รัฐประหาร พ.ศ. 2494

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง ณัฐพล ใจจริง


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


รัฐประหาร พ.ศ. 2494

            การรัฐประหาร 29 พฤศจิกายน 2494 ของคณะทหารที่เรียกตนเองว่า “คณะบริหารประเทศชั่วคราว” เป็นผลต่อเนื่องมาจาก ปัญหาทางการเมืองจากความร่วมมือระหว่างกลุ่มอนุรักษ์-กษัตริย์นิยมและพรรคประชาธิปัตย์ได้ร่างรัฐธรรมนูญ 2492 หรือ “รัฐธรรมนูญกษัตริย์นิยม” ที่กำหนดโครงสร้างทางการเมืองที่ให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจในการควบคุมทางการเมืองผ่านวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้ง อีกทั้ง รัฐธรรมนูญฉบับนี้ การกีดกัน “คณะรัฐประหาร” ออกไปจากการเมืองนั้น ทำให้รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงครามบริหารราชการแผ่นดินด้วยความยากลำบาก ด้วยเหตุนี้ การรัฐประหาร 2494 จึงเป็นการยุติอำนาจกลุ่มอนุรักษ์-กษัตริย์นิยมออกไปจากการเมืองไทย ซึ่งเป็นสะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้ระหว่างคณะทหารที่มีจอมพล ป.-ผู้นำที่มาจากคณะราษฎรกับกลุ่มอำนาจเก่าที่ยังคงดำรงอยู่ภายหลังการปฏิวัติ 2475

สภาพปัญหาที่ก่อให้เกิดการรัฐประหาร

          ภายหลังการขับไล่รัฐบาลนายควงลงจากตำแหน่ง ในเดือนเมษายน 2491 จอมพล ป.ได้กลับขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง ทำให้เกิดการเผชิญหน้ากันของสองขั้วอำนาจระหว่างกลุ่มอนุรักษ์-กษัตริย์นิยมกับจอมพลป. นายกรัฐมนตรีผู้มาจากคณะราษฎร และผู้นำ “คณะรัฐประหาร”ภายใต้มรดกของระบอบการเมืองที่กลุ่มอนุรักษ์-กษัตริย์นิยมและพรรคประชาธิปัตย์ได้วางไว้ในความสัมพันธ์ทางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญ 2492 อันสะท้อนให้เห็นถึงความไม่สมดุลระหว่างอำนาจของพระมหากษัตริย์กับรัฐบาลและรัฐสภา

1.ปัญหาจากรัฐธรรมนูญ 2492

          การพยายามสถาปนาโครงสร้างและกำหนดกติกาการเมืองโดยกลุ่มอนุรักษ์-กษัตริย์นิยมที่ปรากฎในรัฐธรรมนูญ 2492[1] เกิดขึ้นโดยกลุ่มอนุรักษ์-กษัตริย์นิยมและพรรคประชาธิปัตย์ริเริ่มให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทดแทนรัฐธรรมนูญ 2490 โดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ผู้ร่างส่วนใหญ่เป็นขุนนางในระบอบเก่าและนักกฎหมายอนุรักษ์-กษัตริย์นิยม คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญนี้ มีจำนวน 9 คน คือ เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ พระยาศรีวิสารวาจา พระยาเทพวิทุรพหุลศรุตาบดี พระยาอรรถการียนิพนธ์ หลวงประกอบนิติสาร หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช นายสุวิชช์ พันธเศรษฐ และนายเพียร ราชธรรมนิเทศ

