รัชกาลที่ 9 กับเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ในสายตาเอกอัครรราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย
เรียบเรียง : ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร
รัชกาลที่ 9 กับเหตุการณ์ 14 ตุลาฯในสายตาเอกอัครรราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย [1]
ในบทความของ เพจ ทะลุฟ้า เรื่อง “เปิดบันทึกทูตอังกฤษ: การแทรกแซงของสถาบันกษัตริย์ที่มีต่อเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516” โพสต์วันที่ 14 ตุลาคม 2564 ได้ลงข้อความว่า
“ในช่วงหลังจากเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลา 2516 Sir Arthur James de la mare (เซอร์ อาร์เธอร์ เจมส์ เดอ ลาแมร์) เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำกรุงเทพฯ ขณะนั้นได้มีการส่ง “บันทึกลับ” ที่เกี่ยวกับการปฏิวัติในเดือนตุลาคมไปยังกรุงลอนดอนเพื่อเล่าถึงเหตุการณ์ที่น่าประหลาดใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนั้น
โดยเอกสารนี้ปัจจุบันไม่ได้เป็นเอกสารลับอีกต่อไปและสามารถเผยแพร่สู่สาธารณะ โดยในบันทึกนั้น เดอ ลาแมร์ได้ตั้งข้อประหลาดใจไว้ 2 อย่างเกี่ยวกับการล่มสลายที่ง่ายดายเกินไปของรัฐบาลถนอม และการแทรกแซงของพระมหากษัตริย์ในการยุติความรุนแรง...........
.......ในประเด็นที่เดอ ลาแมร์ประหลาดใจประเด็นแรกคือ การล่มสลายที่ง่ายดายเกินไปของรัฐบาลถนอม และเข้าก็ได้ตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะเป็นเพราะสถาบันกษัตริย์นั้นได้คาดการณ์แล้วว่า รัฐบาลจอมพลถนอมนั้นจะไปไม่รอด ก็เลยเลือกที่จะเข้าข้างกลุ่มนักศึกษาเพื่อรักษาฐานเสียงที่มีมากกว่าเพื่อความสร้างความดีความชอบต่อประชาชน...”
แต่หากไปดูเอกสารรายงานดังกล่าวของ เดอ ลาแมร์ จะไม่พบข้อความที่ว่า “สถาบันกษัตริย์นั้นได้คาดการณ์แล้วว่า รัฐบาลจอมพลถนอมนั้นจะไปไม่รอด ก็เลยเลือกที่จะเข้าข้างกลุ่มนักศึกษาเพื่อรักษาฐานเสียงที่มีมากกว่าเพื่อความสร้างความดีความชอบต่อประชาชน...”
แต่เดอ ลาแมร์ ประหลาดใจจริงๆกับการยุติความรุนแรงลงได้อย่างฉับพลัน โดยเขาได้เขียนไว้ในหัวข้อที่ 1 ว่า
“การล่มสลายลงอย่างง่ายดายของระบอบ (คณาธิปไตยของทหาร) เกิดขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ รวมทั้งการยุติการความรุนแรงอย่างน่าประหลาด” โดย เดอ ลาแมร์ เขียนว่า สาเหตุที่บ้านเมืองสงบลงได้อย่างรุนแรงเป็นเพราะ “จากการทราบข่าวว่า จอมพลถนอม-ประภาส และพันเอกณรงค์ ได้ออกไปจากประเทศ และ การลงมาอยู่ข้างนักศึกษาและประชาชนของพระมหากษัตริย์เป็นปัจจัยตัดสินสำคัญ”
และเดอ ลาแมร์ยังได้กล่าวไว้อีกในหัวข้อที่ 3 ว่า “อะไรที่เป็นสาเหตุให้ยุติความรุนแรงอย่างฉับพลัน ? สาเหตุได้แก่ ข่าวที่ออกมาว่า บุคคลที่เป็นที่รังเกียจทั้งสามได้ออกนอกประเทศไปแล้ว และ วิถีแบบไทยที่น่าพิศวง และเหนือสิ่งอื่นใด คือ การลงมาของพระมหากษัตริย์”
