รัฐพิธีเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๖
รัฐพิธีเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ และการเสด็จฯ ออกไปประพาสยุโรป
ผู้เรียบเรียง '''': รองศาสตราจารย์ ม.ร.ว.พฤทธิสาณ ชุมพล
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.สนธิ เตชานันท์
ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ “กบฏบวรเดช” ในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้แปรพระราชฐานจากหัวหินไปประทับที่สงขลาเป็นเวลาหนึ่งเดือนครึ่ง และเมื่อรัฐบาลตกลงยอมให้พระองค์เสด็จฯ ไปยุโรปเพื่อผ่าตัดต้อกระจกในพระเนตร พระองค์จึงได้เสด็จฯ คืนสู่พระนครเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ เพื่อทรงประกอบรัฐพิธีเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้งกึ่งหนึ่งแต่งตั้งกึ่งหนึ่งในวันรุ่งขึ้นตามที่รัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนากราบบังคมทูลเชิญ
การแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภท ๒ และรัฐพิธีเปิดสมัยประชุมสภาฯ
ในบ่ายวันที่ ๙ ธันวาคม นั้นเอง พระยาพหลพลพยุหเสนาได้เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายรายนามผู้แทนราษฎรประเภทที่ ๒ คือประเภทแต่งตั้ง ตรงตามจำนวน ๗๘ คน ที่จะต้องมีเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ ๑ ซึ่งเพิ่งได้รับเลือกตั้งมา เพื่อที่จะได้ทรงแต่งตั้ง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชกฤษฎีกาแต่งตั้ง แต่มีหลักฐานปรากฏในช่วงที่จะสละราชสมบัติว่า ไม่ทรงพอพระราชหฤทัยที่ไม่ได้ทรงมีโอกาสได้ทรงมีส่วนในการคัดเลือก
วันรุ่งขึ้นที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปในรัฐพิธีเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม นับเป็นการเสด็จฯ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ พระราชดำรัสมีลักษณะเป็นรายงานของรัฐบาลซึ่งพระมหากษัตริย์รับสั่งแทน ทำนองเดียวกับที่ปฏิบัติกันอยู่ในประเทศอังกฤษ กล่าวถึงความเป็นมาของเหตุการณ์บ้านเมืองตั้งแต่พระราชทานรัฐธรรมนูญ ผ่านความผันผวนต่างๆ จนถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ ๑ สำเร็จลง และการประกาศพระราชกฤษฎีกาตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ ๒[๑]
เกี่ยวกับรัฐพิธีนี้ เจ้าพระยาวรพงษ์พิพัฒน์ เสนาบดีกระทรวงวังเล่าว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งต่อเจ้าพระยาวรพงษ์ฯ มิให้อัญเชิญพระสังวาลย์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มาให้ทรง แต่ให้ใช้องค์จำลอง และมิให้ใช้พระแท่นมนังคศิลาอาสน์ของพ่อขุนรามคำแหงมาใช้ ให้ใช้ที่จำลองเช่นกัน โดยรับสั่งต่อไปว่า “ฉันรักษาบ้านเมืองให้สุขสมบูรณ์ไม่ได้ อย่าให้ฉันใช้สมบัติของท่านเลย”[๒]คำบอกเล่านี้คงจะเป็นจริงเพราะสะท้อนให้เห็นถึงความในพระราชหฤทัยซึ่งได้ทรงเผยให้เห็นในเวลาต่อมา
ในวันเดียวกันนั้น สมาชิกสภาฯ ทั้ง ๒ ประเภทได้ประชุมกันในสภาเดียวนั้นเป็นครั้งแรก และได้เลือก พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งเมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม
ลักษณะของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและคณะรัฐมนตรี
นครินทร์ เมฆไตรรัตน์[๓]ได้วิเคราะห์ลักษณะของสภาผู้แทนราษฎรและคณะรัฐมนตรีของพระยาพหลฯ ในช่วงนี้ไว้ สรุปได้ว่า ในบรรดา ส.ส. จากการเลือกตั้ง จำนวน ๗๘ คนนั้น เป็นนักกฎหมายมากที่สุด จำนวน ๒๑ คน ข้าราชการประจำ ๑๖ คน นักธุรกิจ ๑๕ คน ข้าราชการเกษียณหรือลาออกแล้ว ๑๑ คน ทั้งหมดเป็นชาย อายุระหว่าง ๓๐-๔๙ ปี ซึ่งนับว่าน้อยกว่าในครั้งต่อๆ มา สำเร็จการศึกษาขั้นปริญญาตรี ๒๑ คน (ร้อยละ ๒๖.๙) บางคนมีเชื้อสายของเจ้าเมืองท้องถิ่นเดิม ส่วนสมาชิกคณะราษฎร ๕ คนที่สมัครรับเลือกตั้งไม่ได้รับเลือกตั้งเลย ซึ่ง “คงแสดงให้เห็นว่าการเลือกตั้ง...เป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรม” (หน้า ๒๗๘) สำหรับ ส.ส. ประเภทที่สอง จากการแต่งตั้ง จำนวน ๗๘ คนเท่ากันนั้น มีสมาชิกกลุ่มคณะราษฎร เพิ่มจากเดิมคือ ๓๓ จาก ๗๐ คน เป็น ๔๗ จาก ๗๘ คน แต่เท่ากับร้อยละ ๓๐.๑ ของ ส.ส. ทั้งสองประเภทและมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ลดน้อยลง หากแต่ว่ามีนายทหารเป็น ส.ส. ประเภทที่สองเพิ่มมากขึ้นจากเดิม ๑๘ จาก ๗๐ คน เป็น ๕๐ จาก ๗๘ คน ทำให้ข้าราชการพลเรือนมีจำนวนน้อยลง จากเดิม ๔๔ คน จาก ๗๐ คน เหลือเพียง ๒๗ จาก ๗๘ คนเท่านั้น ซึ่งน่าจะแสดงให้เห็นว่าทหารมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นมากในคณะราษฎร
สำหรับคณะรัฐมนตรี แบ่งออกได้เป็น ๓ ประเภท คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง และรัฐมนตรี “ลอย” ทั้งนี้รัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะรัฐมนตรีมีได้อย่างมาก ๒๔ คน และ ๑๔ คนต้องเลือกจาก ส.ส. ประเภทใดก็ได้ ในความเป็นจริงคณะรัฐมนตรีของพระยาพหลฯ ในช่วงนี้มี ๑๙ คน เป็น ส.ส. ประเภทแต่งตั้ง ๘ คน และประเภทเลือกตั้งเพียง ๒ คน[๔] ทั้งนี้นครินทร์วิเคราะห์ว่าคณะรัฐมนตรีนี้มีรัฐมนตรีว่าการ ๘ คน รัฐมนตรีลอย ๙ คนโดยทุกคนมีคะแนนเท่ากันในการลงคะแนนในที่ประชุม รัฐมนตรีลอยจึงมีความสำคัญในการเป็นผู้ถ่วงดุลรัฐมนตรีว่าการและนายกรัฐมนตรี ซึ่งการณ์ปรากฏว่าในช่วงแรกนี้ พระยาพหลฯ ยังคงร่วมทำงานกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นรัฐมนตรีว่าการทุกกระทรวง ในขณะที่ฝ่ายคนรุ่นหนุ่มและสมาชิกคณะราษฎรเป็นรัฐมนตรีลอย แต่ในระยะถัดมาคือ ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. ๒๔๗๗ และกลางปี พ.ศ. ๒๔๗๘ เป็นต้นไป ปรากฏว่าฝ่ายข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ได้ถอนตัวไปตามลำดับ และสมาชิกคณะราษฎรรวม ๔ คนได้ก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสำคัญแทน ได้แก่หลวงพิบูลสงครามเป็น รมต. กลาโหม หลวงประดิษฐ์มนูธรรมเป็นรมต. มหาดไทยและการต่างประเทศตามลำดับ หลวงสินธุสงครามชัยเป็น รมต. ศึกษาธิการ และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์เป็น รมต. มหาดไทยต่อจากหลวงประดิษฐ์มนูธรรม[๕]
พระราชทัศนะของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวต่อสถานการณ์บ้านเมือง
ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกฤษฎีกาแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่สองและทรงเปิดสมัยประชุมสภาฯ แล้ว ปรากฏว่ารัฐบาลได้เกิดความไม่แน่ใจเกี่ยวกับว่าควรที่จะยอมให้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงผ่าตัดพระเนตรในต่างประเทศตามที่ได้สัญญาไว้กับพระองค์ก่อนหน้านั้นหรือไม่ รัฐบาลได้กราบบังคมทูลขอให้ประทับรักษาพระองค์อยู่ในกรุงเทพฯ โดยจะเชิญแพทย์จากต่างประเทศมาถวายการผ่าตัด แต่โดยที่ในสมัยนั้นยังไม่เคยมีการผ่าตัดต้อกระจกในสยามมาก่อนเลย และมีความจำเป็นต้องผ่าตัดจริงๆ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงยืนยันที่จะเสด็จฯ ไปต่างประเทศให้จงได้ ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวที่ยังมีความไม่แน่นอนว่าจะได้เสด็จฯ ไปจริงหรือไม่นี้ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีได้รับสั่งเล่าไว้เมื่อ ๔๐ ปีให้หลังว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเกรงมากขึ้นว่าจะมีการบุกเข้าไปในที่ประทับ ณ พระตำหนักสวนจิตรลดาฯ และได้ทรงเตรียมการที่จะทรงปลงพระชนม์พระองค์เองหากถึงเวลาจวนพระองค์[๖]เท่ากับว่าทรงตั้งพระราชหฤทัยแน่วแน่ยิ่งที่จะทรงหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่พระมหากษัตริย์ ประมุขของชาติ จะทรงตกอยู่ในภาวะที่จะทรงถูกใช้เพื่อประโยชน์ของบุคคลคณะหนึ่งคณะใด ในที่สุดรัฐบาลได้ยอมที่จะให้เสด็จฯ ไปต่างประเทศได้ในวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๖ (พ.ศ. ๒๔๗๗ นับตามปฏิทินปัจจุบัน)
เพียง ๑๗ วันก่อนหน้านั้น คือเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ รัฐบาลได้อนุญาตให้เซอร์โรเบิร์ต ฮอลแลนด์ ( Sir Robert Holland) และนายเจมส์ แบกซเตอร์ (James Baxter) ที่ปรึกษาราชการชาวอังกฤษเข้าเฝ้าฯ บันทึกของนายแบกซเตอร์[๗] เล่าว่าในโอกาสนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้รับสั่งย้ำอีกครั้งถึงสิ่งที่ได้รับสั่งกับเขาทั้งสองเมื่อเดือนสิงหาคม ก่อนเกิดกบฏบวรเดชแล้วว่า เหตุผลหนึ่งของการเสด็จฯ ไปต่างประเทศครั้งนี้ก็เพื่อที่จะประทับอยู่ในที่ซึ่งห่างไกลพอที่จะไม่ทรงอยู่ในฐานะที่จะถูกกล่าวหาว่าทรงสนับสนุนการกระทำใดๆ ในเชิงต่อต้านรัฐบาล หากยังประทับอยู่ในประเทศ ก็จะมีความพยายามที่จะดึงพระองค์ลงมาเกี่ยวข้องกับแผนการต่างๆ ที่จะล้มรัฐบาล อีกส่วนหนึ่ง เสด็จฯ ไปเพื่อทรงรักษาพระสุขภาพ แม้ว่าจะไม่ได้ทรงแสดงความชื่นชมในรัฐบาลพระยาพหลฯ แต่ก็มิได้ทรงแสดงความทรงเป็นปฏิปักษ์ กลับเป็นว่าทรงนับถือพระยาพหลฯ อยู่บ้างแม้ว่าจะมิได้ทรงหลงผิดไปว่าพระยาพหลฯ เป็นหัวหน้ารัฐบาลที่แท้จริง แต่ได้ทรงแสดงความหวั่นเกรงว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาข้อกล่าวหาว่าหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) เป็นคอมมิวนิสต์ โดยมีเซอร์ โรเบิริ์ต ผู้เข้าเฝ้าฯ เป็นที่ปรึกษานั้น อาจเป็นการเปิดทางให้มีการรื้อฟื้นเค้าโครงการเศรษฐกิจของเขาขึ้นมาใหม่ และการที่อาจมีการแต่งตั้งหลวงประดิษฐ์ฯ เป็นรัฐมนตรีมหาดไทยนั้น หากทำจริงก็จะทำให้เกิดความตื่นตระหนกตกใจในหมู่สาธารณชน
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รับสั่งในโอกาสเดียวกันว่าการเลือกตั้งที่ได้มีขึ้นนั้นดูจะสะอาดพอใช้ และทรงดีพระทัยที่ผู้สมัครจากกรุงเทพฯ ส่วนมากไม่ได้รับเลือกตั้งในต่างจังหวัด กลับมีคนท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงได้รับเลือกและมีความตั้งใจจะวางตัวเป็นอิสระ ทรงเห็นว่าพระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) ผู้ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จังหวัดพระนคร น่าจะเป็น ส.ส. ที่มีสติปัญญาและความกล้า พระองค์ดูจะทรงเห็นว่ามี ส.ส. จำนวนไม่น้อยที่ไม่ไว้วางใจในหลวงประดิษฐ์ฯ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นทหารที่คาดว่าหลวงประดิษฐ์ฯ จะต่อต้านการใช้จ่ายด้านทหาร และอีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ที่เห็นว่าเขามีความโน้มเอียงไปในทางลัทธิคอมมิวนิสต์ ในขณะเดียวกัน ดูจะทรงมีพระราชหฤทัยหวังว่าสภาฯ จะมีมติไม่ทำอะไรผลุนผลันและจะทัดทานฝ่ายทหารไว้ได้บ้าง
