หลวงสังวรยุทธกิจ

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เขียน : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


หลวงสังวรยุทธกิจ : อธิบดีกรมตำรวจในวันรัฐประหาร

         บทบาททางการเมืองของหลวงสังวรยุทธกิจนั้นมีอยู่หลายบทบาท แต่บทบาทหนึ่งที่คนไม่ค่อยได้กล่าวถึงกัน คือ ท่านเป็นอธิบดีกรมตำรวจอยู่ในวันที่มีการรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน ปี 2490 โดยดำรงตำแหน่งรักษาการอธิบดีกรมตำรวจ หลังจากหลวงอดุลเดชจรัสออกไปจากอธิบดีกรมตำรวจในปี 2488 แล้วได้มีผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจตามมาอีก 2 คน จนถึง ปี 2490 ทางรัฐบาลของพลเรือตรี หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ จึงได้ตั้งพลเรือตรี สังวร สุวรรณชีพ หรือ หลวงสังวรยุทธกิจให้เป็นผู้รักษาการอธิบดีกรมตำรวจ นับว่าเป็นอธิบดีคนเดียวที่มาจากทหารเรือ แต่ก็น่าบันทึกเอาไว้ว่าสื่อมวลชนได้รายงานภายหลังการรัฐประหารครั้งนั้นว่าคุณหลวงสังวรฯ รู้ตั้งแต่เย็นวันที่ 7 พฤศจิกายน ปี2490 ว่าจะมีการยึดอำนาจ จึงเรียกประชุมตำรวจจำนวนหลายสิบนายที่บ้านพักของท่านที่ถนนสุขุมวิท ดังที่นักหนังสือพิมพ์ จรูญ กุวานนท์ เขียนเอาไว้ว่า

         “ขณะนี้จะมีผู้คิดร้ายต่อรัฐบาล ซึ่งทางกรมตำรวจรู้ตัวผู้ก่อการร้ายทุกคน และจะได้ออกทำการจับกุมก่อน 16.00 น.นี้ ฉะนั้นขอให้ทุกคนอย่าออกไปจากที่นี่ คอยรับคำสั่งต่อไป”

         เมื่อรู้เรื่องแล้วบอกเปิดเผยกับตำรวจหลายคนเช่นนั้น โดยยังไม่รีบดำเนินการจับกุมทันที ก็เสมือนประมาทฝ่ายทหารบกพวกที่จะทำการรัฐประหารจนเกินไป หรือไม่ก็มีเงื่อนไขพิเศษอะไรบางประการ แต่จะด้วยเหตุผลใดก็ตามได้ทำให้รัฐบาลถูกยึดอำนาจ จนขนาดตัวนายกรัฐมนตรีที่เป็นทหารเรือเหมือนกัน คือ พลเรือตรี หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ต้องเผ่นหนีหายไปกับความมืดในคืนวันนั้น ดังนั้น มารู้จักชีวิตและงานการเมืองของหลวงสังวรยุทธกิจกันดูบ้าง

         หลวงสังวรยุทธกิจเป็นคนบางกอกน้อย จังหวัดธนบุรีนี่เอง ท่านเกิดมาในตระกูล สุวรรณชีพ ที่ตำบลวัดยี่ส่าย อำเภอบางกอกน้อย เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ปี 2444  มีบิดาชื่อ นายสุด และมารดาชื่อ นางสอน สำหรับการศึกษาเบื้องต้นนั้นเรียนที่บ้านก่อน แล้วจึงได้ไปเรียนที่โรงเรียนวัดภาวนาภินาราม ต่อมาได้ข้ามฟากมาเรียนที่โรงเรียนที่เด่นดังในสมัยนี้ คือ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยในชั้นมัธยมปีที่ 4 จนจบชั้นมัธยมปีที่ 6 จากนั้นจึงได้เข้าเรียนที่โรงเรียนนายเรือ ในปี 2461 ขณะที่มีอายุได้ 17 ปี และเรียนจบจากโรงเรียนนายเรือเข้ารับราชการเป็นทหารเรือในปี 2463 อีกปีถัดมาได้รับยศเป็นนายเรือตรี รับราชการเป็นทหารเรือเจริญต่อมา ถึงวันที่ 18 พฤษภาคม ปี 2475 ท่านก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงสังวรยุทธกิจ ขณะนั้นมียศเป็นนายเรือเอก ส่วนชีวิตครอบครัวนั้นท่านได้สมรสกับคุณหญิง เฉลิม สกุลเดิม กัลยาณมิตร

         ในเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 หลวงสังวรยุทธกิจได้ร่วมเป็นผู้ก่อการด้วย ถูกชวนโดยหลวงสินธุสงครามชัยซึ่งเป็นหัวหน้าสายทหารเรือ ตอนนั้นหลวงสังวรฯ มีตำแหน่งเป็นต้นเรือของเรือรบหลวงพาลีรั้งทวีปที่มีหน้าที่จอดลอยลำอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณหน้าวังบางขุนพรหม จึงเป็นผู้มีส่วนสังเกตการณ์ เฝ้าดูกรมพระนครสวรรค์ผู้รักษาพระนคร ที่ประทับอยู่ ณ วังบางขุนพรหม หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ สำเร็จ ในปี 2476 ท่านได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้บังคับการเรือพาลีรั้งทวีป และในทางการเมืองนั้นท่านได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภทที่ 2 ในปี 2477 ในสมัยที่พระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาในปี 2483 ในสมัยพลตรีหลวงพิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล แต่แล้วอีก 3 ปีต่อมา ในสมัยนายกรัฐมนตรีคนเดียวกันนี่เอง ท่านก็ “ถูกสั่งปลดออกจากราชการ โดยไม่มีบำเหน็จบำนาญ” ในวันที่ 8 กรกฎาคม ปี 2486 และต่อมาในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน ท่านก็ยังถูกสั่งจับโดยนายกรัฐมนตรี หลวงพิบูลสงครามอีก เหตุการณ์อย่างนี้ จึงเป็นที่สงสัยกันมากว่าท่านไปทำสิ่งใดให้นายกรัฐมนตรีขัดเคืองใจขนาดหนัก ในเรื่องนี้นาย ปรีดี พนมยงค์ เขียนเล่าเอาไว้ว่า

         “เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2486 จอมพล ป.พิบูลสงครามยื่นใบลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยท่านคาดไม่ถึงว่าคณะผู้สำเร็จราชการจะสั่งอนุมัติการลาออกของท่าน พระองค์อาทิตย์ประธานคณะผู้สำเร็จราชการถูกคุกคามจากนายทหารผู้ใกล้ชิดจอมพลฯ จึงพร้อมด้วยหม่อมกอบแก้วชายา มาขอลี้ภัยที่ทำเนียบท่าช้างวังหน้านั้น ข้าพเจ้าได้ขอให้เพื่อนทหารเรือ โดยเฉพาะคุณหลวงนาวาวิจิตร ส่งเรือยามฝั่งมาจอดหน้าทำเนียบ เพื่อช่วยอารักขา และคุณหลวงสังวรฯ กับเพื่อนทหารเรือได้สนับสนุนให้คณะผู้สำเร็จราชการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ต้องเกรงการคุกคามใดๆ”

         การที่หลวงสังวรยุทธกิจกับเพื่อนทหารเรือได้สนับสนุนนาย ปรีดี ช่วยอารักขาทำเนียบท่าช้างในครั้งนั้น จึงทำให้นายกรัฐมนตรี หลวงพิบูลสงครามโกรธมาก ถึงขนาดปลดออกจากทหารเรือ และสั่งจับ แต่ที่จริงคงจะเป็นอารมณ์โกรธที่เกิดขึ้นชั่วคราว เพราะว่าในเดือนถัดมา ในวันที่ 22 ธันวาคม หลวงสังวรฯ ก็ได้รับแต่งตั้งให้เข้าร่วมรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี หลวงพิบูลสงคราม ซึ่งเป็นผู้สั่งปลดท่านออกจากราชการและสั่งจับท่านนั่นเอง คราวนี้หลวงสังวรฯ ได้เป็นรัฐมนตรีสั่งราชการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งถือว่าเป็นกระทรวงสำคัญ และหลวงสังวรฯ ก็ร่วมทำงานอย่างภักดีต่อนายกรัฐมนตรีอีกเช่นกัน

