เศรษฐกิจมหภาค

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง : พอพันธ์ อุยยานนท์

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.สนธิ เตชานันท์

          ในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวคือช่วงปลาย พ.ศ. ๒๔๖๘- พ.ศ. ๒๔๗๗ ยังไม่มีการประมาณบัญชีรายได้ประชาชาติ หรือผลิตภัณฑ์ภายในประเทศของไทยหรือประเทศอื่น ๆ     รองศาสตราจารย์ ดร.สมภพ  มานะรังสรรค์ ได้ประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของไทย (Gross Domestic Product : GDP) ย้อนหลัง   ในปี ๒๔๗๒ แสดงว่า GDP ของไทยเมื่อคำนวณโดยใช้ ณ. ราคาปัจจุบันในปี ๒๔๙๓ มีมูลค่าเท่ากับ ๑๓,๐๘๗ ล้านบาท โดย GDP จากภาคเกษตรมีสัดส่วนร้อยละ ๔๓.๘ ภาคอุตสาหกรรมเท่ากับร้อยละ ๑๔.๓ ส่วนภาคบริการเท่ากับร้อยละ ๔๑.๙[๑]  GDP จำแนกตามรายสาขาเศรษฐกิจแสดงในตารางที่ ๑ ข้างล่าง

ตารางที่ ๑ GDP ของไทยในปี ๒๔๗๒ (ณ ราคาปัจจุบัน ในปี ๒๔๙๓)

สาขาเศรษฐกิจ

ล้านบาท

๑. เกษตร

๕,๗๓๕

๑.๑ พืช

๔,๑๑๖

๑.๑.๑ ข้าว

๒,๔๓๖

๑.๑.๒ ยางพารา

๒๙

๑.๑.๓ พืชอื่นๆ

๑,๕๗๗

๑.๒ ปศุสัตว์

๕๗๙

๑.๓ ประมง

๑๑๓

๑.๔ ป่าไม้

๑,๐๓๗

๑.๔.๑ ไม้สัก

๒๔๔

๑.๔.๒ ป่าไม้อื่นๆ

๗๕๗

๒. เหมืองแร่

๒๗๕

๒.๑ ดีบุก

๒๔๐

๒.๒ เหมืองแร่อื่นๆ

๓๕

๓. หัตถอุตสาหกรรม

๑,๖๐๓

๔. ก่อสร้าง

๓๔๖

๕. ไฟฟ้า

๑๕

๖. คมนาคมและขนส่ง

๗๓๒

๗. ขายปลีกและขายส่ง

๑,๕๔๗

๘. ธนาคารประกันภัยและอสังหาริมทรัพย์

๙๐

๙. ที่อยู่อาศัย

๕๔๗

๑๐. บริหารราชการและป้องกันประเทศ

๘๑๙

๑๑. อื่นๆ

๑,๓๗๘

รวม

๑๓,๐๘๗

ที่มา : Sompop Manarungsan. Economic Development of Thailand 1850-1950 : Response to the Challenge of the World Economy. p.25

 

เศรษฐกิจการเกษตร เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของเศรษฐกิจไทยทั้งในแง่เป็นภาคที่สร้างผลผลิตและรายได้ รวมทั้งเป็นแหล่งการจ้างงาน แหล่งทำมาหากินที่ใหญ่ที่สุด ในการสำรวจสำมะโนประชากรปี ๒๔๗๒ แรงงานที่อยู่ในภาคเกษตร (รวมทั้งปศุสัตว์และ ประมง) มีถึงกว่า ๖ ล้านคน ประมาณร้อยละ ๘๔.๑๐ ของแรงงานในวัยทำงาน(โดยที่ประชากรทั้งหมดของไทยเท่ากับ  ๑๑.๕ ล้านคน)  โดยที่แรงงานในภาคบริการ อาทิเช่น ข้าราชการและลูกจ้างของหน่วยราชการ (ยกเว้นข้าราชการทหาร) ผู้ใช้วิชาชีพชั้นสูงและแรงงานอิสระ   ผู้ทำงานในภาคการค้า และผู้ทำงานบ้าน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๑๓.๒๗ ส่วนผู้ที่ทำงานในภาคหัตถอุตสาหกรรมคิดเป็นร้อยละ ๒.๑๙ เท่านั้น(ตารางที่ ๒)

ตารางที่ ๒   ผู้ทำงานในภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ ของไทยในปี ๒๔๗๒