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงอ่านสถานการณ์ได้ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ โดยสังเขป สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในเวลาต่อมาก็คือพระยาพหลฯ อยู่ในสถานะที่ต้องพยายามรักษาดุลระหว่างสองฝ่ายในคณะราษฎร คือฝ่ายของหลวงพิบูลสงคราม กับฝ่ายของหลวงประดิษฐ์มนูธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ หลวงพิบูลฯ มีอำนาจจริงในการควบคุมกองทัพบก เพราะพระยาทรงสุรเดชถูกผลักไปสู่ชายขอบโดยต่อเนื่อง หลวงประดิษฐ์ฯ มีกลุ่มผู้สนับสนุนในสภาฯ และในเดือนมีนาคมถัดมา ได้ตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยเปิด ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการสร้างฐานสนับสนุนเพิ่มเติมในหมู่ข้าราชการพลเรือนและผู้อื่นที่ใฝ่ศึกษานิติศาสตร์ รัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ นอกจากนั้น ใกล้ๆ เวลาเสด็จพระราชดำเนิน มีสัญญาณของความแตกแยกในหมู่ทหารเรือซึ่งคุกรุ่นต่อมา[๘]หลังจากนั้นไม่นาน ได้มีการเจรจาต่อรองกัน โดยหลวงประดิษฐ์ฯได้ยอมทบทวนเค้าโครงการเศรษฐกิจของเขาและได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในขณะเดียวกัน หลวงพิบูลฯ ซึ่งขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็สามารถปรับโครงสร้างและตัวบุคคลในกองทัพบกได้ตามที่เขาเห็นควร[๙] และนายทหารเรือ สมาชิกคณะราษฎร ๒ คน ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยต่อจากหลวงประดิษฐ์ฯ ซึ่งย้ายไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศดังที่ได้เสนอไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปยุโรป เพื่ออะไรบ้าง ?
วันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๖ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินออกจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐานที่ประทับขณะนั้น เวลา ๑๒.๓๕ น. ตามพระฤกษ์ ไปยังท่าราชวรดิษฐ์ เสด็จฯ ลงเรือยนต์พระที่นั่งศรวรุณไปยังเกาะสีชัง ที่เกาะสีชัง เสด็จฯ ลงเรือวลัย ซึ่งบริษัทสยามนาวีเกชั่น จำกัด จัดถวายเป็นเรือพระที่นั่ง ล่องผ่านปลายแหลมมลายู ตามเส้นทางการเดินเรือปกติ ไปยังท่าเรือเมืองเมดัน (Medan) เกาะสุมาตรา (Sumatra) ซึ่งเสด็จฯ ถึงในวันที่ ๑๘ มกราคม เสด็จฯ เข้าประทับที่จวนซึ่งรัฐบาลประเทศเนเธอร์แลนด์ เจ้าอาณานิคมในขณะนั้นจัดถวายเป็นที่ประทับ[๑๐]
ในการนี้ พระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์และครอบครัว ซึ่งได้เสด็จออกนอกประเทศไปก่อนหน้านี้แล้วได้เสด็จไปเฝ้าฯ ส่งเสด็จที่เมดัน มีสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตจากบันดุง(Bandung) เกาะชวา (Java) สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ และสมเด็จกรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ จากปีนัง และกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธินจากสิงคโปร์ เป็นต้น โดยครอบครัวสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ และครอบครัวเฝ้าฯ บนเรือพระที่นั่ง[๑๑]แล้วเสด็จไปเฝ้าฯ อีกครั้งที่โรงแรมโบเออร์ หรือบูเออร์ (De Boer) ในเมืองเมดันพร้อมกับเจ้านายพระองค์อื่นในการร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารกลางวัน[๑๒] หม่อมเจ้าพูนพิสมัย ดิศกุล พระธิดาสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงบันทึกไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐ ว่า ทรงได้ยินพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รับสั่งว่า “นี่ ถ้าฉันอยู่อีก ๗ วันเท่านั้น ก็ต้องไปอยู่คลองสาร'! (โรงบ้า) เหลือเวลาอีก ๖ ชั่วโมงจะลงเรือแล้วยังไม่รู้เลยว่าเขาจะให้มาหรือไม่!!”[๑๓]'
