พันเอก(พิเศษ)ดร. ถนัด คอมันตร์

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ชีวประวัติปฐมวัย

พันเอก(พิเศษ) ดร. ถนัด คอมันตร์ เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ.1914 ปีขาล เป็นบุตรพระยาพิพากษาสัตยาธิปไตย (โป้ คอมันตร์) เเละคุณหญิง ถนอม พิพากษาสัตยาธิปไตย นามเดิมของท่านนั้น มีชื่อว่า ถนัดกิจ ซึ่งเป็นชื่อที่สมเด็จพระศรีพัชราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวงทรงตั้งให้ เเต่ต้องมาเปลี่ยนชื่อเป็น “ถนัด” เมื่อถึงยุคสมัย จอมพล ป. พิบูลสงครามเนื่องจากสมัยนั้นชื่อมีสามพยางค์ต้องห้ามเเละไม่เป็นที่นิยม

ทางด้านการศึกษา ท่านได้เริ่มเรียนหนังสือจากโรงเรียนอัสสัมชัญคอนเเวนต์มาก่อน จึงย้ายมาเรียนที่ โรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก ตั้งเเต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เเผนกภาษาฝรั่งเศส จากนั้นจึงเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศฝรั่งเศส โดยท่านสามารถสอบชิงทุน กระทรวงการต่างประเทศ เรียนต่อปริญญาตรีทางด้านกฎหมาย ณ มหาวิทยาลัยเเห่งเมืองบอร์กโดส์ ปริญญาโทเเละปริญญาเอกทางกฎหมาย (Docteur en droit) ที่มหาวิทยาลัยปารีส [1] เมื่อกลับประเทศไทยแล้ว ท่านได้ดำรงตำแหน่งสำคัญๆมากมาย ทั้งทางด้านการต่างประเทศ การเมืองเเละทางด้านวิชาการ อาทิ เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศต่างๆ,รองนายกรัฐมนตรีเเละหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, อธิการบดีมหาวิทยาลัยเเละอาจารย์พิเศษวิชากฎหมาย เป็นต้น

ทางด้านชีวิตส่วนตัวนั้น ท่านได้สมรสกับท่านผู้หญิง โมรี คอมันตร์ (เสียชีวิต เมื่อปี ค.ศ.1995 ) มีธิดารวมทั้งสิ้น 3 คน (เสียชีวิตเมื่อเเรกเกิด1คน) เเละบุตรชาย1คน [2]

การดำรงตำเเหน่งในบทบาทสำคัญ

2.1 บทบาทสำคัญทางด้านการต่างประเทศ

พันเอก(พิเศษ)ดร. ถนัด คอมันตร์ เริ่มรับราชการที่กระทรวงการต่างประเทศ เมื่อปี ค.ศ.1939 โดยได้ดำรงตำเเหน่งที่สำคัญๆมากมาย อาทิ เอกอัครราชทูตไทยประจำองค์การสหประชาชาติเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐกัวเตมาลาเเละสาธารณรัฐคิวบา เป็นต้น นอกจากนี้ยังรับการแต่งตั้งให้ดำรงตำเเหน่งประธานในองค์การระหว่างประเทศ เช่น ประธานคณะกรรมการองค์การสหประชาชาติฝ่ายแอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้ (ค.ศ.1957) ประธานที่ประชุมองค์การสนธิปัญญาป้องกันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 7 (ค.ศ.1961) เป็นต้น

ทางด้านงานกฎหมายต่างประเทศนั้น ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกฝ่ายไทยในศาลประจำอนุญาโตตุลาการ ณ กรุงเฮก ประเทศ เนเธอร์เเลนด์ โดยมีวาระ 6ปี ( ค.ศ.1996-2002 ) [3]

2.2 บทบาทสำคัญทางด้านการเมือง

ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ (10 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1959 - 17 พฤศจิกายน ค.ศ.1971 )ในยุคสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยนโยบายหลักของท่านคือ การกระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา เพื่อต่อต้านอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ ที่กำลังเเพร่ขยายเข้ามายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้เกิดความร่วมมือทางด้านความมั่นคงระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา โดยมี “เเถลงการณ์ร่วมถนัด-รัสก์” (Joint Statement by Foreign Minister Thanat Khoman of Thailand and Secretary of State Dean Rusk) [4] ซึ่งลงนามร่วมกันระหว่าง พันเอก(พิเศษ)ดร. ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของไทยกับ นายดีน รัสก์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ [5]