และเขาได้ขยายความต่อมาในหัวข้อที่ 6 ว่า “ทำไมการจลาจลในจำนวนผู้คนมหาศาล มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นจนกระทั่งตอนเย็นของวันที่ 15 ตุลาคม กลับยุติลงด้วยความสงบอย่างฉับพลันหลังสองชั่วโมงต่อมา ? แน่นอนว่า การทราบข่าวที่ประกาศว่า คนทั้งสามกำลังออกจากประเทศมีส่วนให้ทุกอย่างสงบลง และปัจจัยของวิถีแบบไทยที่น่าสนเท่ห์ เพราะในขณะที่คนไทยถูกปลุกเร้าจนมีแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรงเหมือนอย่างคนชาติใดๆก็ตาม พวกเขารู้สึกภายในใจว่า มันละเมิดความเป็นไทยและความเป็นพุทธ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้าพเจ้าคิดว่า เราต้องยอมรับพระมหิทธานุภาพ [2] ของพระมหากษัตริย์ที่ทำให้ทุกอย่างคลี่คลายลงได้อย่างคาดไม่ถึง”
ส่วนที่ว่า “ในหลวงรัชกาลที่เก้าคาดการณ์นั้น” เดอ ลาแมร์ ได้กล่าวไว้ว่า “จริงๆแล้ว บุคคลเดียวที่ข้าพเจ้ารู้ ที่คาดการณ์ล่วงหน้าถึงความรุนแรงของสถานการณ์คือ พระมหากษัตริย์ เมื่อ มิสเตอร์ Royle เข้าเฝ้าพระองค์ในวันที่ 10 ตุลาคม การทำกิจกรรมทั้งหลายทั้งปวงของนักศึกษายังไม่มีความรุนแรงอะไรและยังสงบสันติ แต่พระองค์ทรงตรัสว่า พระองค์ทรงวิตกอย่างยิ่งว่าจะเกิดการนองเลือด พระองค์ทรงวิจารณ์รัฐบาลอย่างหนักที่ไปจับกุมตัวสิบสองนักศึกษา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยเหตุผลที่ใช้ในการจับกุมทั้งตัวพระองค์เอง ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการรัฐธรรมนูญ และนักศึกษามีสิทธิ์เต็มที่ในการชุมนุมเรียกร้องรัฐธรรมนูญอย่างสงบสันติ”
จะเห็นได้ว่า เพจ “ทะลุฟ้า” นำบทความดังกล่าวของ BBC Thai มา ตีความและใส่ข้อความของตัวเองผสมลงไป ทำให้คนอ่านอาจเข้าใจไปว่าเป็นคำกล่าวของ เดอ ลาแมร์
ในเอกสารรายงานของ เดอ ลาแมร์ มีข้อความสำคัญดังต่อไปนี้
ข้อสรุป: ระบอบคณาธิปไตยทหารของประเทศไทย ดำรงอยู่ต่อเนื่องมาเป็นเวลา 15 ปี ได้สลายลงในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2516 สาเหตุเฉพาะหน้าคือ การชุมนุมประท้วงของนักศึกษาที่นำไปสู่การนองเลือด และมีความไม่พอใจในวงกว้างกับระบอบดังกล่าวจากการคอร์รัปชั่นและไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ แม้กระนั้นก็ตาม การสลายลงอย่างง่ายดายของระบอบเกิดขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ รวมทั้งการยุติการความรุนแรงอย่างน่าแปลก เมื่อทราบว่า จอมพลถนอม-ประภาส และพันเอกณรงค์ ได้ออกไปจากประเทศ การลงมาอยู่ข้างนักศึกษาและประชาชนของกษัตริย์เป็นตัวชี้ขาด
2. มีพวกคอมมิวนิสต์เกี่ยวข้องหรือไม่ ? ดูเหมือนว่า ไม่มีโดยตรง แต่มีผู้ปลุกระดมมืออาชีพเข้ามา
3. อะไรที่เป็นสาเหตุให้ยุติความรุนแรงอย่างฉับพลัน ? คือ ข่าวที่ว่า บุคคลที่เป็นที่รังเกียจทั้งสามได้ออกนอกประเทศไปแล้ว และ วิถีแบบไทยที่น่าสนใจ และเหนือสิ่งอื่นใด คือ การลงมาของกษัตริย์
4. ณรงค์จะพยายามกลับเข้ามาไหม ? แม้ว่า เขาจะไม่พยายามกลับมา แต่สถานการณ์ก็ยังคมเต็มไปด้วยอันตราย รัฐบาลพลเรือนชุดใหม่ยังไม่ได้แสดงสัญญาณมากพอว่า มีความเข้าใจถึงความฉุกเฉินของสถานการณ์ การเลือกตั้งที่สัญญาไว้อาจจะนำนักการเมืองคอร์รัปชั่นจำนวนมากกลับมา
5. สถานะของกษัตริย์ก็อยู่ในความยุ่งยากด้วย เพราะพระองค์ไม่อยู่เหนือการเมืองอีกต่อไป และจะต้องถูกโทษ หากเกิดสิ่งผิดพลาดขึ้น His own scruples militate against him.
6. ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทันทีมากนักในนโยบายต่างประเทศ รัฐบาลปัจจุบันน่าจะไม่เหวี่ยงไปตามแรงกดดันจากม็อบ แต่สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น เมื่อรัฐบาลใหม่มีอำนาจหลังจากการเลือกตั้ง เป็นสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้
เรียน,
วันที่ 14 ตุลาคม รัฐบาลจอมพลถนอมได้ลาออก และกษัตริย์ได้แต่งตั้ง ดร. สัญญา ธรรมศักดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้จัดตั้งรัฐบาลขึ้น รายละเอียดของคณะรัฐมนตรีใหม่อยู่ในโทรเลขของข้าพเจ้า หมายเลข 469 คือ ลูกชาย ถนอมและเป็นลูกเขยประภาส ได้ออกจากประเทศพร้อมกับคนในครอบครัว ประภาสและณรงค์ไต้หวัน และถนอมไปบอสตัน แมสซาชูเสท
2. เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดว่าจะนำมาสู่จุดนี้ เริ่มจากก่อนหน้านี้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ เมื่อนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เริ่มการชุมนุมเรียกร้องอย่างสันติ ซึ่งต่อมา มีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอื่นๆ โรงเรียนอาชีวะและโรงเรียนพาณิชย์เข้าร่วม สาเหตุเฉพาะหน้าของการชุมนุมคือ การจับกุมนักศึกษาประมาณสิบกว่าคน ที่เริ่มต้นถูกกล่าวหาว่า ยุยงปลุกปั่นผิดกฎหมายในการเร่งรัดให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ การจับกุมนักศึกษาเหล่านั้นตามข้อกล่าวหานั้นถือเป็นความผิดพลาดทางการเมืองครั้งใหญ่ เพราะความเห็นของสาธารณะสนับสนุนข้อเรียกร้องของนักศึกษาอย่างท่วมท้น และเชื่อว่า รัฐบาลและโดยเฉพาะจอมพลประภาสจงใจถ่วงเวลาการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ที่พวกเขาเคยให้สัญญาอย่างมั่นเหมาะ แต่ดูแล้วจะไม่มีวี่แววจะเสร็จ เมื่อรัฐบาลมารู้เมื่อสายไปแล้วว่า ตัดสินใจผิด และได้ยกระดับโดยอ้างว่า พบแผนล้มรัฐบาลด้วยกำลัง ที่พวกเขาโยงกับผู้นำนักศึกษา ยิ่งส่งผลให้นักศึกษาและประชาชนแปลกแยกจากรัฐบาลยิ่งขึ้น และไม่ยอมรับรัฐบาล มักจะมีคนฉลาดทีหลังเหตุการณ์เสมอ ที่มักจะบอกว่า เหตุการณ์นี้จะต้องเกิดขึ้น แต่คนไทยที่ข้าพเจ้าติดต่อด้วยยอมรับว่า พวกเขาตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งการประท้วงที่เกิดขึ้นเอง และการโค่นล้มระบอบที่เคยมีอำนาจมากลงไปได้อย่างค่อนข้างง่ายดาย จริงๆแล้ว บุคคลเดียวที่ข้าพเจ้ารู้ ที่คาดการณ์ล่วงหน้าถึงความรุนแรงของสถานการณ์คือ พระมหากษัตริย์ เมื่อ มิสเตอร์ Royle เข้าเฝ้าพระองค์ในวันที่ 10 ตุลาคม การทำกิจกรรมของนักศึกษายังไม่รุนแรงอะไรและยังสงบสันติทั้งหมด แต่พระองค์ทรงตรัสว่า พระองค์ทรงวิตกอย่างยิ่งว่าจะเกิดการนองเลือด พระองค์ทรงวิจารณ์รัฐบาลอย่างหนักที่ไปจับกุมตัวสิบสองนักศึกษา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยเหตุผลที่ใช้ในการจับกุม ทั้งตัวพระองค์เอง และประชาชนส่วนใหญ่ต้องการรัฐธรรมนูญ และนักศึกษามีสิทธิ์เต็มที่ในการชุมนุมเรียกร้องรัฐธรรมนูญอย่างสงบสันติ พระองค์เชื่อว่า อย่างไรก็ตาม มีกองกำลังต่อต้านรัฐบาลที่ต้องการให้เกิดการใช้กำลังความรุนแรง และพระองค์ทรงวิตกว่า พวกคนเหล่านั้นตั้งใจจะใช้นักศึกษาเป็นเครื่องมือเพื่อทำให้เกิดการใช้กำลังความรุนแรงขึ้น พระองค์ทรงกล่าวชัดเจนว่า กองกำลังต่อต้านรัฐบาลที่พระองค์อ้างถึงนี้คือพวกคอมมิวนิสต์
