พลังสามัคคี (พ.ศ. 2543)
ผู้เรียบเรียง รองศาสตราจารย์ ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
พรรคพลังสามัคคี
พรรคพลังสามัคคี เรียกชื่อย่อว่า “พ.ส.ค.” เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “PALANG SAMAKKEE PARTY” ขึ้นทะเบียนเป็นพรรคการเมืองเลขที่ 8/2543 ได้รับการจดทะเบียนเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2543[1]
เครื่องหมายพรรคพลังสามัคคี ประกอบด้วย[2]
รูปดอกบัวสีขาวกำลังเบ่งบาน หมายถึง ดอกไม้แห่งคุณธรรมกำลังเบ่งบาน
พื้นวงกลมสีแดง หมายถึง ชาติไทย
รวมกันแล้ว หมายถึง คุณธรรมกำลังเบ่งบานขึ้นภายในชาติ
สีประจำพรรค หมายถึง สีขาว
สีขาว หมายถึง ศาสนาและคุณธรรม
ตรายางเครื่องหมายสำหรับประทับรับรองเอกสารของพรรคเป็นเครื่องหมายย่อในลักษณะเดียวกัน หากแต่ใช้สีเดียว[3]
มีที่ตั้งสำนักงานใหญ่พรรคพลังสามัคคี ตั้งอยู่เลขที่ 62/108 หมู่ที่ 4 ซอยอัสสัม 4 ถนน เสรีไทย แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร 10240[4]
นโยบายของพรรคพลังสามัคคี พ.ศ. 2543 [5]
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในหลายๆประเทศที่กำลังพัฒนา และหลายๆประเทศที่เริ่มพัฒนามาพร้อมๆกับประเทศไทย มีบางประเทศได้พัฒนาก้าวหน้ากว่าประเทศไทยไปหลายเท่าตัว เนื่องจากรากฐานการผลิตของเศรษฐกิจไม่อยู่บนศักยภาพที่แท้จริงของประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจมุ่งแต่ตัวเลข การส่งออกใช้วิธีการกู้เงินเพื่อมาสร้างตัวเลขความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศมาผลิตเพื่อส่งออก อาศัยการลงทุนจากต่างประเทศ พื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศคือ เกษตรกรรมแต่เราไม่เน้นไม่ทำอย่างจริงจัง ฉะนั้นวิกฤตเศรษฐกิจไทยจึงแก้ไม่ได้
สังคมที่จะเข้มแข็งได้ต้องเริ่มพัฒนาจากจุดล่างสุดเพราะเป็นฐานของการพัฒนา และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทุกๆด้าน
วิกฤตทางการเมืองเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยขาดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และนักการเมืองยังไม่มีคุณธรรมเพียงพอ ขาดจิตวิญญาณในการให้บริการสังคมอย่างแท้จริง
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้พรรคพลังสามัคคีขออาสาเข้ามาช่วยคลี่คลายปัญหาพรรคจะดำเนินกิจกรรมทางการเมืองโดยยึดหลักคุณธรรมเป็นที่ตั้งจะสร้างความกินดีอยู่ดี ความปลอดภัย และความเสมอภาคทางกฎหมายให้กับประชาชนโดยเท่าเทียมกัน ภายใต้คำขวัญ “คุณธรรมนำชีวิต สร้างเศรษฐกิจพอเพียง ฟังเสียงประชาชน”
1. นโยบายด้านการศึกษา
ปฏิรูปการศึกษาทั้งในและนอกระบบ เน้นพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้มีคุณธรรม กระจายอำนาจให้สถานศึกษาต่างๆมีส่วนร่วมจัดการศึกษาอย่างแท้จริง และให้ประชาชนได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียมกันและเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด
2. นโยบายด้านการเมืองการปกครอง
ยึดมั่นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เร่งรัดปฏิรูประบบการบริหารราชการแผ่นดินให้มีประสิทธิภาพ กำหนดให้ผู้ที่เข้ามารับราชการเป็นผู้ที่เคร่งครัดในด้านศีลธรรมและอบายมุข คัดค้านการปกครองระบอบเผด็จการทุกรูปแบบ และสนับสนุนการกระจายอำนาจการปกครองสู่ท้องถิ่น
3. นโยบายด้านเศรษฐกิจ
ดำเนินการด้านเศรษฐกิจแบบพึ่งพาตัวเอง ปฏิรูปที่ดินเพื่อให้ประชาชนได้มีที่ดินของตนเอง ส่งเสริมธุรกิจขนาดย่อม โดยกระจายเงินทุนให้มากที่สุด ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศแต่เน้นวัตถุดิบภายในประเทศ และสนับสนุนการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ทั้งในชนบทและในเมือง
4. นโยบายด้านสาธารณสุข
ส่งเสริมให้มีศูนย์การแพทย์แผนไทย และสนับสนุนผลักดันให้แต่ละตำบลมีศูนย์การแพทย์แผนไทย ส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ให้มีจริยธรรมและคุณธรรม เร่งขยายสาธารณสุขขั้นพื้นฐานให้มีประสิทธิภาพทั่วประเทศ และส่งเสริมดูแลคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส
5. นโยบายด้านสังคม สิทธิมนุษยชนและวัฒนธรรม
ส่งเสริมให้นำหลักธรรมทางศาสนามาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต ส่งเสริมสวัสดิภาพของประชาชนให้มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ ส่งเสริมให้สถาบันครอบครัวมีความเข้มแข็ง และเพิ่มศาลท้องถิ่นให้นำธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมที่ดีงามในแต่ละท้องถิ่นมาช่วยแก้ปัญหา