อาชีพ

จำนวนผู้ทำงาน

ร้อยละ

เกษตรและปศุสัตว์

๒๔๕,๓๕๘

๘๓.๐๕

ประมง

๘๒,๘๕๓

๑.๑๐

วิชาชีพและผู้ทำงานอิสระ

๙๓,๙๖๗

๑.๒๕

พาณิชยกรรม

๕๐๘,๘๓๙

๖.๗๐

อุตสาหกรรม

๑๖๔,๕๒๖

๒.๑๙

ข้าราชการและลูกจ้างในหน่วยงานของรัฐบาล (ยกเว้นทหาร )

๖๒,๑๐๘

๐.๘๓

ทำงานบริการในบ้านและอื่นๆ

๓๖๗,๑๐๕

๔๘๘

รวม

๗,๕๑๙,๗๕๗

๑๐๐.๐๐

ที่มา:  Statistical Yearbook of the Kingdom of Siam,  2475/2475

          เศรษฐกิจการปลูกข้าวมีความสำคัญที่สุดของเศรษฐกิจไทย ผู้ที่เป็นชาวนามีสัดส่วนสูงถึงมากกว่าร้อยละ ๙๐ ของผู้ทำงานในภาคเกษตรทั้งหมด หรือเกือบร้อยละ ๘๐ ของผู้มีงานทำทั้งหมดของผู้มีงานทำทั้งประเทศ  การส่งออกข้าวนำรายได้หรือเงินตราต่างประเทศเข้าสู่ประเทศมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ ๖๘.๘ ในช่วงพ.ศ. ๒๔๖๘ – ๒๔๗๒ และลดลง เท่ากับร้อยละ ๕๙.๕ ในช่วงพ.ศ.  ๒๔๗๒ – ๒๔๗๗  อันเป็นผลมาจากเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก แม้จะมีการลดลงมูลค่าจากการส่งออกเนื่องจากราคาข้าวที่ขายได้ลดลง แต่ทว่าปริมาณการส่งออกกลับไม่ได้ลดลงเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับก่อนปี ๒๔๖๘ (ตารางที่ ๓)

'ตารางที่ ๓':  ปริมาณและมูลค่าการส่งออกข้าวปี พ.ศ. ๒๔๖๘-๒๔๗๗

 

ปี

ปริมาณการส่งออกข้าว

(พันเมตริกตัน )

มูลค่าการส่งออกข้าว

(ล้านบาท)

การส่งออกข้าวคิดเป็นร้อยละของรายได้จาการส่งออกทั้งหมด

เฉลี่ย ๒๔๕๗ -๖๘

๑,๐๕๔

๑๐๗.๔

๖๘.๘

๒๔๖๘

๑,๓๗๕

๑๖๗.๔

๖๘.๔

๒๔๖๙

๑,๓๐๗

๑๖๕.๒

๖๙.๐

๒๔๗๐

๑,๑๓๓

๒๐๑.๑

๗๒.๗

๒๔๗๑

๑,๗๒๐

๑๗๕.๑

๖๙.๓

๒๔๗๒

๙๘๔

๑๓๙.๐

๖๓.๒

๒๔๗๓

๑,๐๗๙

๑๐๓.๐

๖๓.๗

๒๔๗๔

๑,๐๓๒

๗๗.๕

๕๗.๗

๒๔๗๕

๑,๓๘๙

๙๔.๒

๖๑.๕

๒๔๗๖

๑,๓๕๐

๓๒.๙

๕๗.๕

๒๔๗๗

๒,๐๐๒

๙๘.๕

๕๗.๐

ที่มา :  Statistical Yearbook of the Kingdom of Siam , Various Years

          แหล่งปลูกข้าวที่สำคัญเพื่อการส่งออก คือ พื้นที่ภาคกลางโดยเฉพาะพื้นที่ที่ราบลุ่มภาคกลางหรือที่เรียกว่า ที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา หรือ เจ้าพระยาเดลตา  พื้นที่สำคัญที่เป็นแหล่งปลูกข้าวเพื่อการส่งออก คือ อยุธยา ปทุมธานี อ่างทอง ลพบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ฉะเชิงเทรา รวมทั้งบางส่วนของพื้นที่รอบ ๆ กรุงเทพฯ ใน  พ.ศ. ๒๔๗๒ ประมาณว่ามากกว่าร้อยละ ๘๐ ของข้าวเพื่อส่งออกมาจากที่ราบภาคกลาง ส่วนพื้นที่ส่วนอื่น ๆ ของประเทศ เช่น ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ การปลูกข้าวส่วนใหญ่เป็นการปลูกเพื่อการบริโภค เป็นสำคัญหรือมีส่วนเกินเพื่อขายเพียงเล็กน้อย

