (ข้อ ๒) หมวดที่ ๒ ความแร้นแค้นของราษฎร ผู้เขียน (พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯหมายถึง หลวงประดิษฐ์มนูธรรม) เล่าว่าราษฎรเวลานี้แร้นแค้นอดอยากเต็มทน และราษฎรทั่วไปไม่ทราบเลยว่ารุ่งขึ้นจะมีอาหารเพียงพอไม่ขาดแคลนหรือไม่ ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า ราษฎรของเราตลอดจนชั้นคนขอทานยังมิปรากฎเลยว่าอดตาย คนที่อดตายจะมีก็แต่คนที่กลืนไม่ลง เพราะความเจ็บไข้นั้น แม้แต่สุนัขตามวัดก็ปรากฏยังไม่มีอดตาย แม้แต่ในปีน้ำท่วม พ.ศ. 2460 ผู้เขียนก็ยังกล่าวในเค้าโครงเศรษฐกิจภาค 2 ว่า ไม่มีราษฎรอดตายเพราะมีข้าวเพียงพอที่จะแจกกันกิน และยังมีเหลือเอาไปจำหน่ายยังต่างประเทศเสียด้วยซ้ำ ความอดตายแร้นแค้นนี้ย่อมแล้วแต่ตราชู อะไรชั่งเป็นเครื่องวัด คนที่ได้รับเงินเดือน 200 บาทก็นับว่าอดอยากแร้นแค้นก็ได้ ถ้าเทียบกับการกินอยู่กับผู้ที่ได้เงินเดือนๆ ละ 1,000 บาท จริงอยู่ราษฎรของเรายังไม่มีตึกอยู่โดยทั่วไป และไม่มีเครื่องแต่งตัวฝรั่งแต่งโดยทั่วไป และไม่มีรายได้เท่ากับคนงานของฝรั่ง ถ้าคิดเทียบตามอัตราเงินแบบฝรั่งนั้นได้มากก็ใช้มาก เพราะราคาเงินของเขา แม้จะสูงก็จริงเมื่อเทียบกับเงินของเรา แต่อำนาจในการซื้อของบำรุงร่างกายนั้น มีน้อยกว่าของเราแน่ๆ ถ้าจะเปรียบถึงใจและความพอใจของราษฎรฝรั่งและราษฎรของเราแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อว่าราษฎรของเรามีความสุขใจมากกว่าเสียอีก ข้าพเจ้ายอมรับว่า ฐานะการกินอยู่ของราษฎรของเราแล้วยังต่ำกว่าฐานะของราษฎรในเมืองต่างประเทศ ดังเช่นอังกฤษหรืออเมริกา แต่ตามรายงานของ โปรเฟซเซอร์ซิมเมอร์แมนนั้น กล่าวว่า ฐานะของเราสูงนี้สูงกว่าบรรดาราษฎรอื่นๆในทวีปอาเซีย (เฉพาะบนพื้นทวีปไม่รวมเกาะต่างๆ) และมีความอดอยากแร้นแค้นทั้งกายและใจน้อยกว่าราษฎรชาวนาในประเทศรัสเซีย ซึ่งใช้โครงการเศรษฐกิจรูปแบบนี้ ณ บัดนี้โดยแน่นอน (หมายถึงระบบเศรษฐกิจที่ให้มีการทำนารวม แต่ใช้วิธีบังคับเวนคืนโดยรัฐบาล/ผู้เขียน)  ราษฎรของเรามีน้อยคนหรือเกือบจะไม่มีก็ได้ ที่นอนกลางคืนแล้วนึกว่ารุ่งขึ้นเช้าจะหากินไม่ได้ นอกจากผู้นั้นจะกระดุกกระดิกตัวไม่ได้ หาไม่ฉะนั้นคงหากินได้เสมอ ในประเทศรัสเซียเสียอีกที่ราษฎรนอนตาไม่หลับ รุ่งขึ้นไม่ทราบว่าจะได้อาหารกินเพียงพอหรือไม่ เพราะถ้าสหกรณ์หาอาหารมาไม่ได้เพียงพอ ซึ่งปรากฏอยู่เป็นของประจำวันแล้ว การซื้ออาหารก็หามากไม่ได้ เพราะไม่มีที่จะทำกินเสียแล้ว คนไทยเราถ้ายังมีนา มีสวน ที่จะปลูกข้าวปลูกผักได้แล้ว ก็ยังหวังอยู่ได้เสมอว่าจะพอหาข้าวกินได้ไม่อดอยาก นอกจากถ้าดำเนินกิจการแบบรัสเซียเข้าแล้ว ความอดอยากจนตายนี้อาจปรากฏกลายเป็นจริงขึ้นมาได้ โปรเฟซเซอร์ซิมเมอร์แมนกล่าวว่า รายได้และฐานะการกินอยู่ของราษฎรไทยนั้น สูงกว่าราษฎรชาติใดๆทั้งหมดในทวีปอาเซียที่อยู่บนพื้นทวีป ส่วนสำคัญย่อมเป็นเครื่องสนับสนุนความเห็นของข้าพเจ้าอีกส่วนหนึ่ง” [2]                                                             

นอกจากนี้ ในพระบรมราชวินิจฉัยฯ ยังกล่าวว่า “ผู้เขียน (หลวงประดิษฐ์ฯ) กล่าวว่า ราษฎรของเรานี้ เป็นจำนวน 90% ไม่มีที่ดินและทุนที่จะทำอะไรได้เอง แต่ข้าพเจ้าได้พบในรายการของโปรเฟซเซอร์ซิมเมอร์แมนกล่าวว่า ราษฎรที่ไม่มีที่ดินและทุนที่จะทำการเลี้ยงชีพเองมีแต่เพียง 36% เท่านั้น ดูไกลกันมากกว่าที่ผู้เขียนกำหนด..” [3]   จากพระราชวินิจฉัยข้างต้น ข้อมูลที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวใช้โต้แย้งปัญหาความอดอยากและความแร้นแค้นของชีวิตราษฎรไทยมาจาก “โปรเฟซเซอร์ซิมเมอร์แมน”  โปรเฟซเซอร์ซิมเมอร์แมน มีชื่อเต็มว่า คาร์ล ซี. ซิมเมอร์แมน (Carle Clarke Zimmerman)  เป็นศาสตราจารย์ทางสังคมวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้รับว่าจ้างจากรัฐบาลไทยในปี พ.ศ. 2473 ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2 ปี ให้เข้ามาทำการสำรวจสภาพเศรษฐกิจในชนบทของสยาม เขาได้เขียนรายงานผลการสำรวจให้รัฐบาลไทย และต่อมาได้รับการตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ Siam: Rural Economic Survey 1930-31 ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2474 โดยสำนักพิมพ์ The Bangkok Times Press ที่ตั้งอยู่ในพระนคร [4]  นอกจากหนังสือ Siam: Rural Economic Survey 1930-31 แล้วยังมีบันทึกส่วนตัวของซิมเมอร์แมนเกี่ยวกับ “การเดินทางไปเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2473 ถึงวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2474”  และต้นฉบับ “ความร่วมมือกับคุณเบอร์ธา บี. แมคฟาร์แลนด์. การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในสยาม การศึกษาวัฒนธรรมตะวันออก” (เอกสารต้นฉบับยังไม่ได้ตีพิมพ์) [5] และหลังจากตีพิมพ์ Siam: Rural Economic Survey 1930-31 เขายังได้เขียนบทความวิจารณ์งานที่ศึกษาปัญหาชนบทในศรีลังกาด้วย ผู้สนใจดูผลงานวิชาการทั้งหมดของซิมเมอร์ได้จาก Clark Zimmerman manuscripts (MSS 21) - USask Library  [6] 

จากสำรวจการวิจารณ์งานของซิมเมอร์แมน พบว่าผลงานชิ้นนี้ของซิมเมอร์แมนได้รับการวิจารณ์จากเอ็ดมัน เดอ เอส. บรันเนอร์ (Edmund de S. Brunner) ศาสตราจารย์ทางสังคมวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย   บรันเนอร์ดำรงตำแหน่งสำคัญๆต่างๆ อาทิ  ประธานสำนักวิจัยสังคมประยุกต์ (Bureau of Applied Social Research), ผู้อำนวยการคณะกรรมาธิการว่าด้วยแนวโน้มทางสังคมล่าสุดในส่วนที่เกี่ยวกับชนบท (Recent Social Trends) ภายใต้ประธานาธิบดีฮูเวอร์ ฮูเวอร์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริการะหว่าง ค.ศ. 1929-1933 (พ.ศ. 2472-2476) และเป็นกรรมาธิการที่ปรึกษาด้านการศึกษาของประธานาธิบดีรูสเวลท์ด้วย [7]

ในบทวิจารณ์ของบรันเนอร์ เห็นว่า งานของซิมเมอร์แมนถือว่าโดดเด่นเป็นพิเศษและทรงคุณอย่างยิ่ง โดยเขาให้เหตุผลถึงความโดดเด่นว่า                                                                              

1.  เป็นงานที่ใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะภาพที่ชัดเจนที่สุดผ่านการประยุกต์เทคนิคการวิจัยสังคมที่เป็นองค์ความรู้ที่พัฒนาขึ้นในสหรัฐอเมริกา และนำไปใช้ศึกษาวิจัยเงื่อนไขในแบบของเอเชีย                     