         แต่อยู่ร่วมรัฐบาลทำงานกับนายกรัฐมนตรี หลวงพิบูลฯ ได้ไม่ทันถึงปี รัฐนาวาของหลวงพิบูลฯ ก็เจอมรสุมถึงกับอับปางลง รัฐบาลต้องพ้นหน้าที่เพราะเแพ้มติในสภาผู้แทนราษฎรติดต่อกันถึง 2 ครั้ง โดยสภาผู้แทนราษฎรไม่ยอมอนุมัติพระราชกำหนด 2 ฉบับที่รัฐบาลออกมาใช้ นายกฯ หลวงพิบูลฯ ลาออกในวันที่ 24 กรกฎาคม ปี 2487 และคณะรัฐมนตรีก็พ้นตำแหน่งในวันที่มีรัฐบาลใหม่ คือ วันที่ 1 สิงหาคม ปี 2487 ในการเปลี่ยนรัฐบาลครั้งนั้น เป้าหมายสำคัญอยู่ที่ตัวนายกรัฐมนตรี จอมพล ป.พิบูลสงคราม เพราะเป็นหัวหน้ารัฐบาลที่ร่วมมือกับญี่ปุ่นมาก แต่ก็แปลกที่กองทัพญี่ปุ่นในเมืองไทยเองเป็นฝ่ายบีบให้หลวงพิบูลสงครามทำตามกติการัฐธรรมนูญ เมื่อพระราชกำหนดที่ประกาศออกไปแล้วไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร  เขาเล่ากันว่าคนที่ทราบเรื่องนี้ดี คือ หลวงสังวรฯ เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลใหม่มาเป็นรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ควง อภัยวงศ์ นั้น นายควงยังอยากได้หลวงสังวรฯมาร่วมรัฐบาลด้วย แต่หลวงสังวรฯ ปฏิเสธ เพราะถือว่าอยู่ร่วมกันมากับรัฐบาลหลวงพิบูลฯ ที่ถูกล้มไปตามวิถีทางรัฐสภา ครั้งนั้นจะเห็นได้ว่าขุนสมาหารหิตะคดี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลหลวงพิบูลฯ ซึ่งเป็นผู้ชี้แจงแทนรัฐบาลในสภาผู้แทนราษฎร ยังยอมกลับเข้ามาเป็นรัฐมนตรีลอยในรัฐบาลของนาย ควง อภัยวงศ์

         แม้จะไม่ยอมเป็นรัฐมนตรีกับรัฐบาลใหม่ แต่ท่านก็ไม่ได้ปฏิเสธงานอื่นของแผ่นดิน ดังปรากฏว่าท่านได้รับการชักชวนเข้าร่วมงานเสรีไทยในปีเดียวกันนั้นหลังจากออกมาจากรัฐบาลหลวงพิบูลฯ แล้ว ปี 2487 เป็นปีที่เสรีไทยต้องทำงานกันอย่างหนักและมีคนเปิดตัวเข้ามาร่วมงานมากขึ้น หลวงสังวรฯ ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าขบวนการเสรีไทยสายตะวันออก ภาคตะวันออกนี้ในสมัยโน้นเป็นเขตพื้นที่ซึ่งทหารเรือมีบทบาทมาก ได้นายทหารเรืออย่างหลวงสังวรฯ มาทำงานจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมมาก ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งจากกระทรวงกลาโหมให้เป็น “สารวัตรใหญ่ทหาร” ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งใหม่ นาย ปรีดี พนมยงค์ เขียนบอกเอาไว้ว่า

         “กรมสารวัตรใหญ่ทหารภายใต้คุณหลวงสังวรจึงได้จัดตั้งโรงเรียนนายทหารสัญญาบัตร รับนิสิตจุฬาลงกรณ์มาทำการฝึก ตั้งโรงเรียนนายทหารประทวนรับนิสิตเตรียม ม.ธ.ก.มาฝึก เราแสดงให้เห็นว่าเป็นนายทหารของเสรีไทยที่ควรได้รับอาวุธ และจะเป็นกองหน้าของราษฎรไทย เมื่อเปิดฉากรบขึ้นกับญี่ปุ่น สัมพันธมิตรได้ส่งนายทหารมาฝึกให้”

         ค่ายฝึกแห่งนี้อยู่ที่จังหวัดชลบุรี แต่งานของท่านบางทีก็ต้องไปคุ้มกันพวกที่โดดร่มลงมา ดังที่นาย ปรีดี ได้เขียนเล่าไว้อีกว่า

         “หลวงสังวรฯ ก็มีอำนาจให้ความคุ้มกันแก่พลร่มเสรีไทย และการทิ้งอาวุธกับพัสดุทางร่มได้อย่างแนบเนียนขึ้น”

