อุตสาหกรรมที่สำคัญของคนไทย
อุตสาหกรรมที่สำคัญของคนไทย[๑]
ผู้เรียบเรียง : พอพันธ์ อุยยานนท์
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.สนธิ เตชานันท์
อุตสาหกรรมในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวยังมีขนาดเล็ก และมีความสำคัญน้อยต่อเศรษฐกิจไทยทั้งในแง่ของการสร้างมูลค่าของผลผลิต รายได้ และการจ้างงาน ในปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ผู้ทำงานในภาคอุตสาหกรรมมีเพียง ๑.๖๔ แสนคน หรือคิดเป็นร้อยละ ๒.๑๙[๒] โรงงานอุตสาหกรรมเกือบทั้งหมดกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่มีมูลค่าเพิ่มต่ำเป็นอุตสาหกรรมเบา ผลิตสินค้าบริโภคเพื่อใช้ในประเทศ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นชาวจีนและชาวตะวันตก รวมทั้งแรงงานที่ใช้ในการผลิตก็เป็นแรงงานชาวจีน ในต่างจังหวัดมีเพียงอุตสาหกรรมพื้นบ้านที่ทำกันในบางพื้นที่ เช่น เซรามิก สิ่งทอ เครื่องปั้นดินเผา ถนอมอาหาร แปรรูป ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในท้องถิ่นเท่านั้น
อุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ ณ ขณะนั้น คือ ซิเมนต์ ไม้ขีดไฟ สบู่ เบียร์ เครื่องดื่ม น้ำแข็ง สภาพของการพัฒนาอุตสาหกรรมในรัชสมัยของพระองค์ไม่แตกต่างจากรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมากนัก กล่าวคือ ในปี ๒๔๖๒ รายงานของกงศุลอังกฤษระบุว่า มี “โรงงาน” เพียง ๗ แห่งในกรุงเทพฯ ซึ่งรวมโรงงานปูนซีเมนต์ ๑ แห่ง โรงงานน้ำอัดลม ๓ แห่ง โรงงานสบู่ ๑ แห่ง และโรงงานฟอกหนัง ๑ แห่ง[๓] โดยเขาระบุว่า ในปี ๒๔๖๒ มีเพียงโรงงานปูนซีเมนต์ และโรงงานน้ำอัดลม ๑ แห่งเท่านั้นที่เกิดจากทุนชาวไทยเป็นส่วนใหญ่ โดยที่โรงปูนซิเมนต์มีการจัดการตามแบบต่างประเทศ[๔]
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ในปี ๒๔๖๘ มีการตั้งโรงงานในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น ในปี ๒๔๗๑ บริษัทมินเซ ซึ่งเป็นบริษัทที่มีพ่อค้าชาวจีนถือหุ้นใหญ่ เงินทุนจดทะเบียน ๒ แสนบาท ได้ก่อตั้งโรงงานผลิตไม้ขีดไฟ โรงงานนี้มีเนื้อที่ ๒๐ ไร่ ตั้งอยู่บนพื้นที่ข้างถนนพระรามที่ ๔ โรงงานนี้ได้จ้างแรงงานประมาณ ๗๐๐ คน โดยที่ ๖๐๐ คนเป็นแรงงานรับจ้างรายวัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานชาวจีนผู้หญิงและเป็นเด็ก ในขณะที่แรงงานชาวไทยถูกจ้างงานและรับงานไปทำที่บ้าน โรงงานนี้ส่วนหนึ่งใช้เครื่องจักรไฟฟ้าเพื่อการผลิต ส่วนหนึ่งทำการผลิตโดยใช้มือ บริษัทมินเซคาดการณ์ว่าจะสามารถมีส่วนแบ่งตลาดภายในประเทศประมาณร้อยละ ๒๐ ในปี ๒๔๗๔[๕]
บริษัทปูนซิเมนต์ไทย และ บริษัทบุญรอด บริวเวอรี
ก่อนสมัยรัชกาลที่ ๗ บริษัท สยามซิเมนต์ (บริษัทปูนซิเมนต์ไทย) และเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้ทุนเป็นปัจจัยที่สำคัญในการผลิต (Capital intensive) โดยใช้เครื่องจักรที่ทันสมัย โดยก่อนหน้านี้ก็มีได้ก่อตั้งโดยคนไทยในปี ๒๔๕๖ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือกรมพระคลังข้างที่ ซึ่งมีหุ้นอยู่ถึง ๕ แสนบาท จากหุ้นทั้งสิ้น ๑ ล้านบาท เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้ทุนและเทคโนโลยีที่ทันสมัย รวมทั้งการบริหารและการจัดการสมัยใหม่แบบต่างประเทศ และชาวต่างชาติเป็นเจ้าของบางส่วน ผู้จัดการของบริษัทฯ คนแรกเป็นชาวเดนมาร์ก คือ นายออสการ์ ชูลซ์ (Oscar Schulz) ดำรงตำแหน่งช่วงปี ๒๔๕๗ – ๒๔๖๘ ปี ๒๔๕๖ บริษัทจ้างคนงานประมาณ ๓๐๐ คน ซึ่งร้อยละ ๗๐ เป็นชาวจีน และส่วนที่เหลือเป็นคนไทย ในปี ๒๔๖๘ บริษัทฯได้ขยายการผลิตมากขึ้นและได้ส่งออกไปยังสิงคโปร์[๖]