2. เป็นการวิจัยสำรวจที่ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้เลย หากไม่ได้รับความร่วมมือจากสภามิชชันนารีสากล และการวิจัยดังกล่าวนี้ถือเป็นครั้งที่สองในรอบครึ่งทศวรรษที่สภามิชชันนารีสากลได้ส่งนักสังคมศาสตร์ชาวอเมริกันไปยังประเทศต่างแดนเพื่อศึกษาสภาพชนบท   งานของซิมเมอร์แมนทรงคุณค่าอย่างยิ่ง เพราะ                                                           

1.สามารถให้แหล่งข้อมูลมหาศาลเกี่ยวกับสภาพชนบทของประเทศที่มีคนรู้จักน้อย แต่ก็เป็นประเทศที่มีอารยธรรมสูงและมีความสำคัญ ซิมเมอร์แมนได้จัดระเบียบข้อมูลประเภทต่างๆอย่างเป็นระบบ ทำให้สามารถนำไปเปรียบเทียบสภาพชนบทของประเทศอื่นๆได้                                                              

2. งานนี้ได้วางมาตรฐานสำหรับการศึกษาชนบทของประเทศในโลกตะวันออกสำหรับนักวิจัยที่ต้องการศึกษาสภาพชนบทของประเทศตัวเอง หรือนักวิจัยที่ต้องการศึกษาสภาพชนบทของประเทศอื่น                

3. ผลอันลุ่มลึกที่ได้จากงานนี้มีผลต่อวิธีคิดและนโยบายของรัฐบาลไทยและนักการเกษตรในเรื่องที่เกี่ยวกับการเกษตรในประเทศไทย                                                                                  

อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ใช่ว่างานของซิมเมอร์แมนจะไม่มีข้อให้ติงโดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับเทคนิคในการวิจัย  แต่ก็เป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับผลการศึกษาค้นคว้าโดยส่วนใหญ่ที่ทรงคุณค่า  ในการประเมินการศึกษาสภาพชนบทไทยของซิมเมอร์แมน บรันเนอร์ชี้ว่า จากการที่ซิมเมอร์แมนเป็นแขกของรัฐบาลไทย เขาจะต้องเสียเวลาไปกับงานเลี้ยงที่เป็นพิธีรีตองต่างๆมากมาย  แต่ซิมเมอร์แมนพยายามอย่างยิ่งที่จะหลีกเลี่ยงการมีความสัมพันธ์กับผู้นำทางการเมืองและกลุ่มข้าราชการ เพราะเขาอาจจะได้รับข้อมูลที่ทำให้เกิดอคติก่อนที่เขาจะได้ลงไปเก็บข้อมูลภาคสนาม (เน้นโดยผู้เขียน) ในการลงภาคสนามตลอดสองปี  เขามีทีมงานในราวสิบห้าถึงสิบแปดคน และในช่วงที่จัดทำตารางข้อมูลในประเด็นต่างๆ เขาใช้ทีมงานประมาณสิบคนในการจัดทำตารางดังกล่าว เขาได้ลงไปสำรวจหมู่บ้านเป็นจำนวนสี่สิบหมู่บ้าน และในการศึกษาแต่ละหมู่บ้าน จะสำรวจอย่างน้อยห้าสิบครอบครัว และตัวเขาเองยังได้ลงไปแต่ละหมู่บ้านเป็นการส่วนตัวด้วย และทำการศึกษาและพักอยู่ในหมู่บ้านโดยตลอด [8]    ส่วนการโต้แย้งงานวิจัยของซิมเมอร์แมนของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม เท่าที่พบ ปรากฏอยู่สองครั้ง ดังนี้                                                                                                                          

1. ในรายงานการประชุมกรรมานุการพิจารณาเค้าโครงเศรษฐกิจแห่งชาติ วันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2475  เมื่อหม่อมเจ้าสกลวรรณากร วรวรรณแสดงความเห็นว่า “ตามความเห็นของนายซิมเมอร์แมน ข้าพเจ้ายังพอใจอยู่ เราค่อยทำค่อยไปก็ได้”  หลวงประดิษฐ์ฯ ได้ตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่คนกรุงเทพฯ จึ่งรู้หัวอกของคนบ้านนอกเป็นอย่างดี โดยได้รับความลำบากยากจน เพื่อนในหัวเมืองยังยากจนอีกมาก นายซิมเมอร์แมนไม่เคยอยู่อย่างคนยากคนจนในเมืองไทย ผู้ที่ไม่เคยประสบแล้วจะรู้สึกอย่างไรได้ สำรวจที่ไหน เจ้าหน้าที่ก็เตรียมผัดหน้าไว้รับ แม้ข้าราชการในกรุงเทพฯ ออกไปก็ไม่เห็นของจริงแท้ และทั้งตนเองก็สบายไม่เคยทุกข์ร้อนเหมือนชาวนาที่ทนทุกข์อยู่ในเวลานี้” [9]  

2. ในรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2475  เมื่อเจ้าพระยาวงษานุประพัทธ (หม่อมราชวงศ์สท้าน สนิทวงศ์) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรพาณิชยการให้ความเห็นว่า “ซิมเมอร์แมนได้รายงานไว้ เห็นว่าควรที่จะยึดถือเป็นหลักได้”  หลวงประดิษฐ์มนูธรรมได้กล่าวค้านว่า “ซิมเมอรแมนไปตรวจดูแต่เฉพาะนาที่ดี ส่วนนาที่ไม่ดีนั้น ไม่มีใครพาไป จึงเห็นว่ารายงานของนายซิมเมอรแมนไม่ได้ผล” [10]

เชิงอรรถ


[1] ชัยอนันต์ สมุทวนิชและขัตติยา กรรณสูตร, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2517-2477,  โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2518), หน้า 265.

[2] ชัยอนันต์ สมุทวนิชและขัตติยา กรรณสูตร, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2517-2477,  โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2518), หน้า 278-279.

[3] ชัยอนันต์ สมุทวนิชและขัตติยา กรรณสูตร, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2517-2477,  โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2518), หน้า 285.

[4] มีการแปลหนังสือเล่มนี้เป็นภาษาไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2474 ในชื่อ การสำรวจเศรษฐกิจในชนบทแห่งสยาม รายงานโดย คาร์ล ซี. ซิมเมอร์แมน,  แปลและเรียบเรียงโดย ซิม วีระไวทยะ ผู้เป็นหนึ่งในคนสนิทของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ผู้สนใจประวัติโดยย่อของเขา ดู กษิดิศ อนันทนาธร,  “ซิม วีระไวทยะ : ชีวิตเพื่ออุดมคติแห่งคณะราษฎร”  The 101.World, 22 Jun 2017, https://www.the101.world/sim-viravaidya/

[5] “The Chiengmai Trip (December 10, 1930 to Jan. 3, 1930).”  ซึ่งบันทึกเรื่องการเดินทางไปเชียงใหม่ของเขาขยายไปถึงวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 1931. และ “The Collaboration with Mrs. Bertha B. MacFarland. Christian Missions in Siam. A Study in Oriental Culture. “Unpublished manuscript on Siam” ดู Carle Clark Zimmerman manuscripts (MSS 21) - USask Library https://library.usask.ca/archives/collections/manuscripts-and-collections/pdf/MSS%2021%20FA.pdf

[6] Carle C. Zimmerman, 1933. "Problems of Rural Ceylon, by Wilmot A. Perera. Associated Newspapers of Ceylon, Limited (Colombo) 1932. Pp. 34," American Journal of Agricultural Economics, Agricultural and Applied Economics Association, vol. 15(3), pages 599-600. Carle Clark Zimmerman manuscripts (MSS 21) - USask Library

https://library.usask.ca/archives/collections/manuscripts-and-collections/pdf/MSS%2021%20FA.pdf

[7] และตั้งแต่ ค.ศ.  1946-1948  บรันเนอร์ได้เป็นหนึ่งในคณะกรรมาธิการที่มีชื่อว่า “the Committee of Ten on Post‐War Progress and Policy for the Cooperative Agriculture and Home Economics Extension Service”  คณะกรรมาธิการทั้งสิบหรือ “the Committee of Ten” ประกอบด้วยกรรมาธิการจำนวนสิบคน เป็นชื่อที่ใช้เรียก “The National Education Association of the United States Committee on Secondary School Studies/NEA—คณะกรรมาธิการการศึกษาระดับมัธยม สมาคมการศึกษาแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา) และตั้งแต่ ค.ศ. 1942-1951 บรันเนอร์ได้เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงเกษตร ดู “Edmund Brunner Sociologist, Dies,” The New York Times, December 23, 1973.

[8] ดูเชิงอรรถที่ 5

[9] ชัยอนันต์ สมุทวนิชและขัตติยา กรรณสูตร, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2517-2477,  โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2518), หน้า 362-363.

[10] รายงานการประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2475,  วีณา มโนพิโมกษ์, ความขัดแย้งในคณะราษฎร, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต แผนกวิชาประวัติศาสตร์, บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย พ.ศ. 2520,  หน้า  247-248.