          ข้อมูลที่สำคัญอีกอย่างก็คือการส่งออกข้าวไทยได้กระจายไปหลายตลาดในประเทศต่าง ๆ สถิติการส่งออกข้าวที่สำคัญในบางช่วงเวลา เช่น ใน  พ.ศ. ๒๔๗๒ (เดือนพฤษภาคม) มีดังต่อไปนี้ (ตารางที่ ๔)  

ตารางที่ ๔  การส่งออกข้าวของไทย ณ ท่าเรือกรุงเทพฯ จำแนกตามประเทศผู้นำเข้า เดือนพฤษภาคม ๒๔๗๒

ประเทศ

หาบ

บาท

ออสเตรเลีย

๑,๐๑๗

๙,๐๗๖

บริติช มาเลย์ เสตท

๔๐,๖๘๙

๓๙๐,๔๙๓

จีน

๓๒,๙๓๒

๒๑๕,๙๗๗

เดนมาร์ก

๒,๒๐๑

๑๒,๓๔๑

ดัช บอร์เนียว

๙๑

๗๐๐

ยุโรป

๔๙,๕๖๐

๔๒๕,๓๐๗

เยอรมนี

๓๘,๕๔๖

๓๒๔,๕๘๐

ฮ่องกง

๔๔๐,๒๔๑

๒,๖๖๓,๐๘๔

อิตาลี

๒๕,๒๐๐

๒๐๒,๘๘๐

ญี่ปุ่น

๑๙๕,๒๔๒

๒,๑๓๕,๒๒๒

เนเธอร์แลนด์

๘,๔๑๕

๗๐,๐๗๖

ดัชส์ อินดีส

๔๖,๔๕๔

๓๔๕,๖๙๖

ปอร์ตุกีส อีสต์ อาฟริกา

๖,๔๕๗

๕๖,๙๙๕

ปอร์ต ซาอิส

๑๖,๘๐๐

๑๓๕,๒๐๐

สิงคโปร์

๗๖๙,๗๕๐

๕,๙๔๓,๗๕๗

เซาส์ อเมริกัน พอร์ต

๒,๒๘๘

๑๗,๗๖๓

ยูเนียนออฟเซาส์ อาฟริกา

๗,๔๕๕

๖๑,๓๕๒

สหราชอาณาจักร

๑,๒๖๐

๑๐,๒๒๗

รวม

๑,๖๘๔,๔๑๘

๑๒,๑๒๐,๗๐๗

ที่มา  : หจช.  รฟท. ๒/๑๖

การขยายตัวของการส่งออกข้าว มีผลต่อการขยายตัวของอุตสาหกรรม โดยเฉพาะภาคหัตถอุตสาหกรรม การส่งออกข้าวมีผลต่อการเติบโตของโรงสี ในเบื้องต้นกระจุกตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ และต่อมากระจายไปสู่จังหวัดต่าง ๆ ธุรกิจโรงสีข้าวเกือบทั้งหมดดำเนินการโดยชาวจีน โดยจำแนกได้เป็น ๔ ชนิด คือ (ก) สีด้วยแรงสตีม (ข) สีด้วยแรงเครื่องยนต์ (ค) สีด้วยแรงไฟฟ้า (ง) สีด้วยแรงคน (สีมือ) ซึ่งการสีประเภทนี้ได้ลดน้อยลงไปมากแล้ว กรรมกรที่ทำงานในโรงสีเกือบทั้งหมดเป็นชาวจีนอพยพ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ซึ่งอพยพมาโดยอาศัยเรือเข้าออกระหว่างกรุงเทพฯ กับท่าเรือที่เมืองซัวเถา โรงสีขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ มีการจ้างงานถึง ๒๐๐ คน โดยที่ค่าแรงที่ได้รับประมาณ ๐.๗๕ – ๑.๐๐ บาทต่อวัน ประมาณว่าในปี พ.ศ. ๒๔๗๒ มีผู้ทำงานในโรงสีข้าวในกรุงเทพฯ ประมาณ ๑๔,๐๐๐ คน [๒] การเติบโตของการส่งออกข้าวยังมีผลต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ของไทย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจการค้าและบริการ การนำเข้าส่งออก โกดังเก็บสินค้า ธนาคารและการประกันภัย ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทย

นอกจากข้าวแล้วสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ประกอบไปด้วย ดีบุก ไม้สัก และยางพารา ซึ่งนับเป็นสินค้าส่งออกที่ทำรายได้ให้ แก่เศรษฐกิจไทยได้สูงในอันดับต้น ๆ มาโดยตลอด สถิติการมูลค่าการส่งออกของดีบุก ไม้สัก และยางพารา มีดังต่อไปนี้ (ตารางที่ ๕) มูลค่าการส่งออกของสินค้า ๔ ชนิด คือ ข้าว ดีบุก ไม้สัก และยางพาราของไทยเป็นสินค้าหลักที่นำรายได้มาสู่เศรษฐกิจไทยมาตลอดจนถึงทศวรรษ ๒๕๑๐

 

ตารางที่ ๕ มูลค่าการส่งออกดีบุก ไม้สัก และยางพาราของไทย พ.ศ.  ๒๔๖๘ – ๒๔๗๗

หน่วย : ล้านบาท

ปี

ดีบุก

ไม้สัก

ยางพารา

๒๔๖๘

๓๓.๒

๕.๖

๑๐.๑

๒๔๖๙

๓๓.๐

๘.๒

๕.๒

๒๔๗๐

๓๓.๓

๙.๙

๖.๓

๒๔๗๑

๓๑.๙

๑๑.๒

๒.๙

๒๔๗๒

๓๗.๘

๑๑.๒

๒.๙

๒๔๗๓

๓๓๖.

๙.๗

๑.๒

๒๔๗๔

๒๙.๑

๔.๙

๐.๕

๒๔๗๕

๒๗.๘

๙.๓

๐.๓

๒๔๗๖

๓๙.๓

๔.๒

๒.๓

๒๔๗๗

๔๑.๖

๔.๕

๙.๓

 

ที่มา: Statistical Yearbook of the Kingdom of Siam , Various Years

          การเติบโตการส่งออกของไทยยังมีผลต่อการเติบโตของธุรกิจในส่วนภูมิภาคด้วย กิจการเหมืองแร่ดีบุกเกือบทั้งหมดอยู่ในฝั่งตะวันตกของภาคใต้ และส่วนใหญ่อยู่ที่เกาะภูเก็ต ในคริสตศตวรรษที่ ๑๙ เกือบทั้งหมดเป็นของชาวจีน ไม่มีโรงงานถลุงแร่ดีบุกในไทย แต่จะส่งแร่ที่ชำระสะอาดแล้วออกไปจำหน่ายที่ปีนังและสิงคโปร์ ครั้นถึงต้นคริสตศตวรรษที่ ๒๐ มีการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทุนของอังกฤษและออสเตรเลียในกิจการดีบุก ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่คือเทคโนโลยีแบบเรือขุด (bucket dredging) หรือเทคโนโลยีแบบใช้ทุนเข้มข้น (capital - intensive technology) แทนที่เทคโนโลยีแบบดั้งเดิมที่ใช้วิธีเหมืองสูบ และใช้แรงน้ำฉีดเอาแร่มากับกรวด    การส่งออกสินแร่ดีบุกได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การขยายตัวของกิจการเหมืองแร่มีผลต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจภาคใต้ อาทิเช่น การอพยพเข้ามาของแรงงานชาวจีนเพื่อทำงานในเหมือง มีผลต่อการเพิ่มขึ้นของประชากร การเติบโตของการสะสมทุน โดยเฉพาะนายทุนชาวจีนในกิจการเหมืองแร่และกิจการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตของเมือง โดยเฉพาะเมืองภูเก็ต อันเป็นแหล่งผลิตแร่ที่สำคัญที่สุดของภาคใต้  ต้นทศวรรษ ๒๔๗๐ มลฑลภูเก็ตมีสัดส่วนในการผลิตดีบุกถึงร้อยละ ๗๐ ของผลผลิตทั้งหมด โดยเกือบทั้งหมดอยู่ที่เกาะภูเก็ต (จังหวัดภูเก็ต) ส่วนภาคใต้ชายฝั่งตะวันออก มณฑลนครศรีธรรมราชเป็นแหล่งผลิตที่สำคัญที่สุด[๓]  ดีบุกทั้งหมดได้ส่งออกไปที่เสตรทเซทเทิลเมนต์ (Straits  Settlements )  และ บริติช มาเลย์เสตท (British Malay States) โดยในปี ๒๔๗๑ (เดือนมกราคม - มีนาคม) มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น ๕.๙๑ ล้านบาท [๔]

