รัฐธรรมนูญ-การปฏิรูปการเมืองและการบริหาร

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง โดย ศาสตราจารย์ ดร.ลิขิต ธีรเวคิน


วารสารสถาบันพระปกเกล้า ปี 2546 เล่มที่ 1


ส่วนที่ 1 การปฏิรูปการเมืองโดยรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

การปฏิรูปการเมืองเพื่อการพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งเริ่มตั้งแต่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ปี พ.ศ.2540 ได้มีกระบวนการปฏิบัติอย่างเต็มที่มาระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหลายส่วนอาจจะประเมินได้ว่าประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวตาม เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่อย่างไร

ความพยายามของการปฏิรูปการเมืองเพื่อพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย เกิดจาก ข้อเท็จจริงที่ว่าระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่สังคมไทยพยายามพัฒนาขึ้นนั้นมีปัญหาหลักๆ 5 ประการ อันนำไปสู่ความจำเป็นที่ต้องทำการแก้ไข เนื่องจากทางเลือกที่จะใช้ระบอบการเมืองอื่นๆ เช่น การปฏิวัติรัฐประหาร และการใช้ระบบการเมืองสังคมนิยมเป็นเรื่องที่ไม่สามารถกระทำได้ในกรณีการปฏิวัติรัฐประหารเป็นเรื่องการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาสังคมข่าวสารข้อมูล การพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย การเคารพสิทธิมนุษยชน การรักษาสภาพแวดล้อม การค้าเสรี และการเคารพสิทธิทรัพย์สินทางปัญญา การปกครองบริหารโดยใช้หลักธรรมรัฐ ในส่วนของประเทศสังคมนิยมนั้นจีนและเวียดนามก็กลายพันธุ์ไปจากเดิมเนื่องจากการนำเศรษฐกิจทุนนิยมมาปรับเปลี่ยน ผสมผสานกับการเมืองแบบสังคมนิยม ส่วนลาวก็ต้องถือว่าเป็นระบบสังคมนิยมแบบพิเศษเพราะยังคงไว้ซึ่งลักษณะของจารีตนิยมอยู่มาก เหลือเพียงเกาหลีเหนือและคิวบาซึ่งคงถือเป็นแบบอย่างไม่ได้

ปัญหา 5 ประการที่นำไปสู่การเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ได้แก่ 1) การเลือกตั้งที่ไม่บริสุทธิ์และเที่ยงธรรมเนื่องจากการใช้เงินซื้อเสียง 2) การแย่งชิงกันดำรงตำแหน่งบริหารในกระทรวงต่างๆ 3) การแทรกแซงการบริหารงานข้าราชการประจำ 4) การฉ้อราษฎร์บังหลวง และ 5) การเสนอโครงการใหญ่ๆเพื่อผลประโยชน์จากการได้ค่าตอบแทน ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวสะท้อนถึงธุรกิจการเมือง การเมืองกลายเป็นส่วนหนึ่งของการประกอบธุรกิจ การใช้เงินซื้อเสียง การเข้าดำรงตำแหน่งการเมืองที่มีอำนาจ การหาผลประโยชน์จากตำแหน่งต่างๆ ด้วยการละเมิดกฎหมาย กฎระเบียบ คือปัญหาหลักที่จำเป็นต้องมีการปฏิรูปการเมือง กล่าวอีกนัยหนึ่ง กระบวนการธุรกิจการเมืองนำไปสู่กระบวนการ ธนาธิปไตยและโจราธิปไตยตามลำดับ

รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนซึ่งมุ่งเน้นในการหามาตรการที่จะได้คนดีมาดำรงตำแหน่งบริหารระดับสูง และทำหน้าที่ออกกฎหมายในสภานิติบัญญัติ ขณะเดียวกันก็ต้องป้องกันการละเมิด การรังแกประชาชน และเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง หรือที่เรียกว่าการเมืองภาคประชาชน การร่างรัฐธรรมนูญของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) จึงวางอยู่บนกรอบ 4 กรอบ

กรอบที่ 1 ได้แก่ สิทธิเสรีภาพของประชาชน กล่าวได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีการประกันสิทธิ เสรีภาพขั้นมูลฐานของประชาชนอย่างครอบคลุม มีการพิทักษ์สิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ความเสมอภาคของมนุษย์ และสิทธิทางการเมืองต่างๆ เช่น สิทธิในการแสดงความคิดเห็น สิทธิในการชุมนุม ฯลฯ

กรอบที่ 2 ได้แก่ การเข้าสู่ตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เป็นครั้งแรก 200 คน และมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร (ส.ส.) แบบเขตเดียวคนเดียว 400 คน และแบบบัญชีรายชื่อ 100 คน ที่สำคัญตัวนายกรัฐมนตรีต้องมาจากการลงคะแนนเสียงในสภาโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 500 คน การลงคะแนนเสียงต้องกระทำโดยเปิดเผย ซึ่งทำให้ประเพณีที่ให้พรรคที่ได้เสียงมากที่สุดจัดตั้งรัฐบาลไม่เป็นหลักปฏิบัติอีกต่อไป นอกจากนั้นกฎหมายพรรคการเมืองได้ทำให้ตั้งพรรคการเมืองง่ายขึ้น และได้มีคณะกรรมการเลือกตั้งทำหน้าที่ในการบริหารการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์และเที่ยงธรรม [1]


อ้างอิง

  1. ดู รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี 2540 มาตรา 98, 99, 121 และมาตรา 202