          ทั้งนี้ สาระสำคัญในรัฐธรรมนูญ 2492 มีการบัญญัติกติกาและระบอบการเมืองที่อำนวยประโยชน์ทางการเมืองให้กับกลุ่มอนุรักษ์นิยม-กษัตริย์นิยม รวมทั้ง การเพิ่มพระราชอำนาจให้พระมหากษัตริย์ พร้อมการกีดกัน “คณะรัฐประหาร” ให้ออกไปจาการเมือง ตลอดจนมีการบัญญัติชื่อระบอบการเมืองของไทยว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”(มาตรา 2) ขึ้นเป็นครั้งแรก อีกทั้ง คณะผู้ร่างฯมีวัตถุประสงค์ถวายอำนาจให้เป็น“ส่วนพระองค์โดยแท้”จึงปราฏข้อความในหลายมมาตราที่เพิ่มพระราชอำนาจให้พระมหากษัตริย์ เช่น กำหนดให้การกระทำของพระมหากษัตริย์มีอิสระตามพระราชอัธยาศัย ดังการบัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและแต่งตั้งประธานองคมนตรีและองคมนตรีตามพระราชอัธยาศัยและให้การพ้นตำแหน่งไปตามพระราชอัธยาศัย (มาตรา13,14)[2] ให้ทรงมีอำนาจในการทรงเลือกและแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 100 คน โดยมีเพียงประธานองคมนตรีเป็นผู้สนองพระบรมราชโองการ (มาตรา 82 )[3] อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่ คณะผู้ร่างฯ ต้องการให้วุฒิสภาเป็นตัวแทนพระมหากษัตริย์จึงบัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งอำนาจในการแต่งตั้ง ทำอาจทำให้เกิดข้อถกเถียงถึงอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย ภายใต้หลักการ The King Can Do No Wrong หรือ การกระทำของพระมหากษัตริย์ต้องมีผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการ เนื่องจาก ที่มาของประธานองคมนตรีมิได้รับผิดชอบต่อรัฐสภา แต่กลับมามีอำนาจลงนามสนองพระราชโองการในการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาอันขัดแย้งต่อหลักในการปกครองระบอบประชาธิปไตย เป็นต้น[4]

          นอกจากนี้ ในบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ 2492 นี้อนุญาตให้ วุฒิสภาชุดที่พระมหากษัตริย์แต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้า(2490) ให้สามารถดำรงตำแหน่งต่อมาได้ตามรัฐธรรมนูญใหม่(2492) ทำให้วุฒิสภาชุดเดิมสามารถควบคุมทิศทางการใช้อำนาจของรัฐสภาต่อไปได้ กล่าวโดยสรุป นับแต่รัฐธรรมนูญ ฉบับ 2490 และ 2492 นั้นมีการบัญญัติมาตราที่ให้อำนาจพระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจหลายประการ เช่น การแต่งตั้งอภิรัฐมนตรี ซึ่งต่อมากลายเป็นองคมนตรี อันมาจากการเลือกและแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ตามพระราชอัธยาศัยอย่างอิสระโดยปราศจากการถ่วงดุลจากสถาบันการเมืองอื่น เช่น รัฐบาล และรัฐสภา ตามหลัก The King Can Do No Wrong ทั้งนี้ จึงอาจกล่าวได้ว่า รัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับเป็น “รัฐธรรมนูญกษัตริย์นิยม” เหมือนกัน ต่างแต่เพียงรัฐธรรมนูญฉบับหลัง (2492) จัดรูปแบบของการใช้อำนาจของพระมหากษัตริย์ให้ลงตัวมากขึ้นเท่านั้น

          ด้วยสาระในรัฐธรรมนูญบัญญัติเพิ่มพระราชอำนาจให้กับพระมหากษัตริย์ในทางการเมืองนี้ สมาชิกสภาผู้แทนฯบางท่านได้อภิปรายวิจารณ์ในการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณารับรัฐธรรมนูญครั้งนั้นว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ไม่ใช่ประชาธิปไตยอันแท้จริง แต่มีลัทธิการปกครองแปลกประหลาดแทรกซ่อนอยู่ ลัทธินี้ คือ ลัทธินิยมกษัตริย์”และ “ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เขียนไว้โดยปรารถนาจะเหนี่ยวรั้งพระมหากษัตริย์ เข้ามาพัวพันกับการเมืองมากเกินไป โดยการถวายอำนาจมากกว่าเดิม … ยังงี้ไม่ใช่รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย มันเป็นรัฐธรรมนูญพระมหากษัตริย์อย่างชัดๆทีเดียว ”[5]