          การเติบโตของธุรกิจไม้สักเพื่อการส่งออก ใช้แรงงานขมุชาวพม่า มีผลต่อการเติบโตของกิจการโรงเลื่อยที่แปรรูปไม้สัก ในทศวรรษ ๒๔๗๐ มีโรงเลื่อยขนาดใหญ่อยู่ ๗ โรง โดยเป็นของชาวอังกฤษ ๔ โรง และอีก ๑ โรงเป็นของชาวเดนมาร์ค ซึ่งตั้งอยู่ที่ภาคเหนือ นอกจากนั้นมีโรงสีขนาดเล็กที่คนจีนเป็นเจ้าของกิจการ ไม้สักสำหรับจะส่งมาเลื่อยตามโรงเลื่อยในกรุงเทพฯ นั้นได้ผูกมัดเป็นแพซุงจอดอยู่ในลำน้ำเจ้าพระยาเหนือกรุงเทพฯขึ้นไป เมื่อถึงคราวต้องการเลื่อยก็จะล่องซุงลงมาเลื่อยที่กรุงเทพฯ ประมาณร้อยละ ๗๐ ของไม้สักส่งออกไปต่างประเทศ การส่งออกของไม้สักไปยังประเทศ และเมืองท่าต่าง ๆ ช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม ๒๔๗๑ มีรายได้ดังนี้ :

         

          ฮ่องกง                                                                    ๔๑๓,๙๗๕  บาท

          สเตรทเซทเทิลเมนต์และบริทิช มาเลย์สเตท                    ๓๐๗,๙๑๑  บาท

          ญี่ปุ่นและฟอร์โมซา                                                    ๒๓๙,๓๔๗  บาท

          จีน                                                                         ๑๔๙,๔๐๙  บาท

          เนเธอร์แลนด์อินดีส (อินโดนีเซีย)                                  ๖๔,๐๓๐  บาท

          อินเดีย ซีลอน (ศรีลังกา)                                              ๔๑,๖๘๔  บาท

          ยุโรป                                                                       ๑๙,๖๗๘  บาท

          รวม                                                                       ๗๗๑,๗๙๓  บาท

 

ที่มา  : หจช.  รฟท. ๒/๑๖

 

การขยายตัวของการส่งออกยางพารามีผลต่อการหลั่งไหลเข้ามาของแรงงานชาวจีนอพยพ ทั้งแรงงานและผู้ประกอบการจากมลายู มีการย้ายทุนอุตสาหกรรมเหมืองแร่สู่การทำสวนยางพาราในทศวรรษ  ๒๔๗๐  ผู้ปลูกยางพารามีทั้งชาวไทยและชาวจีนเชื้อสายมาเลย์ ส่วนผู้ประกอบการหรือพ่อค้าเป็นชาวจีน    คนจีนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมสวนยาง เช่น มีการตั้งบริษัทสวนยางพารา โดยได้ตั้งบริษัท ๒ แห่งคือ  The Jeng Jeng Plantation และ The Wae Chang Yen Plantation (จัดตั้งปี ๒๔๖๐) มีมูลค่าเงินจดทะเบียนเท่ากับกว่า ๖ ล้านบาท ทั้ง ๒ บริษัทได้บุกเบิกพื้นที่การปลูกยางพาราในภาคใต้จำนวน ๕๐,๐๐๐ ไร่ ในจังหวัดสงขลา และพื้นที่รอบนอกออกไป โดยทั้ง ๒ บริษัทได้จ้างแรงงานชาวจีนแคะซึ่งเคยเป็นกุลีสร้างรถไฟสายใต้ และแรงงานชาวจีนแคะจากอาณานิคมอังกฤษและฮอลันดาเข้ามาเป็นลูกจ้างของบริษัท[๕] มณฑลภูเก็ตเป็นผู้ส่งออกยางรายใหญ่ โดยในปี ๒๔๖๖  ส่งออกยางคิดเป็นร้อยละ ๗๕ และร้อยละ ๒๐ มาจากมณฑลปัตตานี มีการขยายตัวของการผลิตยางพาราขยายตัวไปสู่มลฑลอื่นๆ ของภาคใต้เพิ่มขึ้น  โดยเริ่มจากเมืองตรังในมณฑลภูเก็ตและขยายไปสู่จังหวัดและมณฑลอื่นๆ ในภาคใต้ คือ ภูเก็ต ปัตตานี และนครศรีธรรมราช และบางส่วนในจังหวัดจันทบุรี โดยเฉพาะที่นครศรีธรรมราช มีการขยายตัวสูงมาก  ในปี  ๒๔๖๖ การส่งออกยางพาราของ มณฑลนครศรีธรรมราชเท่ากับ ๑,๐๖๖ ลองตัน หรือมีมูลค่าเท่ากับ ๖๗,๕๒๐ ปอนด์เท่านั้น  แต่ในปี ๒๔๗๓ มีสัดส่วนของการส่งออกยางเท่ากับร้อยละ ๘๑.๙ ของการส่งออกยางพาราทั้งหมด ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเพียงร้อยละ ๐.๙ ในปี ๒๔๖๔[๖]