แม้ว่าช่วงต้นทศวรรษ ๒๔๗๐ ซึ่งเป็นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ การดำเนินงานของบริษัทก็ยังได้กำไรถึงร้อยละ ๖ – ๑๒[๗] ในปี ๒๔๗๐ บริษัทมีกำไรขั้นต้น ๕.๕๒ แสนบาท จ่ายเงินปันผลเท่ากับ ๑๐ เปอร์เซนต์ ในปี ๒๔๗๐ และ ในปี ๒๔๗๓ และ ๒๔๗๔ บริษัทฯ ยังได้รับกำไรสูงถึงประมาณ ๕.๑๙ แสนบาท และเท่ากับ ๓.๓๕ แสนบาท และ ๓.๒ หมื่นบาท ในปี ๒๔๗๕ และ ๒๔๗๖ ตามลำดับ (ในระหว่างปี ๒๔๕๙-๒๔๗๙ ผู้ถือหุ้นได้รับเงินปันผลเฉลี่ยเท่ากับ ๑๐ เปอร์เซนต์ต่อปี ซึ่งบริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลเป็นเงินทั้งสิ้น ๕.๕๗ ล้านบาท ในขณะที่ผู้ลงทุนในช่วง ๙ ปีแรกมีหุ้นรวมกันเพียง ๓ ล้านบาทเท่านั้น) การดำเนินงานของบริษัทปูนซิเมนต์ไทยประสพความสำเร็จ ส่วนหนึ่งเพราะว่ามีการก่อสร้างในกรุงเทพฯ ซึ่งได้ขยายตัวเร็ว โครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางเศรษฐกิจก็มีการขยายตัวสูงเช่นเดียวกัน อาทิเช่น การก่อสร้างสะพานพระราม ๖ นั้น มีผลให้ความต้องการปูนซิเมนต์เพื่อการทำอิฐสูงถึง ๑,๐๐๐ แผ่นต่อวัน[๘]
ในปี ๒๔๗๖ พระยาภิรมย์ภักดี (บุญรอด เศรษฐบุตร) ได้ก่อตั้งโรงเบียร์ในกรุงเทพฯ บริษัทบุญรอด บริวเวอรี มีทุนก่อตั้งประมาณ ๖ แสนบาท โดยที่ผู้ที่ถือหุ้นใหญ่นอกจากพระยาภิรมย์ภักดีแล้วยังมีพระคลังข้างที่ ธนาคารฮ่องกงและธนาคารเซี่ยงไฮ้[๙] นับเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญของคนไทยต่อจากบริษัทปูนซิเมนต์ไทย
ก่อนมีการตั้งบริษัทบุญรอด บริวเวอรีเพื่อดำเนินการในการผลิตเบียร์ ในปี ๒๔๗๖ ตลาดของเบียร์ในประเทศไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นตามลำดับ ยอดนำเข้าเบียร์จากต่างประเทศในปี ๒๔๖๖ – ๒๔๗๔ เพิ่มขึ้นจาก ๓.๗ แสนลิตร เป็น ๑.๓๒ ล้านลิตร[๑๐] โดยมีมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ ๒.๕๑ แสนบาท เป็น ๔.๗๕ แสนบาท ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยในปี ๒๔๗๒ ไทยได้นำเข้าเบียร์จากประเทศต่างๆ ดังต่อไปนี้ : เยอรมนี (๒.๖๒ แสนลิตร มูลค่า ๑.๓๔ แสนบาท) สหราชอาณาจักร (๑.๑๐ แสนลิตร มูลค่า ๙.๑๖ หมื่นบาท) และเดนมาร์ค (๑.๖๒ แสนลิตร มูลค่า ๗.๙ หมื่นบาท) มูลค่าการนำเข้าเบียร์ทั้งสามประเทศคิดเป็นร้อยละ ๖๗ และ ๖๕ ของปริมาณและมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด[๑๑] บริษัทนำเข้าเป็นบริษัทของคนไทย ๑๔ บริษัทอังกฤษ ๙ บริษัท เดนมาร์ก ๒ บริษัทเยอรมนี ๒ บริษัทสวิสเซอร์แลนด์ ๒ บริษัท ฝรั่งเศส ๑ บริษัทอิตาลี ๑ บริษัทญี่ปุ่น ๑ บริษัท และอีก ๑๙ บริษัท ไม่ได้จดทะเบียน (non - registration firm)[๑๒]
พระยาภิรมย์ภักดี เห็นโอกาสในการลงทุนทางเศรษฐกิจในการผลิตเบียร์เพื่อเป็นการลดการนำเข้า และประหยัดเงินตราต่างประเทศ รวมทั้งก่อให้เกิดรายได้และการจ้างงานภายในประเทศ ในปี ๒๔๗๒ ได้เสนอแผนงานการตั้งโรงงานผลิตเบียร์ให้รัฐบาลโดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ และเสนาบดีกระทรวงการคลัง เป็นผู้พิจารณา ในแผนงานประกอบไปด้วย เงินลงทุนจำนวน ๕ แสนบาท โดยเป็นการร่วมทุนกับ นาย พิคเคนแพค (Paul Pickenpack) ชาวเยอรมนี คิดเป็นสัดส่วนการร่วมลงทุนจากพระยาภิรมย์ภักดีจำนวนร้อยละ 75 ที่เหลือร้อยละ 25 มาจากนาย พิคเคนแพค โดยที่เทคโนโลยีการผลิตนำเข้าจากต่างประเทศ[๑๓]