5. มีพวกคอมมิวนิสต์เกี่ยวข้องไหม ? คนไทยที่เชี่ยวชาญเรื่องพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศยังคงยืนยันว่า ไม่มีหลักฐานชัดเจน และบางคนอ้างว่า มันเหนือความสามารถของพรรคคอมมิวนิสต์ที่จะควบคุมการชุมนุมในลักษณะนี้ และยังกล่าวอ้างต่อไปอีกว่า พรรคคอมมิวนิสต์ยังไม่สนใจที่จะหาทางล้มรัฐบาล เพราะแม้ว่ามันจะมีความไม่พอใจอย่างมากในประเทศ แต่มันยังไม่ถึงระดับของความหมดหวังที่เพียงพอที่จะให้มีการปฏิวัติของฝ่ายซ้าย ข้าพเจ้าคิดว่า เหตุผลนี้มีน้ำหนัก นั่นคือ ความพยายามอย่างเปิดเผยและเป็นที่ยอมรับที่จะจัดตั้งระบอบคอมมิวนิสต์จะได้รับการสนับสนุนน้อยในหมู่ประชาชนทั่วไป แต่มันก็ไม่ใช่จะทิ้งทฤษฎีที่ว่า มันมีผู้ปลุกปั่นคอมมิวนิสต์ที่กระตุ้นนักศึกษาอยู่ มีข่าวลือว่า พวกคอมมิวนิสต์ตั้งใจที่จะไม่ใช่กำลังเต็มที่ตั้งแต่ต้น แต่รอคอยให้ความสับสนไร้ระเบียบเกิดถึงจุดที่มากกว่านี้ แต่สถานการณ์ถูกชะงักลงอย่างไม่ได้เตรียมตัวเมื่อความรุนแรงได้ยุติลงอย่างฉับพลันลงในเย็นวันที่ 15 ตุลา ---- กล่าวได้ว่ายุติลงอย่างน่าอัศจรรย์--- มีการอ้างหลักฐานว่า ในคืนนั้น กลุ่มปลุกปั่นมืออาชีพได้เดินทางจากต่างจังหวัดมาถึงกรุงเทพ ตั้งใจที่จะปลุกระดมกระตุ้นให้นักศึกษาไปสู่ความรุนแรงมากขึ้นต่อไป แต่เมื่อพวกเขามาถึงที่ นักศึกษากำลังเดินทางกลับบ้านอย่างสงบสันติในรถเมล์ที่จัดให้โดยเพื่อนบ้านข้าพเจ้า เจ้าของรถเมล์นายเลิศ
6. ทำไมการจลาจลในจำนวนผู้คนมหาศาล มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นจนกระทั่งตอนเย็นของวันที่ 15 ตุลาคม กลับยุติลงด้วยความสงบอย่างฉับพลันหลังจากสองชั่วโมงต่อมา ? แน่นอนว่า เมื่อมีข่าวประกาศว่า คนทั้งสามกำลังออกจากประเทศมีส่วนให้ทุกอย่างสงบลง ปัจจัยของวิถีแบบไทยที่น่าพิศวงงงงวย เพราะในขณะที่คนไทยถูกปลุกเร้าจนมีแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรงเหมือนอย่างคนชาติใดๆก็ตาม พวกเขามีรับรู้ภายในใจว่า มันละเมิดความเป็นไทยและความเป็นพุทธ และรู้สึกละอาย และส่วนหนึ่งของความรู้สึกละอายนี้ที่ทำให้ผู้นำนักศึกษาจำนวนหนึ่งไปบวช แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้าพเจ้าคิดว่า เราต้องยอมรับพระราชอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของพระมหากษัตริย์ที่ทำให้จบลงอย่างพิเศษนี้ มันคงมีคนไทยน้อยคนมากที่ตั้งใจต่อต้านเจตน์จำนงของพระมหากษัตริย์ และเจตน์จำนงของพระองค์เป็นที่รับรู้ได้ก่อนที่จะแสดงออกมาให้เห็นชัดเจนเสียอีก นั่นคือ เพื่อนบ้านของข้าพเจ้ากับลูกน้องพนักงานได้เตรียมอาหารกล่องนับพัน ๆส่งไปช่วยนักศึกษาที่กำลังประท้วง และส่งรถเมล์จำนวนมากที่เธอมีอยู่ไปรับส่งนักศึกษากลับบ้าน
10. “…… จุดยืนของสถาบันพระมหากษัตริย์ ข้าพเจ้า (เซอร์ อาเธอร์ เดอ ลาแมร์) ได้กล่าวอยู่บ่อยครั้งว่า พระองค์ทรงตระหนักอย่างยิ่งถึงความต้องการของประเทศและทรงมีพระเกียรติยศและพระบารมีที่จะใช้ความเป็นผู้นำในสถานการณ์ที่พระองค์ทรงต้องทรงทุกข์ทรมานทางมโนสำนึกที่ห้ามไม่ให้พระองค์ทรงแสดงบทบาทใดๆ นอกเหนือจากกรอบของสถานะทางรัฐธรรมนูญของพระองค์ แต่ความจริงก็คือ เมื่อพระองค์ถูกท้าทายด้วยเหตุการณ์กลางเดือนตุลาคม พระองค์ได้ทรงต้องใช้ความพยายามอย่างมากและทรงสามารถรับมือกับภาวะที่อันตรายฉุกเฉินได้ และพระองค์สมควรที่จะได้รับการยกย่องในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำลงไป” [3]
