รู้แจ้งเห็นจริง (พ.ศ. 2547)
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
พรรครู้แจ้งเห็นจริง
พรรครู้แจ้งเห็นจริง ได้รับการจดทะเบียนเป็นพรรคการเมืองตามมาตร 14 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 ในทะเบียนพรรคการเมืองเลขที่ 8/ 2547 ตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2547 โดยมีชื่อในภาษาอังกฤษ ว่า THE ENLIGHTENMENT PARTY ใช้ชื่ออักษรย่อย่า “ร.จ.จ.” หรือ “E.P” มีสำนักงานใหญ่พรรคตั้งอยู่ ณ บ้านเลขที่ 350 หมู่ที่ 2 ตำบลสันสลี อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย 57170[1]
พรรครู้แจ้งเห็นจริงใช้เครื่องหมายพรรคเป็นภาพคนหรือมนุษย์ มีตา 1 ตา อยู่ตรงกลางใบหน้า ตรงกลางหน้าอกคนหรือมนุษย์เป็นภาพระบบสุริยะจักรวาล ใต้คางมีคำว่า “พรรครู้แจ้งเห็นจริง” ด้านล่างเครื่องหมายมีคำว่า “THE ENLIGHTENMENT PARTY” โดยเครื่องหมายดังกล่าวมีความหมายตามคำอธิบายดังนี้ [2]
ชื่อ “พรรครู้แจ้งเห็นจริง” หมายถึง สัญลักษณ์แห่งผู้เข้าใจในความเป็นจริงของคนหรือธรรมชาติมนุษย์
พื้นสีเหลือง (รูปคน) หมายถึง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม
พื้นสีดำ หมายถึง ความชัดเจน แจ่มชัด หนักแน่น
พื้นสีแดงทับทิม หมายถึง ฉัพพรรณรังสี
ตา 1 ตา หมายถึง ตาทิพย์
ระบบสุริยะจักรวาล หมายถึง ความคิดของคนเราเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เหมือนกับดวงดาวในระบบสุริยะจักรวาลทุกดวงมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เช่นกัน
นโยบายพรรครู้แจ้งเห็นจริง พ.ศ. 2541 [3]
พรรครู้แจ้งเห็นจริงได้กำหนดนโยบายของการบริหารไว้ 16 ด้าน ดังนี้
นโยบายด้านการเมืองการปกครอง
พรรครู้แจ้งเห็นจริงจะยึดถือระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของชาติ ทั้งจะสนับสนุนการกระจายอำนาจการปกครองจากส่วนกลางสู่ภูมิภาพและท้องถิ่น สนับสนุนการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนทุกกลุ่ม ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และนำระบบคุณธรรมมาเป็นหลักในการบริหารราชการ
นโยบายด้านเศรษฐกิจ
พรรครู้แจ้งเห็นจริงจะยึดหลักของระบบเศรษฐกิจการแข่งขันเสรีที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมไทยและประเทศชาติ ให้การสนับสนุนและพัฒนาการผลิตในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก สนับสนุนการปฏิรูปที่ดินให้เกษตรกรมีทิ่ดินทำกิน พัฒนาระบบรัฐวิสาหกิจ กระรายได้และความเจริญจากเมืองสู่ชนบท ปรับปรุงระบบการจัดเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ยกระดับมาตรฐานการครองชีพและความเป็นอยู่ของประชาชนให้สูงขึ้น แก้ไขปัญหาการเงิน การคลัง และการธนาคารให้สอดคล้องกับปัญหาเศรษฐกิจ โดยยึดหลักความเป็นอิสระและมาตรฐานสากลเป็นหลัก ร่วมมือกับต่างประเทศในการลงทุนโดยยึดหลักการเสียเปรียบน้อยที่สุด และพัฒนาการวางผังเมืองให้เป็นระบบระเบียบได้มาตรฐาน
นโยบายด้านสังคม และวัฒนธรรม
พรรครู้แจ้งเห็นจริงจะจัดให้มีการประกันสังคมอย่างเต็มรูปแบบ และสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ส่งเสริมขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ ให้สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาแก่ประชาชน สร้างความเป็นธรรมในสังคมทุกระดับ พร้อมทั้งสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทุกหมู่เหล่า
นโยบายด้านการเกษตรและสหกรณ์
พรรครู้แจ้งเห็นจริงจะส่งเสริมระบบสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มสาขาอาชีพทุกรูปแบบมีความเข้มแข็ง ดำเนินงานครบวงจรและพึ่งพาตนเองได้ จะจัดให้มีการประกันราคาผลิตผลทางการเกษตรอย่างเป็นระบบ ส่งเสริมการค้นคว้าและพัฒนาการเกษตร ปรับปรุงและพัฒนาแหล่งน้ำและระบบชลประทาน ดำเนินการฟื้นฟูอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการเกษตรและการประมงแบบอนุรักษ์