ครั้นวันที่ ๑๙ มกราคม เสด็จฯ ลงเรือกำปั่นเมโอเนีย (M.S. Meonia) ซึ่งบริษัทอีสต์ เอเชียติค จัดถวายเป็นเรือพระที่นั่งต่อไปยังประเทศฝรั่งเศส[๑๔] เพื่อเสด็จประพาสประเทศในทวีปยุโรป ๙ ประเทศ โดยที่ท้ายที่สุดไม่ได้เสด็จฯ สหรัฐอเมริกาตามกำหนดเดิม ต่อมาเมื่อวันที่ ๒มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ (พ.ศ. ๒๔๗๘ นับตามปฏิทินปัจจุบัน) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสละราชสมบัติและมิได้เสด็จฯ กลับสู่สยามอีกเลย ด้วยได้เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ณ พระตำหนักคอมพ์ตัน เฮาส์ (Compton House) ประเทศอังกฤษ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรปเพื่ออะไรบ้างนับเป็นประเด็นที่ควรพิจารณา ในพระราชดำรัสซึ่งพระราชทาน “ประชาชนพลเมืองทั้งหลาย” (ซึ่งน่าสังเกตว่าไม่เคยมีใช้มาก่อนหน้านั้น)[๑๕] ในวันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๖ รับสั่งแต่เพียงว่า “เป็นความจำเป็นเพื่อการรักษาร่างกายของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะได้ถือโอกาสเจริญทางพระราชไมตรีกับนานาประเทศให้สนิทสนมยิ่งขึ้นด้วย” จากนั้นได้รับสั่งว่า “ทรงตระหนักในความยากลำบากทางการบ้านเมืองซึ่งมีอยู่ในเวลานี้ แต่ข้าพเจ้ามีความไว้วางใจในคณะรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรกับประชาราษฎรทั้งหลายก็ได้แสดงความไว้วางใจเช่นเดียวกัน” จึงทรงเชื่อมั่นว่าจะมีความสงบและความสามัคคี นอกจากข้อความซึ่งน่าจะเป็นที่รัฐบาลร่างถวายแล้ว ยังทรงเน้นย้ำว่าพระองค์เองได้ทรงมี “ความเลื่อมใสอย่างจริงจังตั้งแต่ต้นมา” ในการปกครองแบบรัฐธรรมนูญ และ “ใคร่ให้การเมืองเป็นไปตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ” จึงทรง “ขอให้ประชาชนพลเมืองทั้งหลายจงได้รักษาความสงบและความสามัคคีไว้ให้มั่นคง”
ดังนั้น วัตถุประสงค์ที่เป็นที่เปิดเผยของการเสด็จพระราชดำเนินจึงมีอยู่ ๒ ประการคือ หนึ่งเพื่อรักษาพระวรกาย และสองเพื่อเจริญพระราชไมตรี
ในส่วนของการรักษาพระวรกายนั้น จากการศึกษาจดหมายเหตุเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรป พ.ศ. ๒๔๗๖-๒๔๗๗ ซึ่งส่วนใหญ่บันทึกโดยพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร (ม.ร.ว. สิทธิ์ สุทัศน์) ราชเลขานุการในพระองค์ในกระบวนเสด็จฯ[๑๖]พบว่าทรงเข้ารับการผ่าตัดพระทนต์กรามเบื้องล่างทั้งสองซี่ซ้ายขวาซึ่งคุดออกที่โรงพยาบาลลอนดอนคลินิคเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ และเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ทรงเข้ารับการผ่าตัดต้อกระจกในพระเนตรซ้ายซึ่งเป็นขั้นตอนที่ ๒ (เข้าใจว่าเพื่อเอาเนื้อเยื่ออก) หลังจากที่ได้ทรงเข้ารับการผ่าตัดพระเนตรซ้ายเช่นกันที่สหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๔[๑๗]