          นอกจากนี้ คณะผู้ร่างฯรัฐธรรมนูญฉบับ 2492 ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอนุรักษ์-กษัตริย์นิยมและพรรคประชาธิปัตย์ในการพยายามจำกัดอำนาจของ “คณะรัฐประหาร” ที่ได้เคยร่วมมือในการรัฐประหาร 2490 ออกไปจากการเมือง ด้วยการกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญว่า ห้ามข้าราชการประจำเป็นสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(มาตรา79 ) และ ข้าราชการประจำเป็นรัฐมนตรีมิได้จะเป็น(มาตรา 142) ส่งผลให้นายทหารใน “คณะรัฐประหาร” ถูกกีดกันออกไปจากการเมือง

2.ปัญหาจากที่มาและบทบาทของวุฒิสภา

          ภาพรวมของรัฐธรรมนูญฉบับ 2492 มีแนวโน้สร้างบรรยากาศการเมืองแบบอนุรักษ์นิยม เช่น ให้ความสำคัญกับตำแหน่งทางการเมืองที่ถูกแต่งตั้งด้วยพระราชอำนาจมากกว่าตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เช่น กำหนดให้ประธานวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งเป็นประธานรัฐสภา ซึ่งมีอำนาจเหนือกว่าประธานสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ด้วยการกำหนดให้ประธานสภาผู้แทนฯเป็นเพียงเป็นรองประธานรัฐสภาเท่านั้น(มาตรา 74) ทั้งนี้ ที่มาวุฒิสภานั้นรัฐธรรมนูญกำหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและแต่งตั้ง จำนวน 100 คน และให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา(มาตรา 82) การกำหนดให้วุฒิสภาจากการแต่งตั้งมีอำนาจในการตรวจสอบรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้เหมือนกับสมาชิกสภาผู้แทนที่มาจาการเลือกตั้งของประชาชน (มาตรา 128) การกำหนดให้วุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งสามารถเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติได้(มาตรา 130) ดังนั้น คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นตามหลักการการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ คือ เมื่อวุฒิสภาที่มาจาการแต่งตั้งมีอำนาจตรวจสอบรัฐบาลได้แล้ว ใครหรือองค์กรใดจะตรวจสอบวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งนั้น

          ในขณะที่ในรัฐธรรมนูญฉบับ 2492 มีบทบัญญัติที่มีแนวโน้มจำกัดอำนาจของประชาชน เช่น รัฐธรรมนูญฉบับนี้ กำหนดให้ที่มาของสมาชิกวุฒิสภามาจากการแต่งตั้งอันแตกต่างไปจากที่มาของวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญฉบับ 2489 อีกทั้ง รัฐธรรมนูญ 2492 ยังกำหนดให้ประชาชนที่ต้องการผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 30 ปี (มาตรา 92) ซึ่งหมายความว่าคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่ต้องการเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่สามารถเป็นไปได้ตามรัฐธรรมนูญนี้

          ทั้งนี้ บทบาทของสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ 2492 เปิดโอกาสให้สมาชิกวุฒิสภาจากแต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2490 ให้สามารถดำรงตำแหน่งต่อเนื่องได้ โดยสมาชิกวุฒิสภาชุดดังกล่าวสร้างอุปสรรคในการบริหารของรัฐบาลจอมพล ป. มาก[6]เช่น การตั้งกระทู้ถามรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง และการอภิปรายคัดค้าน ยับยั้งการออกกฎหมายถึง 31 ฉบับจาก 57 ฉบับ[7] นอกจากนี้ วุฒิสภาชุดนี้ขอเปิดอภิปรายทั่วไปภายหลังหลังเหตุการณ์ ”กบฎแมนฮัตตัน” ด้วยการวิจารณ์รัฐบาลอย่างหนัก ซึ่งถือได้ว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เกิดสภาพการณ์ดังกล่าว[8]ต่อมา จอมพล ป.ได้เคยกล่าวตอบโต้วุฒิสภาว่าการเปิดอภิปรายของวุฒิสภาที่โจมตีรัฐบาลทำนองว่า วุฒิสภาทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านต่อรัฐบาล[9]