ต่อมาในปี ค.ศ.1979 ได้รับเลือกตั้งเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนที่ 3 โดยภาระที่ท่านจำต้องจัดการป็นวาระเร่งด่วนคือ เปลี่ยนเเปลงภาพลักษณ์พรรคประชาธิปัตย์จากพรรคการเมืองที่มีความโน้มเอียงไปในทางสังคมนิยมสู่ภาพลักษณ์ใหม่ที่เป็นฝ่ายเสรีนิยมไปในทางขวามากขึ้น ท่านได้ดำรงตำเเหน่งหัวหน้าพรรคพรรคฝ่ายค้านตลอดช่วงระยะเวลารัฐบาลพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ครั้นถึงยุครัฐบาลของพลเอก เปรม ติณสูลลานนท์ ท่านได้รับเลือกให้เป็นรองนายกรัฐมนตรี กระนั้นก็ตาม ท่านก็ยังคงดำรงตำเเหน่งหัวหน้า พรรคประชาธิปัตย์ด้วย จนกระทั่ง ลาออกเมื่อ วันที่ 16 มีนาคม ค.ศ.1982 [6]

2.3 บทบาทสำคัญทางด้านวิชาการ

ได้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการในฐานะอธิการบดีคนแรกของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ระหว่างช่วงเดือนเมษายน ค.ศ.1968 ถึงเดือนมีนาคม ค.ศ.1969 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 11 เดือน เเละดำรงตำเเหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นคนที่ 2 โดยท่านได้ดำรงตำเเเหน่งติดต่อกันถึง 4 วาระ (วาระละ 2 ปี)[7] กระนั้นก็ตาม ในวาระที่4 ท่านดำรงตำเเหน่งไม่ครบ 2 ปี เนื่องจากมีการใช้พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พ.ศ.2522 [8] จึงรวมระยะเวลาที่ท่านดำรงตำเเหน่งได้ 6 ปีเศษ นอกจากนี้ ยังเป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชากฎหมายระหว่างประเทศให้กับนิสิต นักศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเเละมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ [9] เเละเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในสถาบันอุดมศึกษาหลายเเห่งในเวลาต่อมา

บทบาทในการก่อตั้งอาเซียน

อาเซียน[10] ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1967 โดยเป็นผลมาจากวิวัฒนาการของรูปเเบบความร่วมมือระดับภูมิภาคที่มีขึ้นก่อนหน้านั้น อาทิ องค์การสนธิสัญญาร่วมป้องกันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (The Southeast Asian Treaty Organization :SEATO) , สมาคมอาสา (ASA = Association of Southeast Asia )[11] เเละกลุ่มมาฟิลินโด (Malaya-Philippines-Indonesia: MAPHILINDO) สำหรับบทบาทของพันเอก(พิเศษ) ถนัด คอมันตร์ กับพัฒนาการความร่วมมือของอาเซียนในอดีตจนถึงบทบาทการก่อตั้งอาเซียน อาจสรุปได้โดยย่อ ดังนี้

การพัฒนาการความร่วมมือของอาเซียนในอดีต

ท่านเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งสมาคมอาสา (ASA) โดยมีจุดประสงค์เพื่อทดแทนความสำคัญของซีโต้ (SEATO) [12] อย่างไรก็ดี เมื่อดำเนินการเพียง 2 ปี การดำเนินกิจกรรมได้หยุดชะงักไป เนื่องจากเกิดกรณีพิพาทระหว่างอินโดนีเซียกับมาเลเซีย เหตุการณ์รุนแรงจนกระทั่ง ดร.ซูการ์โน (Sukarno) ซึ่งขณะนั้นเป็นประธานาธิบดีของอินโดนีเซีย ใช้“นโยบายเผชิญหน้า (Konfrontasi/Confrontation)” ซึ่งหัวเรี่ยวหัวแรงที่ช่วยให้เกิดการปรองดองกันขึ้นในครั้งนั้น คือพันเอก(พิเศษ)ดร. ถนัด คอมันตร์ อย่างไรก็ดี นโยบายนี้ได้ก่อให้เกิด การรวมกลุ่มของมาฟิลินโด(Malaya-Philippines-Indonesia: MAPHILINDO) [13] ซึ่งการรวมกลุ่มนี้ท้ายสุด ก็ต้องยกเลิกไปเพราะประเทศสมาชิกยังคงมีความหวาดระแวงต่อกัน[14] จากจุดนี้เอง ที่ก่อให้เกิดคำกล่าวที่เป็นการนำเสนอความคิดที่สำคัญ โดย พันเอก(พิเศษ) ดร. ถนัด คอมันตร์ ได้แสดงทัศนะว่า