ในที่สุดรัฐบาลได้เห็นชอบและอนุญาตให้บริษัทบุญรอด บริวเวอรี เปิดดำเนินการธุรกิจผลิตเบียร์ได้ ในปี ๒๔๗๕โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้ทรงสนับสนุนแผนงานการทำธุรกิจเบียร์ของบริษัทฯ ภายในประเทศ เพราะถือว่าสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมและเป็นการประหยัดเงินตราต่างประเทศที่ต้องเสียไปจากการนำเข้าเบียร์จากต่างประเทศ[๑๔]
บริษัทบุญรอดบริวเวอรีก่อตั้งขึ้นในวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ และเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ปีเดียวกัน เพียง ๒ สัปดาห์ก่อนที่จะเสด็จประพาสยุโรป พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรโรงเบียร์[๑๕] ต่อมาในปี ๒๔๗๗ (มีนาคม) ได้เริ่มผลิตเบียร์เพื่อจำหน่ายเป็นครั้งแรก โดยได้ทำการผลิตเบียร์ ๒ ยี่ห้อ คือ “สิงห์” และ “ว่าวทอง” (golden kite) มีกำลังการผลิตเท่ากับ ๓๐,๐๐๐ ขวดต่อวัน และมีค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างเท่ากับ ๒.๘๑ แสนบาท ซื้ออุปกรณ์การผลิตเท่ากับ ๔.๒๕ แสนบาท[๑๖]ความนิยมในการดื่มเบียร์ของบริษัทฯ ก็ได้เพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยในปี ๒๔๗๗ บริษัทฯ มีส่วนแบ่งตลาดเบียร์ในประเทศเท่ากับร้อยละ ๔๒ (หรือมีกำลังผลิตได้เท่ากับ ๙.๕๓ แสนลิตร) เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ ๕๔ และร้อยละ ๕๘ ในปี ๒๔๗๘ และ ๒๔๘๑ ตามลำดับ)[๑๗] การขยายตัวอย่างรวดเร็วของยอดจำหน่ายเบียร์ของบริษัทบุญรอดบริวเวอรี นอกจากจะสามารถผลิตเบียร์ที่มีคุณภาพแล้ว เกิดจากนโยบายสนับสนุนจากรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นอัตราการเก็บภาษีและอากรนำเข้าเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งมีการปรับภาษีและอากรเพิ่มขึ้นมาตามลำดับ โดยเฉพาะในต้นพุทธทศวรรษ ๒๔๗๐
บรรณานุกรม
ชลลดา วัฒนศิริ. ๒๕๒๙. “พระคลังข้างที่กับการลงทุนเศรษฐกิจในประเทศ พ.ศ. 2435-2475” วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากร.
สรวิช ภิรมย์ภักดี. ๒๕๕๔. ระลึกถึงคุณปู่วิทย์ ภิรมย์ภักดี. กรุงเทพฯ : บริษัทมีเดียแฟคทอรี เอก จำกัด.
อินแกรม, เจมส์ ซี. ๒๕๕๒. การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในประเทศไทย ๑๘๕๐ -๑๙๗๐ แปล
โดยชูศรี มณีพฤกษ์ และ คณะ กรุงเทพฯ : มูลนิธิ โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
Bangkok Times Weekly Mails [BTWM] (18 June 1923) ; BTWM ( 3 July 1925) ; BTWM (3 December 1925)
Department of Commerce and Statistics. Statistical Yearbook of the Kingdom of Siam B.E. 2475
Department of Customs and Excise. Annual Statement of the Foreign Trade and navigation of the Kingdom of Siam, Various years
Hewison, K. 1988.Industry prior to industrialization: Thailand. Journal of contemporary Asia, 18 no.2 pp. 398–411.