สำหรับการเจริญพระราชไมตรีนั้น พึงตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการเสด็จพระราชดำเนินนอกประเทศของพระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญของสยามครั้งแรก จึงดูจะเป็นการเสด็จฯ เพื่อทรงสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นในประเทศ ๙ ประเทศที่เสด็จฯ นั้นว่า “แม้สยามจะได้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแล้วก็ตาม ไมตรีจิตที่มีต่อกันมาแต่เดิมนั้นจะยังคงมีต่อไป โดยพระองค์เอง องค์พระประมุขของชาติทรงเป็นสัญลักษณ์ของความต่อเนื่องดังกล่าว”[๑๘]นอกจากนั้นจากจดหมายเหตุฯ เห็นได้ชัดว่าได้ทรงถือโอกาสนั้นทรงติดตามศึกษาด้วยพระองค์เองถึงระบอบการปกครองและแนวความคิดทางการเมืองซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและซับซ้อนในทวีปยุโรปในขณะนั้น ด้วยการทรงมีพระราชปฏิสันถารกับบุคคลในบทบาทหน้าที่ต่างๆ ตั้งแต่ประมุขทั้งที่เป็นพระมหากษัตริย์และบุคคลธรรมดา หัวหน้ารัฐบาล สมาชิกรัฐสภาทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายค้าน ไม่ว่าเขาจะมีความคิดทางการเมืองผู้มีชื่อเสียงและบทบาทในทางความคิดเป็นเช่นใด อีกทั้งทรงศึกษาถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและทางเกษตรกรรมเพื่อประโยชน์ที่อาจพึงมีต่อสยามด้วย นับว่าเป็นความตั้งพระราชหฤทัยและพระราชอุตสาหะที่จะทรงอำนวยประโยชน์แก่ประเทศชาติโดยต่อเนื่อง
นอกเหนือจากวัตถุประสงค์ที่เปิดเผย ๒ ประการที่ได้ขยายความให้เห็นแล้วนี้ วิเคราะห์ได้ว่ามีวัตถุประสงค์ประการที่สาม ซึ่งไม่เป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณชนในขณะนั้น แต่ทราบได้จากการติดตามวิเคราะห์เรียงลำดับเหตุการณ์และเอกสารได้ว่า คือ เพื่อตัดสินพระราชหฤทัยว่าจะทรงสละราชสมบัติหรือไม่ ซึ่ง ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพลได้เรียบเรียงและวิเคราะห์ไว้[๑๙] ความโดยสังเขปว่า ได้ทรงแสดงพระราชดำริที่จะทรงสละราชสมบัติไว้แล้วตั้งแต่วันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ต่อมาขณะที่กำลังมีการยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้รับสั่งตอบพระยาพหลฯ ซึ่งกราบบังคมทูลถามเกี่ยวกับเหตุการณ์สมมติว่าหากเกิดมีผู้ทำการล้มล้างรัฐบาลขอให้ทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญของเขา จะโปรดเกล้าฯ อย่างไร ซึ่งรับสั่งตอบว่า หาก “กบฏ” พวกนั้นบังคับ พระองค์จะทรงสละราชสมบัติ ต่อมา เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ในช่วงที่ได้มีการรัฐประหารรัฐบาลพระยามโนฯ แล้ว แต่ก่อนที่จะเกิด “กบฎบวรเดช” ได้รับสั่งแก่นายเจมส์ แบกซเตอร์ ว่าทรงมีพระราชประสงค์จะเสด็จฯ ไปให้ไกลจากสภาพที่อาจทรงถูกบังคับได้โดยง่ายและทรงพระราชดำริว่า อาวุธที่แข็งแรงที่สุดของพระองค์คือการขู่ว่าจะทรงสละราชสมบัติ แต่จะได้ผลจริงก็ต่อเมื่อทรงมีโอกาสที่จะทรงทำสิ่งที่ขู่จริงๆ ซึ่งก็คือจะต้องเสด็จฯ ไปประทับในที่ซึ่งปลอดภัยและเฝ้ามองสถานการณ์จากที่นั่น ครั้นเมื่อเหตุการณ์ “กบฏบวรเดช” ได้เกิดขึ้นในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ พระองค์ได้ทรงแสดงว่าพระมหากษัตริย์ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดที่กำลังรบกันอยู่ ด้วยการเสด็จฯ ไปประทับที่สงขลา และเมื่อเสด็จฯ คืนสู่พระนครแล้ว ในปลายเดือนธันวาคม ปีนั้น (ดังได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้แล้ว) ได้รับสั่งต่อนายแบกซเตอร์คนเดิมอีกครั้งหนึ่ง ทรงอธิบายว่าสาเหตุหนึ่งนอกจากการรักษาพระวรกาย ก็คือการเสด็จฯ ไปให้ไกลจากการทรงถูกดึงลงมาเกี่ยวพันกับความพยายามใดๆ ที่อาจมีในการล้มล้างรัฐบาลและระบอบ