นโยบายด้านการพัฒนาอุตสาหกรรม
พรรครู้แจ้งเห็นจริงจะสนับสนุนและคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศทุกขนาด เร่งรัดการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและความจำเป็นขั้นพื้นฐานให้สอดคล้องกับความต้องการในการพัฒนาอุตสาหกรรมและการร่วมลงทุนกับต่างประเทศ สนับสนุนการศึกษาและวิจัยเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรม พร้อมกันกับควบคุมให้โรงงานอุตสาหกรรมรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
นโยบายด้านการศึกษา
พรรครู้แจ้งเห็นจริงจะส่งเสริมสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง มีการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับการพัฒนาการศึกษาของโลกทั้งในปัจจุบันและอนาคต สร้างความสามัคคีในหมู่นักเรียนนักศึกษา สนับสนุนให้มีการผลิตบุคลากรในสาขาที่ขาดแคลน และสนับสนุนการแปลและเรียบเรียงหนังสือหรือตำราเรียนอย่างกว้างขวาง
นโยบายด้านการป้องกันประเทศและความมั่นคง
พรรครู้แจ้งเห็นจริงจะพัฒนาอำนาจของชาติให้เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพทุกด้าน ให้กองทัพมีบทบาทในการพัฒนาและร่วมสร้างความมั่นคงของชาติ ปรับปรุงสวัสดิการทหาร องค์การทหารผ่านศึก และครอบครัวทหารให้ดีขึ้น ประสานความร่วมมือกับมิตรประเทศเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันในการพัฒนากำลังพลและความรู้เทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการรุกล้ำและการแทรกแซงจากต่างประเทศ ตลอดจนการตรวจสอบคนเข้าเมืองผิดกฎหมายและผู้ลี้ภัย
นโยบายด้านการต่างประเทศ
พรรครู้แจ้งเห็นจริงจะดำเนินนโยบายอย่างเป็นอิสระโดยยึดหลักการของผลประโยชน์ และความมั่นคงของชาติเป็นสำคัญ ทั้งจะกระชับความสัมพันธ์อันดีกับต่างประเทศทุกประเทศ ให้ความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ปรับปรุงสนธิสัญญาต่าง ๆ ที่ประเทศไทยเสียเปรียบให้ดีขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ สนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนนักศึกษา ศิลปวัฒนธรรมและการแลกเปลี่ยนทางด้านวิชาการทหาร และสนับสนุนให้สถานทูตไทยเป็นตัวกลางในการขยายงานด้านการเผยแพร่วัฒนธรรมไทย การค้าขาย และการส่งออกอย่างมีประสิทธิภาพ
นโยบายด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
พรรครู้แจ้งเห็นจริงจะส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศชาติในทุกด้าน และสนับสนุนให้มีการสร้างความร่วมมือในการลงทุนวิจัยและการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีกับต่างชาติ รวมไปถึงสนับสนุนให้นำประดิษฐกรรมที่คนไทยคิดค้นออกจำหน่ายสู่ตลาดโลกด้วย
นโยบายด้านแรงงาน และสวัสดิการสังคม
พรรครู้แจ้งเห็นจริงจะขยายการว่าจ้างงาน สร้างความเป็นธรรมในการจ้างงาน เพิ่มความมั่นคงในการทำงาน ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดตั้งสหภาพแรงงาน กลุ่มสมาคมและชมรมต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและความมั่นคงของชาติ ส่งเสริมการจัดฝึกอบรมวิชาชีพแก่ประชาชน และจัดตั้งศูนย์สารนิเทศและสวัสดิการให้เป็นศูนย์ข้อมูลสำหรับผู้ใช้แรงงาน
นโยบายด้านสตรี เด็ก เยาวชน และผู้ด้อยโอกาสในสังคม
พรรครู้แจ้งเห็นจริงจะส่งเสริมให้หญิงและชายมีสิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกันในทุกด้าน ให้การคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก เยาวชนและผู้ด้อยโอกาสในสังคมให้มีความเป็นอยู่อย่างเป็นธรรมและมีอาชีพที่เหมาะสม และให้การคุ้มครองแรงานเด็กอย่างเข้มงวด