3.ปัญหาจากการขาดอำนาจในการควบคุมกองทัพ

          ด้วยเหตุที่ รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวห้ามข้าราชการดำรงตำแหน่งทางการเมือง เช่น ห้ามข้าราชการดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (มาตรา 79) ห้ามข้าราชการเป็นรัฐมนตรี (มาตรา 142) ส่งผลให้จอมพล ป.และนายทหารใน “คณะรัฐประหาร” ต้องเผชิญกับทางสองแพร่งในการดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือดำรงตำแหน่งในระบบราชการ เช่น เมื่อลาออกจากข้าราชการมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองทำให้ขาดอำนาจในการควบคุมกองทัพ ด้วยรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ทำให้จอมพล ป. ต้องลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี(2491) แม้พลโท ผิน ชุณหะวัณจะรับแหน่งนี้แทนก็ตาม แต่การกำหนดดังกล่าวส่งผลกระทบทำให้นายกรัฐมนตรีขาดความสามารถในการควบคุมและสั่งการกองทัพ และส่งผลให้ปัญหาการแข่งขันทางการเมืองในภายกองทัพมีผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลมากยิ่งขึ้น เช่น การแข่งขันระหว่างพลโทผินกับพลโทกาจ กาจสงครามในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก และพลตำรวจตรีเผ่า ศรียานนท์กับพลตรีสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในระยะเวลาต่อมา

          กล่าวโดยสรุปแล้วรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว มีบทบัญญัติเพิ่มพระราชอำนาจให้กับพระมหากษัตริย์ในทางการเมือง ให้ความสำคัญกับตำแหน่งที่มาจากการแต่งตั้งมากขึ้น พร้อมกับลดบทบาททางการเมืองของประชาชนที่แสดงผ่านการเลือกตั้งลง ตลอดจนการจำกัดอำนาจของ “คณะรัฐประหาร” ให้ออกไปจากการเมือง

การรัฐประหาร 29 พฤศจิกายน 2494

          ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2494 “คณะบริหารประเทศชั่วคราว” ได้ทำการรัฐประหารล้มรัฐธรรมนูญ 2492 ลง อีกทั้งทำให้รัฐบาลชุดเดิมและทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และ สมาชิกวุฒิสภาสิ้นสุดลง โดย“คณะบริหารประเทศชั่วคราว” ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 ทำให้มีรัฐสภา มีฐานะเป็นสภาเดี่ยว ที่มีเพียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ทั้งนี้  “คณะบริหารประเทศชั่วคราว” ประกอบด้วย

1.พลเอกผิน ชุณหะวัณ

2.พลโท เดช เดชประดิยุทธ์

3.พลโท สฤษดิ์ ธนะรัชต์

4.พลเรือตรี หลวงยุทธศาสตร์โกศล

5.พลเรือตรี หลวงชำนาญอรรถยุทธ

6.พลเรือตรี สุนทร สุนทรนาวิน

7.พลอากาศเอก ฟื้น รณนภากาศ ฤทธาคนี

8.พลอากาศโท หลวงเชิดวุฒากาศ

9.พลอากาศ หลวงปรุงปรีชากาศ[10]

ผลกระทบจากการรัฐประหาร 29 พฤศจิกายน 2494

          การยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2492 โดย “คณะบริหารประเทศชั่วคราว” มีขึ้นก่อนพระมหากษัตริย์ทรงเสด็จนิวัตรพระนครไม่กี่วัน การรัฐประหารครั้งนี้เป็นการยุติบทบาทวุฒิสภาจากการแต่งตั้ง และเทิดให้พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมืองเช่นเดิม โดยจอมพล ป. ได้นำรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 กลับมาใช้อีกครั้งเป็นช่วงเวลาสั้นๆ[11]