         ต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง มีการเปลี่ยนรัฐบาลจากรัฐบาลนาย ควง อภัยวงศ์ มาเป็นรัฐบาลนายทวี บุณยเกตุ หลวงสังวรฯ ก็ได้รับเชิญเข้าร่วมรัฐบาลเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมในวันที่ 1 กันยายน ปี 2488 ที่มีพลโท หลวงสินาดโยธารักษ์เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่รัฐบาลนี้อายุสั้น มาก ตั้งขึ้นมาทำหน้าที่ชั่วคราวรอ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช กลับจากสหรัฐอเมริกา มาเป็นนายกรัฐมนตรี ครั้นถึงปี 2489 ในสมัยรัฐบาลนาย ปรีดี พนมยงค์ หลวงสังวรฯ ได้รับการแต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมศุลกากร นั่นคือย้ายข้ามมาทำงานที่กระทรวงการคลัง แต่ก็ยังเกี่ยวกับเรือและทะเล เพราะไทยมีพื้นที่ติดทะเลยาวไกลมาก แต่ก็มิได้ร่วมรัฐบาล เพราะเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2489 แล้ว ข้าราชการประจำไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้

         ครั้นมาถึงรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ในปี 2490 หลวงสังวรฯ ได้รับแต่งตั้งให้มาเป็นผู้รักษาการอธิบดีกรมตำรวจ ที่มี พล.ต.ท.หลวงชาติตระการโกศล เป็นรองอธิบดีจึงเป็นการส่งทหารเรือที่เป็นทั้งผู้ก่อการฯ ที่มีบทบาททางการเมืองมาก และเป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจมากเป็นพิเศษจากฝ่ายรัฐบาลให้มาดูแลกรมตำรวจ แสดงให้รู้ว่ารัฐบาลต้องการปรามฝ่ายตรงข้าม เพราะมีข่าวถึงความพยายามของผู้ที่คิดจะล้มรัฐบาลแล้วในเวลานั้น แต่รัฐบาลของหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ก็อาจรู้ตัวหรือเตรียมตัวช้าไปแล้ว หลวงสังวรฯ เองจากคนนอกกรมตำรวจเข้ามารักษาการอธิบดี ยังไม่ได้เป็นอธิบดียังจัดเตรียมทั้งคนและองค์กรได้ไม่ทันพร้อม การยึดอำนาจของคณะรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน ปี 2490 ครั้งนั้น ตำรวจของฝ่ายรัฐบาลจึงล้มเหลวทั้งในการป้องกัน และต่อต้านการยึดอำนาจ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว และผลที่ตามมาทันที คือ คณะรัฐประหารได้ออกคำสั่งให้หลวงสังวรฯ พ้นจากหน้าที่ราชการ คือ มิใช่พ้นจากรักษาการอธิบดีกรมตำรวจเท่านั้น และท่านก็ต้องหลบหนีการล่าจับของฝ่ายคณะรัฐประหาร และคณะรัฐประหารก็ให้หลวงชาติตระการโกศลขึ้นเป็นอธิบดีกรมตำรวจ

         ต่อมาในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ปี 2492 เมื่อนาย ปรีดี พนมยงค์ จัดตั้ง “ขบวนการ 26 กุมภาพันธ์ 2492” ขึ้นมา และนำกำลังทหารเรือกับพลพรรคส่วนหนึ่งเข้ายึดสถานที่ราชการที่สำคัญ ทั้งกระทรวงการคลังที่ตั้งอยู่ในพระบรมมหาราชวังกับสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย โดยประกาศยึดอำนาจ ล้มรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่มาจากการรัฐประหาร ปี 2490 นั้น หลวงสังวรฯ ก็ได้ร่วมกับการยึดอำนาจครั้งนั้นด้วย ดังนั้น เมื่อความพยายามในการยึดอำนาจคืนล้มเหลว หลวงสังวรฯ จึงต้องหลบหนีการจับกุมอยู่นาน ต่อมาจึงได้ออกมาต่อสู้คดี และ “คดีไม่มีหลักฐานทางกฎหมาย ท่านก็ได้อิสรภาพ” ดังที่นาย ปรีดี เขียนเล่าไว้

         หลังจากนั้น หลวงสังวรยุทธกิจ ก็ไม่ได้เข้าสู่วงการเมืองอีกเลย ไม่ว่าจะโดยแต่งตั้ง หรือเลือกตั้งโดยเข้ากับพรรคฝ่ายค้านรัฐบาล คือพรรคประชาธิปัตย์ เหมือนอย่างเพื่อนนายทหารเรือ อดีตผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองหลายคนที่ยังเข้าไปเล่นการเมืองกับนายควง อภัยวงศ์ อยู่ตรงข้ามฝ่ายหลวงพิบูลสงครามและคณะรัฐประหารอย่างชัดแจ้ง หลวงสังวรฯ ได้ถึงแก่อนิจกรรมในปี 2516