หลังจากที่เสด็จประพาส ๙ ประเทศในยุโรปครบถ้วนแล้ว และกำลังจะเสด็จฯ จากปารีสไปประทับที่พระตำหนักโนล ตำบลแครนลีย์ (Knowle, Cranleigh) ประเทศอังกฤษ ซึ่งได้ทรงหาไว้เช่าในช่วงเสด็จฯ อังกฤษในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเปิดฉากการเจรจากับรัฐบาลที่กรุงเทพฯ ถึงเงื่อนไขหากรัฐบาลไม่ต้องการให้ทรงสละราชสมบัติโดยพระราชบันทึก ๒ ฉบับ ซึ่งพระราชทานพระยาราชวังสัน อัครราชทูตสยามผู้อาสาเป็น “ตัวกลาง” ในวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งได้นำไปสู่การทรงสละราชสมบัติจริง มีวิเคราะห์ไว้ในเรื่องการทรงเจรจากับรัฐบาลถึงเงื่อนไขหากจะให้ทรงอยู่ในราชสมบัติต่อไป
บรรณานุกรม
นครินทร์ เมฆไตรรัตน์. ๒๕๓๕. การปฏิวัติสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
นครินทร์ เมฆไตรรัตน์. ๒๕๔๖. ความคิด ความรู้ และอำนาจทางการเมืองในการปฏิวัติสยาม ๒๔๗๕. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน.
“นายหนหวย” (นามแฝงของศิลปชัย ชาญเฉลิม). ๒๕๓๐. เจ้าฟ้าประชาธิปก ราชันผู้นิราศ. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ: ศิลปชัย ชาญเฉลิม.
บรรเจิด อินทุจรรยง (บก). ๒๕๓๖. ประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ : วัชรินทร์การพิมพ์.
ปรีดา วัชรางกูร. ๒๕๒๐. พระปกเกล้าฯ กับระบอบประชาธิปไตย. กรุงเทพฯ: หจก.การพิมพ์พระนคร.
พระปกเกล้า, สถาบัน. ๒๕๔๕. พระราชบันทึกทรงเล่าในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า.
พฤทธิสาณ ชุมพล, ม.ร.ว.. ๒๕๕๕. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ยุโรป พ.ศ. ๒๔๗๖-๒๔๗๗: เพื่ออะไรบ้าง. ในรายงานกิจการประจำปี ๒๕๕๔ มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี. กรุงเทพฯ: มูลนิธิฯ. หน้า ๑-๒๒
พูนพิสมัย ดิศกุล, หม่อมเจ้า. ๒๕๔๖ สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕. พิมพ์ครั้งที่ ๕. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน.
วัลย์วิภา จรูญโรจน์, ม.ล. ๒๕๒๘. แนวพระราชดำริทางการเมืองของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว: การวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า.
วิชิตวงศ์วุฒิไกร, พระยา. ๒๕๒๖. จดหมายเหตุเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรป พ.ศ. ๒๔๗๖-๒๔๗๗ ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. อนุสรณ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ พลตรีปชา สิริวรสาร ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๖.
ศิริรัตนบุษบง, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า. ๒๕๒๔. พระประวัติสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต. กรุงเทพฯ: จันวาณิชย์.
Batson, Benjamin A. 1984. The End of the Absolute Monarchy in Siam. Singapore: Oxford University Press.
อ้างอิง
[๑]บรรเจิด อินทุจรรยง (บก). ๒๕๓๖. ประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว.(กรุงเทพฯ : วัชรินทร์การพิมพ์) , หน้า ๒๖๘-๒๖๙.
[๒]“นายหนหวย” (นามแฝงของศิลปชัย ชาญเฉลิม). ๒๕๓๐. เจ้าฟ้าประชาธิปก ราชันผู้นิราศ. พิมพ์ครั้งที่ ๓. (กรุงเทพฯ: ศิลปชัย ชาญเฉลิม) , หน้า ๕๘๗.
[๓]นครินทร์ เมฆไตรรัตน์. ๒๕๓๕. การปฏิวัติสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕.(กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์) , หน้า ๒๗๗-๒๘๔.