          โดยเปรียบเทียบแล้ว รัฐธรรมนูญฉบับ 2475 นี้จำกัดอำนาจของพระมหากษัตริย์มากกว่า ฉบับ 2490 , 2492 เช่น การไม่มีคณะองคมนตรีที่พระองค์ทรงสามารถแต่งตั้งได้ตามพระราชอัธยาศัย การไม่มีวุฒิสภาที่ให้อำนาจพระมหากษัตริย์เลือกและแต่งตั้งด้วยพระองค์เองดังเช่น “รัฐธรรมนูญกษัตริย์นิยม” 2 ฉบับก่อน ดังนั้น อำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ลดลงเป็นเหตุให้เกิดความยากในการลงพระนามของพระมหากษัตริย์ส่งผลให้กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร(พระองค์เจ้าธานีนิวัต)ในฐานะผู้สำเร็จราชการฯขณะนั้น ไม่ยอมลงนามประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของ”คณะบริหารประเทศชั่วคราว” จวบกระทั่ง[12] เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงนิวัตรประเทศไทยแล้ว พระองค์ได้ทรงลงพระนามประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ กระนั้นก็ดี การรัฐประหารล้มรัฐธรรมนูญ 2492 สร้างความไม่พอพระทัยให้พระมหากษัตริย์มาก ทั้งนี้ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากรได้บันทึกไว้ดังนี้ ว่า “ ท่านทรงกริ้วมาก ทรงตำหนิจอมพล ป.อย่างแรงหลายคำ ท่านว่าฉันไม่พอใจที่คุณหลวงทำเช่นนี้ ”[13] ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า การรัฐประหาร 2494 ที่เกิดขึ้นสร้างความไม่พอใจให้กับพระมหากษัตริย์และกลุ่มอนุรักษ์-กษัตริย์นิยมมาก เนื่องจากเป็นการหยุดระบอบการเมืองที่พวกเขาได้เพียรพยายามสร้างขึ้นต้องยุติลง

          ทั้งนี้ “คณะบริหารประเทศชั่วคราว” ได้ประกาศนำรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 กลับใช้ใหม่ในทางปฏิบัติ ในวันที่ 29 พฤศจิกายน นั้นเอง จอมพล ป.ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราวพร้อมคณะรัฐมนตรีชั่วครามจำนวน 17 คน ต่อมา วันที่ 30 พฤศจิกายน “คณะบริหารประเทศชั่วคราว” ได้แต่งตั้งสมาชิกสภาประเภทที่สองจำนวน 123 คน จากนั้น วันที่ 1 ธันวาคมมีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร และได้มีการลงมติเลือกจอมพล ป. เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง[14]

           ต่อมา จอมพล ป.และคณะรัฐประหารได้เข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ และทรงเจรจาต่อรองให้มีร่างรัฐธรรมนูญใหม่แทนการยอมใช้รัฐธรรมนูญฉบับที่จอมพล ป.เสนอมาแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยทรงมีพระราชประสงค์ให้นำแนวคิดในรัฐธรรมนูญ 2492 ที่ถูกล้มเลิกไปมาประกอบการร่างด้วย[15] และทรงแจ้งพระราชประสงค์ให้ตั้งวุฒิสภาอีกครั้ง โดยทรงให้เหตุผลว่า “การมีแต่สภาเดียวโดยมีสมาชิกประเภทที่ 1 อย่างเดียว มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ย่อมไม่มีหลักประกันอันเพียงพอ จึ่งควรให้มีสภาที่ 2 วุฒิสภาที่มาจากการเลือกและแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ขึ้น”[16] อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญฉบับ 2495 ที่ปรากฏต่อมาในภายหลังนั้น มีคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยสมาชิก 8 คน คือ เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ พระยาศรีวิสารวาจา พระยาเทพวิทุร หลวงประกอบนิติสาร นายเพียร ราชธรรมนิเทศ พระยาอรรถการีย์นิพนธ์ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช นายสุวิชช์ พันธ์เศรษฐและนายหยุด แสงอุทัย[17] โดยรัฐบาลยินยอมเพียงสาระบางประการใน รัฐธรรมนูญ 2492เท่านั้นที่ยังคงอยู่ต่อไป เช่น การให้คงมีคณะองคมนตรีที่ทรงตั้งตามพระราชอัธยาศัยต่อไป แต่ไม่ปรากฏข้อความให้ทรงสามารถเลือกและแต่งตั้งวุฒิสภาด้วยพระองค์เองดังเดิมอีก ดังนั้น รัฐธรรมนูญฉบับ 2495 นี้เป็นการจำกัดอำนาจพระมหากษัตริย์ไว้แต่เพียงกิจการส่วนพระองค์เท่านั้น แต่ไม่อนุญาตให้ทรงใช้พระราชอำนาจทางการเมืองอีก ด้วยเหตุนี้ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ทรงบันทึกความรู้สึกที่สะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจของกลุ่มอนุรักษ์-กษัตริย์นิยมต่อการจำกัดอำนาจของพระมหากษัตริย์ของรัฐบาลในครั้งนี้ [18]