นโยบายด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
พรรครู้แจ้งเห็นจริงจะกำหนดแผนการใช้และพิทักษ์ทรัพยากรที่มีคุณค่าของชาติอย่างประหยัดและคุ้มค่าที่สุด เร่งรัดและป้องกันการแก้ปัญหามลภาวะและสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ฟื้นฟูและอนุรักษ์ระบบนิเวศน์และทรัพยากรธรรมชาติ และเร่งพัฒนาการใช้พลังงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
นโยบายด้านต่อต้านยาเสพติด และโรคติดต่อที่รุนแรง
พรรครู้แจ้งเห็นจริงจะป้องกันและปราบปรามการผลิต การนำเข้า การจำหน่ายและการเสพยาเสพติดให้โทษอย่างเด็ดขาด ควบคู่กับการฟื้นฟูผู้ติดยาให้กลับสู่สภาพเดิม นอกจากนี้พรรคยังจะดำเนินการให้มีความเข้มงวดการนำเข้ายาปราบศัตรูพืช พืชผล สัตว์หรือพาหนะต่าง ๆ จากต่างประเทศและเข้มงวดกับชาวต่างชาติ ที่อาจก่อให้เกิดโรคระบาดติดต่อได้
นโยบายด้านสาธารณสุขและสาธารณูปโภค
พรรครู้แจ้งเห็นจริงจะสนับสนุนและส่งเสริมการให้บริการด้านสาธารณสุข และสาธารณูปโภคอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง จะเพิ่มมาตรการควบคุมการโฆษณาสินค้าที่ให้โทษต่อสุขภาพร่างกายของประชาชน ปรับปรุงระบบโครงสร้างการให้บริการด้านต่าง ๆ ของสาธารณสุขให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งจะควบคุมค่ารักษาพยาบาลของเอกชนให้เป็นธรรม
นโยบายด้านการสื่อสารและการคมนาคม
พรรครู้แจ้งเห็นจริงจะป้องกันการผูกขาดและการลงทุนซ้ำซ้อน สนับสนุนให้มีการค้าเสรี ดำเนินการให้มีการจัดสรรแถบคลื่นวิทยุซึ่งเป็นทรัพยากรของชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยรวม สนับสนุนให้มีการขยายเส้นทางในการคมนาคมทั่วประเทศที่ประหยัด จัดระบบการจราจรให้เป็นระเบียบและเป็นรูปธรรม และลงโทษผู้กระทำผิดกฎจราจรอย่างจริงจัง
นโยบายด้านกีฬา
พรรครู้แจ้งเห็นจริงจะส่งเสริมและสนับสนุนการออกกำลังกาย และเล่นกีฬาเพื่อสุขภาพของประชาชน โดยการสร้างสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกให้มีเพียงพอ สนับสนุนให้เอกชนมีสโมสรการกีฬาของตนเอง และส่งเสริมการกีฬาและนักกีฬาของชาติให้มีขวัญกำลังใจและความสามารถอย่างแท้จริง เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติต่อไป
เมื่อแรกจดทะเบียนจัดตั้งเป็นพรรคการเมือง พรรครู้แจ้งเห็นจริงมีคณะกรรมการบริหารพรรคทั้งสิ้น 18 คน โดยตำแหน่งสำคัญ ๆ มีรายชื่อดังนี้ [4]
1. นายพีรเดช แสงสว่าง หัวหน้าพรรค
2. นายปราโมทย์ โรจนพงษ์ รองหัวหน้าพรรค
3. นายสีทน บุญสวน รองหัวหน้าพรรค
4. นายวิทยา ชาติอาษา เลขาธิการพรรค
5. นายพงศ์พัฒน์ เถาว์ศิริ รองเลขาธิการพรรค
6. นายขจร เหรัญญะ เหรัญญิกพรรค
7. นายเอขลิต มุขเหลี่ยม โฆษกพรรค
ต่อมาที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรครู้แจ้งเห็นจริง ครั้งที่ 7/2547 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ได้มีมติให้นายวิทยา ชาติอาษา พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค ตามข้อบังคับพรรครู้แจ้งเห็นจริง พ.ศ. 2547 ข้อ 29 (5) ที่ระบุว่า “ให้คณะกรรมการบริหารพรรค หรือกรรมการบริหารพรรคพ้นจากตำแหน่งเมื่อ ...(5) จงใจหรือเจตนาทำลายพรรคให้เกิดความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อม”[5] และแต่งตั้งให้ นายคำปัน แก้ววิโรจน์ กรรมการบริหารพรรครู้แจ้งเห็นจริง ทำหน้าที่แทนเลขาธิการพรรครู้แจ้งเห็นจริง [6]