"ปัญหาก็คือ การที่จะต้องปลูกสำนึกของชาติต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้เห็นถึงความจำเป็นของการรวมพลังกันเข้าไว้ หรือให้ร่วมงานกันอย่างใกล้ชิด แสดงออกให้เห็นกันต่อหน้ากับใครก็ตามที่ออกอาการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อพวกเขา ถ้าทำได้อย่างนี้ ให้แต่ละชาติ หรือตัวใครตัวมัน ก็จะหลุดพ้นออกจากการบ่อนทำลายภูมิภาคโดยรวม ก็จะมีความเข้มแข็ง และเป็นชุมชนเสรี ในการที่จะดำเนินการในทางที่สนองตอบต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติของตน เช่นเดียวกับที่จะเป็นประโยชน์แก่โลกโดยรวมด้วย" [15]

ท้ายที่สุด เมื่อฟื้นฟูสัมพันธภาพระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซียได้ จึงได้มีการแสวงหาลู่ทางในการจัดตั้งองค์การความร่วมมือกันในภูมิภาค จึงได้มีการก่อตั้ง สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน (The Association of Southeast Asian Nations –ASEAN) โดยพันเอก(พิเศษ) ดร.ถนัด คอมันตร์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของไทยในขณะนั้น ได้เป็นผู้ลงนามในปฏิญญากรุงเทพฯ (Bangkok Declaration) กับตัวแทนประเทศสมาชิกที่ก่อตั้งอีก 4 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ ที่วังสราญรมย์ [16] ซึ่งเป็นที่ทำการกระทรวงการต่างประเทศของไทยในขณะนั้นนั่นเอง

บทบาทในกรณีเขาพระวิหาร[17]

พันเอก(พิเศษ) ดร.ถนัด คอมันตร์ ดำรงตำเเหน่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ในขณะนั้น(ค.ศ.1962) ได้ส่งหนังสือไปถึง นายอู ถั่น ผู้รักษาการเลขาธิการองค์การสหประชาชาติเพื่อประท้วงคําพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ มีใจความสําคัญ ดังนี้

“...รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ประกาศต่อประชาชนแสดง ความไม่เห็นพ้องด้วยกับคําพิพากษา...อย่างไรก็ดี รัฐบาลก็ยังแถลงว่าในฐานะที่เป็นสมาชิกสหประชาชาติ ... จะปฏิบัติตามพันธกรณีที่ตนมีอยู่ให้สมบูรณ์ตามข้อ 94 ของกฎบัตร ... แต่ในการตัดสินใจที่จะปฏิบัติตามคําพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ... รัฐบาล ปรารถนาที่จะตั้งข้อสงวนอันเเจ้งชัดเเจ้งเกี่ยวกับสิทธิใดๆ ที่ประเทศไทยมีหรืออาจมีในอนาคต เพื่อเอาปราสาทพระวิหารกลับคืนมา โดยอาศัยกระบวนการทางกฎหมายที่มีอยู่หรือที่จะพึงนำมาใช้ได้ในภายหลัง เเละตั้งข้อประท้วงต่อคำพิพากษาที่ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา….” [18]

กล่าวคือ ในฐานะที่ไทยเป็นประเทศสมาชิกสหประชาชาติ จึงต้องปฏิบัติตามพันธกรณีต่างๆอันเป็นผลมาจาก คำพิพากษา ตามข้อ 94 ของกฎบัตรสหประชาชาติ แต่ทั้งนี้ ไทยขอสงวนสิทธิที่ไทยมีหรืออาจมีในอนาคต ที่จะเรียกเอาปราสาทเขาพระวิหารกลับมา โดยอาศัยกระบวนการทางกฎหมายที่มีอยู่ หรือจะเกิดขึ้นในภายหลัง [19]