สถิติของการปลูกต้นยางของมณฑลต่างๆ ในปี ๒๔๗๒ แสดงว่าพื้นที่การกรีดยางและยังไม่กรีดยางเท่ากับ ๖.๗๙ แสนไร่ โดยปัตตานีมีพื้นที่การกรีดยางมากที่สุดเท่ากับ ๔.๑๒ แสนไร่ รองลงมาคือนครศรีธรรมราช ๑.๖๖ แสนไร่ (ตารางที่ ๖)  การขยายตัวเพิ่มขึ้นของยางส่งออก ส่วนหนึ่งเกิดจากราคาที่เพิ่มขึ้นจากการจำกัดการผลิตของในอาณานิคมชาวอังกฤษ[๗]  โดยที่ไทยเองไม่มีข้อจำกัดการผลิตยางนั่นเองเพราะเป็นผู้ส่งออกรายย่อย  ซึ่งมีผลให้ยางพาราของไทยขยายตัว ทั้งนี้เพื่อการแก้ความผันผวนของยางพารา  ไทยได้เข้าร่วมเป็นภาคีใน “ความตกลงจำกัดยางระหว่างประเทศในปี ๒๔๗๗ เพื่อควบคุมปริมาณการผลิตยาง เพื่อความเหมาะสมกับอุปสงค์ของตลาดโลก ราคาของยางกลับมาเพิ่มขึ้นหลังจากนั้นการขยายพื้นที่เพาปลูกและผลผลิตเพิ่มขึ้น ก่อนที่จะหยุดชะงักไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง การส่งออกยางพาราจากไทยทั้งหมดส่งไปที่สเตรทเซทเทิลเมนต์และบริทิช มาเลย์สเตทช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม ๒๔๗๑ มีมูลค่าการส่งออกเท่ากับ ` ๖๑๘,๗๘๘ บาท[๘]

ตารางที่ ๖  พื้นที่ปลูกยาง ของมณฑลต่างๆ ในปี ๒๔๗๒

มณฑล

ต้นยางที่กรีดได้แล้ว

(ไร่)

ต้นยางที่ยังกรีดไม่ได้

(ไร่)

รวม

(ไร่)

นครศรีธรรมราช

๘๕,๔๙๕

๘๐,๘๙๙

๑๖๖,๓๙๔

ปัตตานี

๑๓๙,๐๔๑

๒๗๓,๒๙๑

๔๑๒,๓๓๒

ภูเก็ต

๓๐,๗๒๕

๖๐,๑๗๗

๙๐,๙๐๒

จันทบุรี

๒,๗๘๑

๗,๕๔๑

๑๐,๒๙๕

รวม

๒๕๘,๐๔๒

๔๒๑,๘๘๑

๖๗๙,๙๒๓

ที่มา:  Ministry of Commerce and Communications,  Siam : Nature and Industry, p.218.