[๔]ปรีดา วัชรางกูร. ๒๕๒๐. พระปกเกล้าฯ กับระบอบประชาธิปไตย.(กรุงเทพฯ: หจก.การพิมพ์พระนคร) ,หน้า ๓๒๕-๓๒๖.
[๕]นครินทร์ เมฆไตรรัตน์. ๒๕๓๕. การปฏิวัติสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕. (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์) , หน้า ๒๘๐-๒๘๔.
[๖]พระปกเกล้า, สถาบัน. ๒๕๔๕. พระราชบันทึกทรงเล่าในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีใน รัชกาลที่ ๗. (กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า), หน้า ๑๖-๑๗.
[๗]วัลย์วิภา จรูญโรจน์, ม.ล. ๒๕๒๘. แนวพระราชดำริทางการเมืองของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว':การวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์.(กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า) , หน้า ๑๙๔-๑๙๗.
[๘]Batson, Benjamin A. 1984. The End of the Absolute Monarchy in Siam. Singapore: Oxford UniversityPress.P.259.
[๙]นครินทร์ เมฆไตรรัตน์. ๒๕๔๖. ความคิด ความรู้ และอำนาจทางการเมืองในการปฏิวัติสยาม ๒๔๗๕. พิมพ์ครั้งที่ ๒. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน),หน้า ๓๑๕.
[๑๐]วิชิตวงศ์วุฒิไกร, พระยา. ๒๕๒๖. จดหมายเหตุเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรป พ.ศ. ๒๔๗๖-๒๔๗๗ ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. อนุสรณ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ พลตรีปชา สิริวรสาร ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๖ (มปท.) , หน้า ๑-๔.
[๑๑]ศิริรัตนบุษบง, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า. ๒๕๒๔. พระประวัติสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต. (กรุงเทพฯ: จันวาณิชย์) , หน้า ๗๖.
[๑๒]วิชิตวงศ์วุฒิไกร, พระยา. ๒๕๒๖. จดหมายเหตุเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรป พ.ศ. ๒๔๗๖-๒๔๗๗ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. อนุสรณ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ พลตรีปชา สิริวรสาร ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๖ (มปท.) , หน้า ๕.
[๑๓]พูนพิสมัย ดิศกุล, หม่อมเจ้า. ๒๕๔๖ สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕.พิมพ์ครั้งที่ ๕. (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน) , หน้า ๑๕๒.
[๑๔]วิชิตวงศ์วุฒิไกร, พระยา. ๒๕๒๖. จดหมายเหตุเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรป พ.ศ. ๒๔๗๖-๒๔๗๗ ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. อนุสรณ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ พลตรีปชา สิริวรสาร ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๖,หน้า ๘.
[๑๕]บรรเจิด อินทุจรรยง (บก). ๒๕๓๖. ประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว.(กรุงเทพฯ : วัชรินทร์การพิมพ์) , หน้า ๒๗๐.
[๑๖]วิชิตวงศ์วุฒิไกร, พระยา. ๒๕๒๖. จดหมายเหตุเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรป พ.ศ. ๒๔๗๖-๒๔๗๗ ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. อนุสรณ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ พลตรีปชา สิริวรสาร ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๖.
[๑๗]ดู พฤทธิสาณ ชุมพล, ม.ร.ว.. ๒๕๕๕. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ยุโรป พ.ศ. ๒๔๗๖-๒๔๗๗: เพื่ออะไรบ้าง. ในรายงานกิจการประจำปี ๒๕๕๔ มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี. (กรุงเทพฯ: มูลนิธิฯ) , หน้า ๒-๔.
[๑๘]พฤทธิสาณ ชุมพล, ม.ร.ว.. ๒๕๕๕. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ยุโรป พ.ศ. ๒๔๗๖-๒๔๗๗: เพื่ออะไรบ้าง. ในรายงานกิจการประจำปี ๒๕๕๔ มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี. (กรุงเทพฯ: มูลนิธิฯ) , หน้า ๔-๕.
[๑๙]พฤทธิสาณ ชุมพล, ม.ร.ว.. ๒๕๕๕. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ยุโรป พ.ศ. ๒๔๗๖-๒๔๗๗: เพื่ออะไรบ้าง. ในรายงานกิจการประจำปี ๒๕๕๔ มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี. (กรุงเทพฯ: มูลนิธิฯ) , หน้า ๙-๒๒.