บรรณานุกรม

กระทรวงการต่างประเทศ.2556.50ประเด็น ถาม-ตอบ กรณีปราสาทพระวิหาร. http://www.phraviharn.org/main/contents/files/history-20070405-165519-555843.pdf (accessed March 30, 2015)

เกียรติชัย พงษ์พาณิชย์.2557.“คอลัมน์:มิติโลกาภิวัฒน์: ด้วยระลึกถึงท่าน ถนัด คอมันตร์.” <http://www.ryt9.com/s/tpd/1959768> (accessed March 27,2015).

จุลนภ ศานติพงศ์เเละคณะ.17 ผู้ทรงอิทธิพลในอาเซียน.กรุงเทพฯ:บ.วี.พรินท์(1991)จำกัด.2556

ฐานข้อมูลบุคคลสำคัญ ม.อ..2012. “ฯพณฯ พันเอก (พิเศษ) ดร. ถนัด คอมันตร์”.<http://jfkonline.oas.psu.ac.th/biodb/index.php?option=com_content&task=view&id=64&Itemid=94> (accessed March27,2015).

เเถมสุข นุ่มนนท์.50ปี พรรคประชาธิปัตย์กับการเมืองไทย.ไม่ปรากฏ สถานที่พิมพ์,2539

บวรศักดิ์ อุวรรณโณ. เเฉเอกสาร “ลับที่สุด” ปราสาทพระวิหาร พ.ศ.2505-2551. กรุงเทพฯ:มติชน,2551.

บุญร่วม เทียมจันทร์เเละคณะ.ไทยเเพ้คดี เสียดินเเดนให้เขมร. กรุงเทพฯ:Animate Print and Design Co.,Ltd 296,2550.

วัลลภ เจียรวนนท์เเละคณะ. อุโฆษสาร 2000 อัสสัมชัญประวัติ 115 ปี.กรุงเทพฯ:สมาคมอัสสัมชัญ, 2556.

สมหมาย ฉัตรทอง.2555. “รัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ แรกเปิดเรียน ปี 2492 (ตอนที่ 1).” <https://www.gotoknow.org/posts/543853> (accessed March 27,2015).

สภามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. “องค์ประกอบ วาระการดำรงตำเเหน่ง อำนาจหน้าที่ของสภามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พ.ศ.2522”. http://www.sapa.psu.ac.th/51/index2.htm (accessed March27,2015).

หอประวัติมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.2554.”เกร็ดความรู้.” <http://www.psuhistory.psu.ac.th/index.php?option=com_content&view=article&id=116> (accessed March 27,2015)