6. นโยบายด้านการคลัง
จัดสรรงบประมาณให้ตอบสนองต่อการพัฒนาประเทศ เน้นด้านการเกษตร เพิ่มงบประมาณด้านการศึกษา การพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านสาธารณสุข รวมทั้งเพิ่มสวัสดิการในด้านต่างๆให้กับประชาชน ให้ท้องถิ่นจัดเก็บภาษีเองได้ และปรับโครงสร้างการจัดเก็บภาษีให้เป็นธรรม
7. นโยบายด้านต่างประเทศ
ให้ความร่วมมือย่างเต็มที่ในการสร้างสันติภาพ แก้ไขข้อพิพาทความขัดแย้งต่างๆ และดำเนินการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางพาณิชยกรรมและการบินในภูมิภาคนี้
8. นโยบายด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ปลูกจิตสำนึกของประชาชนให้เห็นความสำคัญของการอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
9. นโยบายด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการพลังงาน
สนับสนุนการวิจัยของสถาบันต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชน ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการถ่ายทอดความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้ทันสมัยอย่างเข้มงวดจริงจัง
10. นโยบายด้านความมั่นคงและการทหาร
แยกกองทัพออกจากการเมืองโดยเด็ดขาด ส่งเสริมความเข้มแข็งของกองทัพให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมให้กองทัพเข้ามามีส่วนร่วมในการรักษาความสงบภายใน
11. นโยบายด้านแรงงาน
ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายแรงงานให้มีความเป็นธรรม สร้างประสิทธิภาพในการทำงานด้วยการจัดให้มีการลงทุนสร้างศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาฝีมือแรงงาน และสนับสนุนให้ผู้ใช้แรงงานได้รับสวัสดิการเพิ่มขึ้น
พรรคพลังสามัคคีไม่เคยมีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง จนกระทั่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งที่ 5/2544 ลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2544 ให้ยุบพรรคพลังสามัคคีตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 มาตรา 65 วรรคสอง เนื่องจากไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 ที่บัญญัติว่า “ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่นายทะเบียนรับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมือง พรรคการเมืองต้องดำเนินการให้มีสมาชิกตั้งแต่ห้าพันคนขึ้นไป ซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วยสมาชิกซึ่งมีที่อยู่ในแต่ละภาคตมบัญชีรายชื่อภาคและจังหวัดที่นายทะเบียนประกาศกำหนด และมีสาขาพรรคการเมืองอย่างน้อยภาคละหนึ่งสาขา” เมื่อพรรคการเมืองไม่สามารถกระทำได้ดังกล่าว ให้พรรคการเมืองนั้นเป็นอันยุบไปตามมาตรา 65 วรรคหนึ่ง (5) ซึ่งเมื่อครบกำหนดเวลา (ภายใน 23 มกราคม 2544) พรรคพัฒนาสังคมไทยมีจำนวนสมาชิกพรรคและจัดตั้งสาขาพรรคการเมืองไม่ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยหัวหน้าพรรคพัฒนาสังคมไทยมีหนังสือชี้แจงลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2544 ความว่า ไม่สามารถจัดหาสมาชิกพรรคให้ครบห้าพันคน และไม่สามารถจัดตั้งสาขาพรรคได้ครบสี่สาขา ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน จึงขอให้ยุบพรรคได้ โดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆทั้งสิ้น ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญจึงตัดสินให้ยุบพรรคพลังสามัคคี [6]
อ้างอิง
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 117 ตอนพิเศษ 61 ง, วันที่ 23 มิถุนายน 2543, หน้า 100,109.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 117 ตอนพิเศษ 61 ง, วันที่ 23 มิถุนายน 2543, หน้า 109-110.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 117 ตอนพิเศษ 61 ง, วันที่ 23 มิถุนายน 2543, หน้า 110.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 117 ตอนพิเศษ 61 ง, วันที่ 23 มิถุนายน 2543, หน้า 110.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 117 ตอนพิเศษ 61 ง, วันที่ 23 มิถุนายน 2543, หน้า 100-108.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 118 ตอนพิเศษ 28 ง, 23 มีนาคม 2544, หน้า 6. และราชกิจจานุเบกษา เล่ม 119 ตอนที่ 2 ก, 3 มกราคม 2545, หน้า 1-3.