และ เดอ ลาแมร์ได้ต่อท้ายด้วยข้อความในภาษาฝรั่งเศสว่า ‘Faut-il opter ? Je suis peuple’”
เดอ ลาแมร์ยกวลี ‘Faut-il opter ? Je suis peuple’ มาจากวรรณกรรมเรื่อง The Caractères ของ La Bruyere นักปรัชญาและนักศีลธรรมชาวฝรั่งเศสในศตวรรษที่สิบเจ็ด ประโยค ‘Faut-il opter ? Je suis peuple’ มาจากข้อความในย่อหน้าหนึ่งใน The Caractères ความว่า: “A man of the people can not do any harm ; a great one does not want to do any good , and is capable of great evils . One will be shaped and will be exercised only in the things that are helpful ; the other there join the pernicious . There is show ingenuously the rudeness and the deductible ; Here is hiding a sap malignant and corrupt under the bark of the politeness . The people did not mind , and the great have developed soul : one - there is a good background ,and has developed from outside ; those - will have as the outside and that a single area . Must - he choose ? I don't hesitate : I want to be a people .” [4]
“Must - he choose ? I don't hesitate : I want to be a people.” นั่นคือ “หากเขาต้องเลือก ข้าพเจ้าไม่ลังเล ข้าฯต้องการเป็นประชาชนคนหนึ่ง”
ประโยค ‘Faut-il opter ? Je suis peiple’ ที่เดอ ลาแมร์ยกมาต่อท้ายที่เขาเขียนถึงสถานการณ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่เก้านั้น เดอ ลาแมร์ต้องการสื่อถึงสถานการณ์ร้ายแรงที่พระองค์ต้องเผชิญอยู่ในขณะนั้น นั่นคือ ระหว่างการเลือกที่เพิกเฉยต่อสถานการณ์ฉุกเฉินอันตรายเพื่อเป็นพระมหากษัตริย์ที่อยู่ในกรอบตามรัฐธรรมนูญ เพื่อความปลอดภัยของสถานะพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญของพระองค์ กับ การเลือกที่จะตัดสินใจยืนอยู่ข้างนิสิตนักศึกษาและประชาชนโดยเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทำอะไรนอกกรอบรัฐธรรมนูญ เดอ ลาแมร์ เห็นว่า พระองค์ทรงไม่ลังเลที่จะเลือกอย่างหลังเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของนิสิตนักศึกษาและประชาชน แม้ว่าจะสุ่มเสี่ยงต่อความปลอดภัยของสถานะความเป็นพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญของพระองค์ก็ตาม (ดังที่มีกลุ่มคนบางกลุ่มในเวลาต่อมา พยายามย้อนกลับไปโจมตีการตัดสินใจในครังนั้นของพระองค์)
การที่ เดอ ลาแมร์ ยกประโยค ‘Faut-il opter ? Je suis peiple’ ขี้นมา ก็เพราะเขาต้องการย้ำในรายงานที่เขาส่งกลับไปยังลอนดอนว่า ตัวเขาเข้าใจในปัญหาความยุ่งยากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชต้องเผชิญในเหตุการณ์เดือนตุลาฯ 2516 ว่า เมื่อต้องเลือกระหว่างการรักษาสถานะความเป็นพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของสถานะของพระองค์ กับ การเลือกรักษาชีวิตเลือดเนื้อของนิสิตนักศึกษาประชาชนและเพื่อยุติสถานการณ์ความวุ่นวาย พระองค์ทรงเลือกอย่างหลัง