อ้างอิง

  1. วัลลภ เจียรวนนท์ และคณะ. อุโฆษสาร 2000 อัสสัมชัญประวัติ 115 ปี.(กรุงเทพฯ:สมาคมอัสสัมชัญ, 2556), 989-990.
  2. เพิ่งอ้าง.,990.
  3. ฐานข้อมูลบุคคลสำคัญ ม.อ..2012. “ฯพณฯ พันเอก (พิเศษ) ดร. ถนัด คอมันตร์”. http://jfkonline.oas.psu.ac.th/biodb/index.php?option=com_content&task=view&id=64&Itemid=94 (accessed March27,2015).
  4. เนื้อหาใจความสำคัญของ แถลงการณ์ร่วมถนัด-รัสก์นั้น คือ สหรัฐอเมริกาจะให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศไทย เมื่อถูกรุกรานจากอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกาสามารถส่งกองกำลังมาช่วยประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องรอมติเอกฉันท์จาก SEATO
  5. จุลนภ ศานติพงศ์เเละคณะ.17 ผู้ทรงอิทธิพลในอาเซียน.(กรุงเทพฯ:บ.วี.พรินท์(1991)จำกัด.2556),30
  6. เเถมสุข นุ่มนนท์.50ปี พรรคประชาธิปัตย์กับการเมืองไทย.(ไม่ปรากฎสถานที่พิมพ์,2539),182-201.
  7. สภามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. “องค์ประกอบ วาระการดำรงตำเเหน่ง อำนาจหน้าที่ของสภามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พ.ศ.2522”. http://www.sapa.psu.ac.th/51/index2.htm (accessed March27,2015).
  8. หอประวัติมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.2554.”เกร็ดความรู้.” http://www.psuhistory.psu.ac.th/index.php?option=com_content&view=article&id=116 (accessed March 27,2015)
  9. สมหมาย ฉัตรทอง.2555. รัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ แรกเปิดเรียน ปี 2492 (ตอนที่ 1) https://www.gotoknow.org/posts/543853 (accessed March 27,2015).
  10. อาเซียน ในช่วงพึ่งเริ่มก่อตั้ง มีประเทศสมาชิกทั้งหมด 5 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย,ฟิลิปปินส์,มาเลเซีย,สิงคโปร์และไทย
  11. สมาคมอาสา ก่อตั้งขึ้นด้วยความร่วมมือของประเทศไทย ฟิลิปปินส์ เเละสหพันธ์มาลายา โดยมีการลงนามในตราสารจัดตั้งสมาคม เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 โดยมีวัตถุประสงค์เเละความร่วมมือคลอบคลุมด้านต่างๆ ใด้เเก่ เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ เเละการบริหาร เพื่อบูรณะการปกครองเศรษฐกิจเเละสังคมภายหลังที่ประเทศภาคีได้รับอิสรภาพ ทั้งยังมุ่นมั่นรักษาสันติภาพ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดเเย้งทางการเมือง
  12. นายวัลลภ เจียรวนนท์เเละคณะ.2556.อ้างเเล้ว.,หน้า 991.
  13. กลุ่มมาฟิลินโด ประกอบด้วยประเทศที่ใช้ภาษามาเลย์ คือ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์เเละอินโดนิเซีย โดยเป็นความร่วมมือจากการริเริ่มของ ประธานาธิบดี ดิออสคาโด มาคาปากัล ของฟิลิปินส์ ที่เสนอให้ประเทศทั้งสามสร้างความร่วมมือกันทางด้านเศรษฐกิจเเละวัฒนธรรมตลอดจนให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคงเเละ สันติสุขของภูมิภาค
  14. เกียรติชัย พงษ์พาณิชย์2557.คอลัมน์:มิติโลกาภิวัฒน์: ด้วยระลึกถึงท่าน ถนัด คอมันตร์. http://www.ryt9.com/s/tpd/1959768 (accessed March 27,2015)
  15. เกียรติชัย พงษ์พาณิชย์.2557.เพิ่งอ้าง
  16. จุลนภ ศานติพงศ์เเละคณะ.2556.อ้างเเล้ว.,หน้า 32-33.
  17. ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พุทธศักราช 2504 ความว่า “ปราสาทเขาพระวิหาร ตั้งอยู่ภายในอธิปไตยของกัมพูชา ตลอดจนมีพันธะที่จะต้องถอนกำลังทหารหรือตำรวจ ผู้เฝ้ารักษาหรือผู้ดูแลซึ่งประเทศไทยส่งไปประจำอยู่ที่ปราสาทเขาพระวิหาร หรือในบริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา และจะต้องคืนสิ่งปฏิมากรรม, แผ่นศิลา,ส่วนหักพังของอนุสาวรีย์,รูปหินทรายและเครื่องปั้นดินเผาโบราณ ซึ่งเจ้าหน้าที่ไทยอาจจะได้โยกย้ายไปจากปราสาทพระวิหารหรือบริเวณพระวิหาร นับแต่วันที่ประเทศไทยเข้าครอบครองพระวิหาร เมื่อปีพุทธศักราช 2497 นั้น”
  18. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ. แฉเอกสาร “ลับที่สุด” ปราสาทพระวิหาร พ.ศ.2505-2551.(กรุงเทพฯ:มติชน,2551.),หน้า211
  19. กระทรวงการต่างประเทศ.2556.50ประเด็น ถาม-ตอบ กรณีปราสาทพระวิหาร. http://www.phraviharn.org/main/contents/files/history-20070405-165519-555843.pdf (accessed March 30, 2015)