พรรครู้แจ้งเห็นจริงได้แจ้งขอเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารพรรคต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองอีกครั้ง หลังจากที่กรรมการบริหารพรรคจำนวน 16 คนได้ลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค ซึ่งมีผลให้คณะกรรมการบริหารพรรคพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ ตามข้อบังคับพรรครู้แจ้งเห็นจริง พ.ศ. 2547 ข้อ 29 (2) และ (8)[7] ที่ระบุว่า “ให้คณะกรรมการบริหารพรรค หรือกรรมการบริหารพรรคพ้นจากตำแหน่งเมื่อ ....(2) ลาออก ...(8) ตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคว่างลงสองในสามของจำนวนคณะกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด ถือว่าหมดสภาพทั้งคณะรวมทั้งหัวหน้าพรรคด้วย[8] ด้วยเหตุนี้ตำแหน่งคณะกรรมการบริหารพรรครู้แจ้งเห็นจริงจึงว่างลง และต้องดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ต่อไป
จากนั้น ในวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2548 ที่ประชุมใหญ่สามัญพรรครู้แจ้งเห็นจริง ครั้งที่ 1/2548 ได้มีมติให้เลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ แต่นายทะเบียนพรรคการเมืองว่าการประชุมพรรครู้แจ้งเห็นจริงครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมประชุมเพียง 89 คน ซึ่งไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 มาตรา 26 ซึ่งกำหนดให้ที่ประชุมใหญ่ของพรรคการเมืองต้องประกอบด้วยคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง ผู้แทนสาขาพรรคการเมือง และสมาชิกตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับพรรคการเมือง ซึ่งข้อบังคับพรรครู้แจ้งเห็นจริง พ.ศ. 2547 ข้อ 70 ระบุว่าการประชุมใหญ่ต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยคนจึงจะเป็นองค์ประชุม นายทะเบียนพรรคการเมืองจึงร้องขอต่อศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ให้วินิจฉัยยุบเลิกพรรครู้แจ้งเห็นจริง ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วจึงมีคำสั่งที่ 3/2549 ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ให้ยุบพรรครู้แจ้งเห็นจริง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 มาตรา 65 ซึ่งบัญญัติให้พรรคการเมืองต้องยุบเลิกหากไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา 26[9]
อนึ่ง ตลอดระยะเวลาที่พรรครู้แจ้งเห็นจริงจดทะเบียนจัดตั้งเป็นพรรคการเมือง พรรคไม่เคยร่วมกิจกรรมทางการเมืองโดยการส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเลย เนื่องจากระยะเวลาดังกล่าวไม่มีการเลือกตั้งทั่วไปเกิดขึ้น
อ้างอิง
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 121 ตอนพิเศษ 106 ง, วันที่ 27 กันยายน 2547, หน้า 18,38-39.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 121 ตอนพิเศษ 106 ง, วันที่ 27 กันยายน 2547, หน้า 38-39.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 121 ตอนพิเศษ 106 ง, วันที่ 27 กันยายน 2547, หน้า 18-37
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 121 ตอนพิเศษ 106 ง, วันที่ 27 กันยายน 2547, หน้า 86-87.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 121 ตอนพิเศษ 106 ง, วันที่ 27 กันยายน 2547, หน้า 50-51.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 122 ตอนที่ 12 ง, วันที่ 21 เมษายน 2548, หน้า 101.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 122 ตอนที่ 70 ง,วันที่ 1 กันยายน 2548, หน้า 24.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 121 ตอนพิเศษ 106 ง, วันที่ 27 กันยายน 2547, หน้า 50-51.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 123 ตอนที่ 56 ก, วันที่ 31 พฤษภาคม 2549, หน้า 1-89.