ขณะเดียวกัน เดอ ลาแมร์ ในฐานะที่เป็นคนอังกฤษ ก็กล่าวต่อไปอีกว่า เขาคิดว่า บทละครของเชคสเปียร์เรื่อง Hamlet น่าจะเป็นอะไรที่ทำให้เข้าใจพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชในขณะนั้นได้ดีกว่างานเขียนของ La Bruyere เดอ ลาแมร์ กล่าวว่ามี Hamlet ภายในตัวพระองค์ท่าน นั่นคือ ในสถานการณ์ขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชก็ไม่ต่างจาก Hamlet ตัวละครเอกในบทละครชื่อเดียวกัน ที่ต้องอยู่ในสถานการณ์ของทางสองแพร่งที่ต้องเลือก ซึ่งไม่ว่าจะเลือกทางใดทางหนึ่ง ก็มีผลเสียร้ายแรงตามมาทั้งสิ้น ดังที่วรรคทองที่นักเรียนทั่วโลกที่เรียนเรื่อง Hamlet ท่องได้ขึ้นใจ นั่นคือ “ To be, or not to be, that is the question.” เป็นคำกล่าวของ Hamlet ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดกับสิ่งที่เขาต้องเผชิญในชีวิต และไม่ว่าจะเลือกเดินทางไหน ก็มีแต่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายทิ้งสิ้น เดอ ลาแมร์ได้กล่าวว่า เขาได้รับทราบมาว่า พระองค์ทรงแสดงออกซึ่งความ “หวาดวิตก” กับการไม่สามารถเคร่งครัดกับการธำรงรักษาบทบาทของพระมหากษัตริย์ตามกรอบของรัฐธรรมนูญไว้ได้ และแน่นอนว่า หากรัฐบาลใหม่และการเมืองหลังจากนั้น ไม่ดี ผู้คนก็ย่อมต้องโทษพระองค์ แต่กระนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้าก็ทรงเลือกและทรงกล้าที่จะเลือก แม้จะรู้ว่าสุ่มเสี่ยงเพียงใด
เชิงอรรถ
[1] พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่เก้า) สำหรับความเห็นของเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย ดู Confidential Foreign and Commonwealth Office, Diplomatic Report No. 487/73, FAS 1/1, General Distribution, Thailand, 31 October, 1973, THAILAND: THE OCTOBER REVOLUTION, Her Majesty’s Ambassador at Bangkok to the Secretary of State for Foreign and Commonwealth Affairs.
[2] คำว่า มหิทธานุภาพ แปลมาจากข้อความ mystic power of the Crown ของ เดอ ลาแมร์ คำว่า มหิทธานุภาพ หมายถึง อำนาจพิเศษซี่งเชื่อว่าแฝงเร้นอยู่ในบุคคลผู้กอปรด้วยบุญบารมียิ่งใหญ่ ผู้เขียนขอขอบคุณ ดร. อานันท์ เหล่าเลิศวรกุล ภาคีสมาชิก สาขาวิชาภาษาไทย ราชบัณฑิตยสภา
[3] ใน บทความเรื่อง “48 ปี 14 ตุลา เปิดรายงานลับทูตอังกฤษที่ส่งกลับลอนดอน” ของ BBC Thai ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2564 ได้ละเลยข้อความบางตนในเอกสารหมายเลข 10 ของเซอร์อาเธอร์ เดอ ลาแมร์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย (พ.ศ. 2513-2516) ต่อมาวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2564 ผู้เขียนได้โพสต์ข้อความที่ชาดหายไปนั้นลงในบัญชีเฟซบุ๊กของผู้เขียน ต่อมา ทางบีบีซีไทยจึงได้คัดข้อความบางส่วนมาของผู้เขียนมาเพิ่มเติมลงในบทความที่เผยแพร่ไปในวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2564 ดู https://www.bbc.com/thai/international-63241152
[4] แปลความจากภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาอังกฤษ ดู The "Characters" of Jean de La Bruyère by Jean de La Bruyère, https://www.gutenberg.org/ebooks/46633