การส่งออกสินค้าอื่น ๆ นอกเหนือจากข้าว ดีบุก ไม้สัก และยางพาราแล้ว ยังมีการส่งออกสินค้าต่าง ๆ ไปต่างประเทศ อาทิเช่น โคและกระบือ   พริกไท เกลือ ปลาและปลาเค็ม ครั่ง หนัง (สินค้าหนังจากโคและกระบือ)  เป็นต้น ส่วนสินค้านำเข้าที่สำคัญประกอบด้วย เสื้อผ้า หรือสินค้าที่ทำด้วยฝ้ายต่าง ๆ ด้วย อาหาร ของใช้ทำด้วยโลหะ น้ำมัน (น้ำมันก๊าด และน้ำมันเบนซิน และน้ำมันอื่น ๆ)  รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ยาสูบ และบุหรี่ต่างประเทศ เหล้าเบียร์ เหล้าองุ่น และสุราต่าง ๆ ผ้าไหม กระสอบป่าน กระดาษ เครื่องจักรต่าง ๆ ยา และเครื่องหอมต่าง ๆ เครื่องถ้วยชามและเครื่องปั้นดินเผา เครื่องทองรูปพรรณ ไม้ขีดไฟ เสื่อและของจักสาน เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ พลอยที่ยังไม่ได้เจียรนัย ฯลฯ

 

สินค้านำเข้าของไทยก็มีความหลากหลาย สินค้านำเข้าที่สำคัญในปี ๒๔๗๑ (เดือนมกราคม - มีนาคม)  มีดังต่อไปนี้ :

 

น้ำมันก๊าด

๑,๙๙๐,๓๒๓  บาท

อาหาร 

๗,๑๖๔,๒๐๗  บาท

กระสอบป่าน

๒,๑๙๒,๖๕๒  บาท

เครื่องจักร

๓,๗๙๘,๗๘๐  บาท

อุปกรณ์โลหะ

๓,๔๕๕,๑๘๘  บาท

สินค้าจากฝ้าย   

๖,๖๖๘,๗๖๒  บาท

สินค้าฝ้ายอื่น ๆ 

๑,๔๓๒,๘๕๖  บาท

บุหรี่ ยาสูบ ซิการ์        

๒,๓๕๐,๗๕๖  บาท

เบียร์ ไวน์ และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

๑,๐๐๐,๓๗๑  บาท

เหรียญเงินและเหรียญกษาปณ์

๑,๖๘๐,๔๗๓  บาท

ทองคำรูปพรรณ

๑,๙๘๔,๘๘๙  บาท

อื่น ๆ             

๑๗,๖๔๕,๑๖๗  บาท

รวม

๕๑,๓๒๓,๔๓๐  บาท

ที่มา  : หจช.  รฟท. ๒/๑๖

 

ตลอดรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ โครงสร้างการค้าระหว่างประเทศอยู่ในภาวะเกินดุลมาโดยตลอด แม้ว่าไทยจะประสบปัญหากับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำในทศวรรษ ๒๔๗๐ ซึ่งมีผลให้มูลค่าการส่งออกข้าวและ สินค้าอื่น ๆ ลดลง เนื่องจากหลายประเทศมีอัตราการขยายตัวของรายได้ตกต่ำลง และใช้นโยบายตั้งกำแพงภาษีเพื่อกีดกันการนำเข้าจากไทย (ตารางที่ ๗)

ตารางที่ ๗ ดุลการค้าของไทย พ.ศ. ๒๔๖๓ – ๒๔๗๗

                                                                              หน่วย : ล้านบาท

พ.ศ.

ส่งออก

นำเข้า

ส่งออกมากกว่านำเข้า

๒๔๖๘

๒๔๔.๗

๑๘๑.๔

๖๓.๔

๒๔๖๙

๒๓๙.๓

๑๙๖.๕

๔๒.๗

๒๔๗๐

๒๗๖.๓

๒๐๑.๑

๗๕.๒

๒๔๗๑

๒๕๒.๕

๑๘๙.๘

๖๒.๗

๒๔๗๒

๒๑๙.๘

๒๐๖.๗

๑๓.๑

๒๔๗๓

๑๖๑.๕

๑๕๕.๐

๖.๕

๒๔๗๔

๑๓๔.๒

๙๙.๘

๓๔.๑

๒๔๗๕

๑๕๒.๕

๘๙.๕

๖๓.๐

๒๔๗๖

๑๔๔.๑

๙๓.๐

๕๑.๑

๒๔๗๗

๑๗๒.๖

๑๐๑.๗

๗๐.๖

ที่มา : Statistical Yearbook of the Kingdom of Siam , Various Years

 

