สถานะของสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ผู้เรียบเรียง วัชรา ไชยสาร
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ พรรณราย ขันธกิจ
ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
กฎหมายว่าด้วยสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมิได้กำหนดสถานะของสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ ไว้อย่างชัดเจน แต่ก็มิได้ห้ามประกอบอาชีพอื่น ยกเว้นการกำหนดให้สมาชิกต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือดำรงตำแหน่งในพรรคการเมือง[1] และมิได้กำหนดให้ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา เสมือนเป็นบุคลากรภาคเอกชนที่มีจิตอาสาเข้ามาช่วยงานราชการ จึงบัญญัติให้สมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ ได้รับเบี้ยประชุมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา มิได้กำหนดเป็นให้ได้เงินเดือน[2]
สถานะของสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
จากข้อกฎหมายดังกล่าว นับแต่ประกาศใช้พระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2543 จึงได้มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของสภาที่ปรึกษาฯ อย่างต่อเนื่อง
ต่อมาคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานภาพทางกฎหมายของสภาที่ปรึกษาฯ และสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ ว่า เมื่อพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาฯ มิได้ให้นิยามคำว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ไว้
ดังนั้น จึงต้องพิจารณาความหมายของคำว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ในลักษณะทั่วไป ซึ่งการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ หมายถึง บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งหรือเลือกตั้งตามกฎหมาย โดยมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการหรือหน้าที่ปฏิบัติภารกิจของรัฐตามกฎหมายกำหนดหรือมีอำนาจบังคับการให้บุคคลปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้สั่งตามอำนาจหน้าที่ได้ แต่เนื่องจากพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาฯ มิได้ให้อำนาจแก่สภาที่ปรึกษาฯ ไว้แต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดำเนินการใด ๆ สมาชิกก็มิได้มีอำนาจหน้าที่อย่างใดเป็นการเฉพาะตน หากแต่เป็นการทำงานร่วมกันในฐานะสภา จึงมิอาจถือได้ว่าสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ[3]

นอกจากนี้ จากเจตนารมณ์ของการมีสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2543 มาตรา 10 จึงกำหนดให้สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นองค์กรสะท้อนปัญหาเศรษฐกิจและสังคม โดยมิใช่เป็นองค์กรเพื่อต่อรองผลประโยชน์ของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใด มีอำนาจหน้าที่ให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีในปัญหาที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจและสังคม เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐที่บัญญัติในหมวด 5 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540)[4] และให้ความเห็นเกี่ยวกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนอื่นตามมาตรา 14[5] รวมทั้งแผนอื่นใดที่มีกฎหมายกำหนดให้เสนอแผนนั้นต่อสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติก่อนพิจารณาประกาศใช้
จากบทบัญญัติดังกล่าว ในประเด็นของอำนาจพิจารณาทางปกครองของสภาที่ปรึกษาฯ ศาลปกครองสูงสุดได้ให้ความเห็นไว้ว่า สภาที่ปรึกษาฯ มิได้เป็นองค์กรที่มีอำนาจพิจารณาทางปกครองใดๆ หากแต่เป็นองค์กรสะท้อนปัญหาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีอำนาจหน้าที่ให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีในปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจและสังคมเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐและให้ความเห็นเกี่ยวกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนอื่นตามที่กฎหมายกำหนด[6]
ดูเพิ่มเติม
พรรณราย ขันธกิจ. บทบาทและหน้าที่ขององค์กรสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. นนทบุรี : สถาบันพระปกเกล้า, 2548.
สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ : องค์กรสะท้อนปัญหา ... จากประชาสู่รัฐ. กรุงเทพฯ : บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่งจำกัด (มหาชน), 2552.
www.nesac.go.th/
อ้างอิง
- ↑ พระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2543 มาตรา 7 (2)
- ↑ พระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2543 มาตรา 24.
- ↑ บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 116/2548, กุมภาพันธ์ 2548.
- ↑ พระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2543 มาตรา 10.
- ↑ มาตรา 14 ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีจะดำเนินการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้คณะรัฐมนตรีเสนอร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้ความเห็นก่อนการประกาศใช้ เมื่อสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้จัดส่งความเห็นมาให้คณะรัฐมนตรีแล้วให้คณะรัฐมนตรีนำความเห็นดังกล่าวประกอบการพิจารณาในการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อให้เหมาะสมกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ให้นำความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมาใช้บังคับกับแผนอื่นที่มีกฎหมายกำหนด ให้เสนอแผนนั้นต่อสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนอื่นที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควรขอความเห็นจากสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติด้วย
- ↑ คำสั่งศาลปกครองสูงสุด คำสั่งที่ 240/2548, 1 มิถุนายน 2548.