อ้างอิง

     1. ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 66 ตอนที่ 17 วันที่ 23 มีนาคม พุทธศักราช 2492 หรือ เวปไซด์ของ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา www.krisdika.go.th
     2. ↑ มุกดา เอนกลาภากิจ “รัฐธรรมนูญและสถาบันทางการเมือง : ศึกษารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492” วิทยานิพนธ์นิติศาสตร์มหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2542 , หน้า 78-79
     3. ↑ มุกดา เอนกลาภากิจ “ รัฐธรรมนูญและสถาบันทางการเมือง : ศึกษารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492” วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , 2542) , หน้า 219, 221.
     4. ↑ ดิเรก ชัยนาม ,กฎหมายรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งพิสดาร : คำสอนชั้นปริญญาโท พุทธศักราช 2491-2492. (พระนคร: มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง,2493),หน้า 31-32. และ ไพโรจน์ ชัยนาม , คำอธิบายกฎหมายรัฐธรรมนูญเปรียบเทียบ (โดยสังเขป) เล่ม 2 กฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศไทย ตอนที่ 1 ,(พระนคร : โรงพิมพ์อักษรนิติ ,2495), หน้า 131.
     5. ↑ คำอภิปรายเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2492 ของ นายชื่น ระวีวรรณ และนายเลียง ไชยกาล ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนฯในขณะนั้น ( ธงชัย วินิจจะกูล , ข้ามให้พ้นประชาธิปไตยแบบหลัง 14 ตุลาคม , ( กรุงเทพฯ : มูลนิธิ 14 ตุลา อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา , 2548 ), หน้า 21.
     6. ↑ พลเรือตรีหลวงสังวรยุทธกิจ ได้บันทึกถึงเสียงตำหนิจากประชาชนต่อวุฒิสภาชุดนี้ว่า เป็น “สภากรุ๋งกริ๋ง” “สภาคนแก่” “สภาคณะเจ้า” โปรดดู พลเรือตรีสังวรยุทธกิจ , “เกิดมาแล้วต้องเป็นไปตามกรรม คือ กฎแห่งธรรมชาติ” อนุสรณ์ งานพระราชทานเพลิงศพ พลเรือตรี หลวง สังวรณ์ยุทธกิจ (ณ เมรุ วัด ธาตุทอง วันที่ 29 ธันวาคม 2516), กรุงเทพฯ:ชวนพิมพ์, หน้า 161
     7. ↑ กริช สืบสนธิ์ , “บทบาทและพฤติกรรมของวุฒิสภาไทยสมัยต่างๆ”, วิทยานิพนธ์รัฐศาสตร์มหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2515, หน้า 140-151.
     8. ↑ สุชิน ตันติกุล , “ผลสะท้อนทางการเมืองของรัฐประหาร พ.ศ.2490”, วิทยานิพนธ์รัฐศาสตร์มหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2517,หน้า 157.
     9. ↑ สุชิน ตันติกุล , “ผลสะท้อนทางการเมืองของรัฐประหาร พ.ศ.2490”, วิทยานิพนธ์รัฐศาสตร์มหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2517,หน้า 157.
     10. ↑ ราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่มที่ 68 ตอนที่ 71 วันที่ 30 พฤศจิกายน 2494 , หน้า 1
     11. ↑ จอมพล ป. ได้นำรัฐธรรมนูญฉบับ 2475 ประกาศใช้ช่วงวันที่ 6 ธันวาคม 2494 -7 มีนาคม 2495 ในระหว่างดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2495
     12. ↑ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ,เรื่อง กรมพิทยาลาภพฤฒิยากร ตามทัศนะของ ส.ศิวรักษ์ . กรุงเทพฯ : มูลนิธิเสถียรโกเศศ- นาคะประทีป , 2528,หน้า16.
     13. ↑ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ,เรื่อง กรมพิทยาลาภพฤฒิยากร ตามทัศนะของ ส.ศิวรักษ์ . กรุงเทพฯ : มูลนิธิเสถียรโกเศศ- นาคะประทีป , 2528 ,หน้า16.
     14. ↑ สำนักงานเลขาธิการสภาผูแทนราษฎร , สมุดภาพสมาชิกรัฐสภา พ.ศ.2475-2501 , พระนคร : บริษัท ชุมนุมช่าง จำกัด , 2503,หน้า 37-39
     15. ↑ “บันทึกพระราชวิจารณ์ เรื่อง ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495 , 17 มกราคม 2495” , หยุด แสงอุทัย , คำอธิบายรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2475-2495 , (พระนคร : ชูสิน , 2495), หน้า 259.
     16. ↑ “บันทึกพระราชวิจารณ์ เรื่อง ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495 ,17 มกราคม 2495 ”, หยุด , อ้างแล้ว , หน้า 258.
     17. ↑ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกาศใช้วันที่ 8 มีนาคม 2495
     18. ↑ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ,เรื่อง กรมพิทยาลาภพฤฒิยากร ตามทัศนะของ ส.ศิวรักษ์ . กรุงเทพฯ : มูลนิธิเสถียรโกเศศ- นาคะประทีป , 2528,หน้า 37.

หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ

มุกดา เอนกลาภากิจ , (2542) “ รัฐธรรมนูญและสถาบันทางการเมือง : ศึกษารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492” วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

เสน่ห์ จามริก (2549) การเมืองไทยกับพัฒนาการรัฐธรรมนูญ , กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.

นรนิติ เศรษฐบุตร (2550) รัฐธรรมนูญกับการเมืองไทย , กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

บรรณานุกรม

กริช สืบสนธิ์ (2515) “บทบาทและพฤติกรรมของวุฒิสภาไทยสมัยต่างๆ”, วิทยานิพนธ์รัฐศาสตร์มหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,

ธงชัย วินิจจะกูล (2548 ) ข้ามให้พ้นประชาธิปไตยแบบหลัง 14 ตุลาคม , กรุงเทพฯ : มูลนิธิ 14 ตุลา อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา

ภูมิพลอดุลยเดช , พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ,(2495) “บันทึกพระราชวิจารณ์ เรื่อง ร่างฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไข เพิ่มเติม พ.ศ. 2495 ,17 มกราคม 2495” , หยุด แสงอุทัย , คำอธิบายรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2475-2495.พระนคร : โรงพิมพ์ชูสิน.

ณัฐพล ใจจริง (2551) “ คว่ำปฏิวัติ-โค่นคณะราษฎร : การก่อตัวของ ‘ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข’ ” , ฟ้าเดียวกัน ปีที่ 6 ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม หน้า104-146.

สุชิน ตันติกุล (2517) “ผลสะท้อนทางการเมืองของรัฐประหาร พ.ศ.2490 ”, วิทยานิพนธ์รัฐศาสตร์มหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

สุลักษณ์ ศิวรักษ์ (2528) เรื่อง กรมพิทยาลาภพฤฒิยากร ตามทัศนะของส.ศิวรักษ์ . กรุงเทพฯ : มูลนิธิเสถียรโกเศศ- นาคะประทีป.

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (2503) สมุดภาพสมาชิกรัฐสภา พ.ศ.2475-2501 , พระนคร : บริษัท ชุมนุมช่าง จำกัด .

หยุด แสงอุทัย (2495) คำอธิบายรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2475-95 พระนคร : โรงพิมพ์ชูสิน.

อนันต์ พิบูลสงคราม , พลตรี (2540) จอมพล ป. พิบูลสงคราม 2 เล่ม . กรุงเทพฯ : ตระกูลพิบูลสงคราม.

อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พลเรือตรี หลวง สังวรณ์ยุทธกิจ (ณ เมรุ วัด ธาตุทอง วันที่ 29 ธันวาคม 2516),กรุงเทพฯ:ชวนพิมพ์.

Handley , Paul (2008 ) “Princes , Politicians , Bureaucrats , Generals : The Evolution of the Privy Council under the Constitutional Monarchy” , A paper for 10th International Conference on Thai Studies , Thammasat University ,Bangkok , January 9-11

Kobkua Suwannathat-Pian,(1995) Thailand’s Durable Premier : Phibun through Three Decades 1932 – 1957. Kuala Lumpur : Oxford University Press .

บทความนี้ได้มีการปรับปรงแก้ไขเนื้อหา และการอ้างอิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้มีการอ่าน ตรวจสอบแก้ไขบทความ โดยผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2564 

ดูเพิ่มเติม