กล่าวโดยสรุป เศรษฐกิจการเกษตรโดยเน้นการปลูกข้าวเป็นพื้นฐานที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งในแง่เป็นภาคที่สร้างผลผลิตและรายได้ แหลงการจ้างงาน และแหล่งทำมาหากินที่สำคัญที่สุด แหล่งปลูกข้าวที่สำคัญเพื่อการส่งออก คือ พื้นที่ที่ราบลุ่มภาคกลางใกล้กรุงเทพฯ การขยายตัวของการส่งออกข้าวมีผลให้เกิดกิจการโรงสี รวมทั้งมีผลต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจด้านอื่นๆ ด้วย อาทิเช่น ธุรกิจการค้าและบริการ การนำเข้าและส่งออก โกดังสินค้า ธนาคารและการประกันภัย นอกจากข้าวแล้วการส่งออกที่สำคัญคือ ไม้สัก ดีบุก และยางพารา ซึ่งเมื่อรวมรายได้จากการส่งออกข้าวแล้ว รายได้จากการส่งออกรวมกันคิดเป็นมากกว่าร้อยละ ๘๕ ของการส่งออกทั้งหมดของไทย

 

หมายเหตุ: ข้อมูลซึ่งใช้ในการเขียนบทความนี้มาจากงานวิจัยเรื่อง “สยามในระบบเศรษฐกิจระหว่างชาติในช่วงทศวรรษ ๑๙๓๐” ซึ่งมูลนิธิประชาธิปก-รำไพพรรณีให้ความสนับสนุนผ่านสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งงานวิจัยดังกล่าวมูลนิธิฯ ได้จัดพิมพ์เป็นหนังสือ เศรษฐกิจไทยในสมัยรัชกาลที่ ๗: รักษาเสถียรภาพ ปูพื้นฐานการพัฒนา กรุงเทพฯ: โครงการจัดพิมพ์คบไฟ, ๒๕๕๘ แล้ว ผู้เขียนขอขอบพระคุณมูลนิธิประชาธิปก-รำไพพรรณีเป็นอย่างยิ่ง ณ ที่นี้

 

บรรณานุกรม

กิตติ  ตันไทย. ๒๕๕๒. หนึ่งศตวรรษเศรษฐกิจของคนลุ่มทะเลสาบสงขลา.  กรุงเทพฯ : สำนักงาน  สนับสนุนการวิจัย.

หจช. รฟท. ๒/๑๖   จดหมายเหตุของสภาเผยแผ่พาณิชย์ (กรมรถไฟหลวง)

Bristish Consular Report, Senggora  (1973)

Ministry of Commerce and Communications. ๑๙๓๐.  Siam : Nature and Industry. Bangkok : Bangkok Times Press.

Sompop Manarungsan. 1989. Economic Development of Thailand 1850-1950 : Response to the Challenge of the World Economy. Institute of Asian Studies, Chulalongkorn University.

 

อ้างอิง

[๑]Sompop Manarungsan. 1989. Economic Development of Thailand 1850-1950 : Response to the Challenge of the World Economy. Institute of Asian Studies, Chulalongkorn University. p. 251.

[๒] Sompop Manarungsan. 1989. Economic Development of Thailand 1850 -1950 : Response to the Challenge of the World Economy. Institute of Asian Studies, Chulalongkorn University, p. ๑๖๗.

[๓] Ministry of Commerce and Communications. ๑๙๓๐.  Siam : Nature and Industry. Bangkok : Bangkok Times Press, p.๑๑๑.

[๔] หจช. รฟท. ๒/๑๖   จดหมายเหตุของสภาเผยแผ่พาณิชย์ (กรมรถไฟหลวง)

[๕] กิตติ  ตันไทย. ๒๕๕๒. หนึ่งศตวรรษเศรษฐกิจของคนลุ่มทะเลสาบสงขลา.  กรุงเทพฯ : สำนักงาน  สนับสนุนการวิจัย, หน้า ๙๔ ซึ่งในทศวรรษ ๒๔๗๐  มีสวนยางเพียง ๒ แห่งเท่านั้นที่อยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัทชาวตะวันตก

[๖] Sompop Manarungsan. 1989. Economic Development of Thailand 1940-1950 : Response to the Challenge of the World Economy. Institute of Asian Studies, Chulalongkorn University, p.110.

[๗] Bristish Consular Report, Senggora  (1973)

[๘] หจช. รฟท. ๒/๑๖   จดหมายเหตุของสภาเผยแผ่พาณิชย์ (กรมรถไฟหลวง)