Ministry of Commerce and Communications . 1930. Commercial Directory for Siam 1929. Bangkok: Bangkok Times Press.
Nambara, Makoto. 2004. "The beginning of the Thai Beer Industry: The establishment of Boonrawd Brewery Co., Ltd". Economic Research Center, School of Economics, Nagoya University.
Office of the Financial Adviser. Report of Financial Advisor in connection to the Budget of the Kingdom of Siam , various years.
อ้างอิง
[๑] ข้อมูลซึ่งใช้ในการเขียนบทความนี้มาจากงานวิจัยเรื่อง “สยามในระบบเศรษฐกิจระหว่างชาติในช่วงทศวรรษ ๑๙๓๐” ซึ่งมูลนิธิประชาธิปก-รำไพพรรณีให้ความสนับสนุนผ่านสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งงานวิจัยดังกล่าวมูลนิธิฯ ได้จัดพิมพ์เป็นหนังสือ เศรษฐกิจไทยในสมัยรัชกาลที่ ๗: รักษาเสถียรภาพ ปูพื้นฐานการพัฒนา กรุงเทพฯ: โครงการจัดพิมพ์คบไฟ, ๒๕๕๘ แล้ว ผู้เขียนขอขอบพระคุณมูลนิธิประชาธิปก-รำไพพรรณีเป็นอย่างยิ่ง ณ ที่นี้
[๒] Department of Commerce and Statistics. Statistical Yearbook of the Kingdom of Siam B.E. ๒๔๗๕
[๓] อินแกรม, เจมส์ ซี. ๒๕๕๒. การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในประเทศไทย ๑๘๕๐ -๑๙๗๐ แปลโดยชูศรี มณีพฤกษ์ และคณะ กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ , หน้า ๑๙๖.
[๔] อินแกรม, เจมส์ ซี. ๒๕๕๒. การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในประเทศไทย ๑๘๕๐ -๑๙๗๐ แปลโดยชูศรี มณีพฤกษ์ และคณะ กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ , หน้า ๑๙๖.
[๕] Bangkok Times Weekly Mail (๒๕ November ๑๙๒๙).
[๖] Bangkok Times Weekly Mails [BTWM] (June ๑๙๒๓) ; BTWM ( ๓ July ๑๙๒๕) ; BTWM (๓ December ๑๙๒๕)
[๗] Bangkok Times Weekly Mails [BTWM] (๑๘ June ๑๙๒๓) ; BTWM ( ๓ July ๑๙๒๕) ; BTWM (๓ December ๑๙๒๕)
[๘] Hewison, K. ๑๙๘๘.Industry prior to industrialization: Thailand. Journal of contemporary Asia, ๑๘ no.๒ p.๓๙๕.
[๙] ชลลดา วัฒนศิริ. ๒๕๒๙. “พระคลังข้างที่กับการลงทุนเศรษฐกิจในประเทศ พ.ศ. ๒๔๓๕-๒๔๗๕” วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากร, หน้า ๑๖๕.
[๑๐] Department of Customs and Excise. Annual Statement of the Foreign Trade and navigation of the Kingdom of Siam, Various years
[๑๑]Department of Customs and Excise. Annual Statement of the Foreign Trade and navigation of the Kingdom of Siam, Various years
[๑๒] Commercial Directory for Siam ๑๙๒๙
[๑๓] Nambara, Makoto. ๒๐๐๔. "The beginning of the Thai Beer Industry: The establishment of Boonrawd Brewery Co., Ltd". Economic Research Center, School of economics, Nagoya University, p.๙.
[๑๔] Nambara, Makoto. ๒๐๐๔. "The beginning of the Thai Beer Industry: The establishment of Boonrawd Brewery Co., Ltd". Economic Research Center, School of economics, Nagoya University, p.๒๒.
[๑๕] สรวิช ภิรมย์ภักดี. ๒๕๕๔. ระลึกถึงคณปู่วิทย์ ภิรมย์ภักดี. กรุงเทพฯ : บริษัทมีเดียแฟคทอรี เอก จำกัด, หน้า ๙๕.
[๑๖] Nambara, Makoto. ๒๐๐๔. "The beginning of the Thai Beer Industry: The establishment of Boonrawd Brewery Co., Ltd". Economic Research Center, School of economics, Nagoya University, p.๒๔.
[๑๗] Office of the Financial Adviser. Report of Financial Advisor in connection to the Budget of the Kingdom of Siam , various years.