พลังธรรม (พ.ศ. 2531)

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต



พรรคพลังธรรม

พรรคพลังธรรม จดทะเบียนพรรคการเมืองในวันที่ 9 มิถุนายน 2531 โดยมี พลตรีจำลอง ศรีเมือง ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค สมาชิกก่อตั้งส่วนใหญ่มาจากกลุ่มสันติอโศก ก่อนหน้าที่จะก่อตั้งพรรคพลังธรรม พล.ต.จำลองลงสมัครผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานครในปี 2528 ในนามกลุ่มรวมพลัง และเมื่อก่อตั้งพรรคพลังธรรมแล้ว พล.ต.จำลองลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอีกครั้งในนามพรรคพลังธรรมในปี 2533 ผลปรากฎว่า พล.ต.จำลองชนะการเลือกตั้งทั้ง 2 ครั้ง อาจกล่าวได้ว่า การเกิดขึ้นของพรรคพลังธรรมในปี 2531 เป็นผลโดยตรงจากกระแสความนิยมในเขตกรุงเทพมหานครที่มีต่อพล.ต.จำลองเป็นหลัก พรรคพลังธรรมในช่วงก่อตั้งไม่ได้ต่างไปจากกลุ่มรวมพลังมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การชูตัวบุคคล คือ พล.ต.จำลอง ที่มีภาพลักษณ์ของความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนกับภาพลักษณ์ของพรรคการเมืองอื่นๆที่ใช้ทุนเป็นหลัก[1]

พรรคพลังธรรม ส่งผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 24 กรกฎาคม 2531 โดยพรรคพลังธรรมได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 15 คน โดย 10 คนเป็นผู้สมัครในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งในการจัดตั้งรัฐบาลที่นำโดยพรรคชาติไทยของ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ พรรคพลังธรรมไม่ได้เข้าร่วมเป็นพรรคร่วมรัฐบาลแต่อย่างใด

ต่อมาภายหลังการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ โดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ในปี 2534 ได้มีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 22 มีนาคม 2535 โดยพรรคพลังธรรมส่งผู้สมัครของตนเองในการเลือกตั้งในครั้งนี้ด้วย ผลการเลือกตั้งปรากฎว่า พรรคได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกว่า 41 คน ส่วนใหญ่ คือ 32 คน (จากจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานครทั้งหมด 35 คน) เป็นผู้สมัครในเขตกรุงเทพมหานคร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคทำงานได้เพียงสองเดือน ก็ปรากฎว่า เกิดเหตุการณ์พฤษภาประชาธรรมในเดือนพฤษภาคม 2535 และพล.ต.จำลอง หัวหน้าพรรคมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้ขับไล่รัฐบาล พลเอกสุจินดา คราประยูร ซึ่งในการนำการต่อสู้ดังกล่าว พล.ต.จำลองได้ประกาศว่า ภายหลังจากเหตุการณ์พฤษภาประชาคม ตนจะไม่รับตำแหน่งใดๆทางการเมือง เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ดังนั้น เมื่อเหตุการณ์จบลง พล.ต.จำลองได้ประกาศลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม

การลาออกของพล.ต.จำลองส่งผลอย่างมากต่อพรรคพลังธรรม โดยในการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 13 กันายน 2535 พรรคพลังธรรมได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตกรุงเทพมหานครเพียง 23 คน ซึ่งลดลงจากเดิมถึง 9 คน ผลการเลือกตั้งปรากฎว่า พรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของนายชวน หลีกภัย กลายมาเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล และนายชวนเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก

สุกัญญา วินิจศาสตร์[2] ชี้ว่า การลาออกของพล.ต.จำลองได้นำมาซึ่งความเสื่อมถอยของพรรคพลังธรรมอย่างที่ไม่อาจหวนกลับไปได้ แม้ว่าจะมีบุคคลที่มีความรู้ความสามารถอื่นๆเข้ามาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคต่อจากพล.ต.จำลองก็ตาม (เช่น พล.ร.อ.ศิริ ศิริรังษี และ นายบุญชู โรจนเสถียร) พล.ต.จำลอง ซึ่งยังคงเป็นสมาชิกที่มีบทบาทของพรรคพลังธรรมจึงพยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยในปี 2538 พล.ต.จำลองได้เชิญให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักธุรกิจด้านการสื่อสาร ให้เข้ามาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังธรรม ส่งผลให้พ.ต.ท.ทักษิณกลายมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรมคนที่ 4

ในการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 กรกฎาคม 2538 พรรคพลังธรรมซึ่งนำโดยพ.ต.ท.ทักษิณได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรในเขตกรุงเทพมหานครเพียง 16 คน โดยในครั้งนี้พรรคพลังธรรมได้เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับนายบรรหาร ศิลปอาชา จากพรรคชาติไทย การเข้าร่วมกับพรรคชาติไทยส่งผลอย่างยิ่งต่อภาพลักษณ์ในทางลบของพรรคพลังธรรม โดยเฉพาะการที่นายบรรหารต้องประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเนื่องมาจากถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจจากฝ่ายค้านในรัฐสภา

ความเสื่อมถอยของพรรคพลังธรรม ซึ่งในขณะนั้น พ.ต.ท.ทักษิณยังคงเป็นหัวหน้าพรรค ปรากฎชัดเจนในการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 17 พฤษภาคม 2539 ที่พรรคพลังธรรมได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพียงคนเดียว คือ นางสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตกรุงเทพมหานคร เท่ากับว่า หัวหน้าพรรค คือ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ส่งผลให้ พ.ต.ท.ทักษิณประกาศลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรค

ภายหลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณลาออก พรรคพลังธรรมได้แต่งตั้ง นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เป็นหัวหน้าพรรคคนต่อไป แต่เนื่องมาจากนายไชยวัฒน์ไม่ได้รับความนิยมจากสมาชิกพรรค กอปรกับกระแสขาลงของพรรคพลังธรรม ส่งผลให้สมาชิกพรรคพลังธรรมคนสำคัญๆ เช่น นายสุรนันท์ เวชชาชีวะ, นายแพทย์ประจวบ อึ๊งภากรณ์, นางศันสนีย์ นาคพงษ์ รวมไปถึง นางสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพียงหนึ่งเดียวของพรรค รวมไปถึงที่ปรึกษาทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการของพรรค เช่น กลุ่มคนเดือนตุลาฯ ในพรรคการเมือง เช่น นายภูมิธรรม เวชยชัย และนายพรหมินทร์ เลิศสุริยะเดช เป็นต้น ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคและไปก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ที่ชื่อว่า พรรคไทยรักไทย ร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในปี 2541 ส่งผลให้นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พรรคพลังธรรมหมดบทบาททางการเมืองลงอย่างสิ้นเชิง

อย่างไรก็ดี สมาชิกที่เหลืออยู่ของพรรคพลังธรรมยังคงพยายามทำงานทางการเมืองในนามพรรคต่อไป แต่ไม่ประสบความสำเร็จ โดยในวันที่ 19 ตุลาคม 2550 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคพลังธรรม (ซึ่งในขณะนั้นมี นายภมร นวรัตนากร เป็นหัวหน้าพรรค) เนื่องมาจากกรรมการบริหารพรรคไม่ได้จัดส่งรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนของพรรคการเมือง (ซึ่งเป็นเงินที่ได้รับจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง) ที่ถูกต้องตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541[3] คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจึงเป็นการยุติชีวิตทางการเมืองที่มีมายาวนานกว่า 20 ปีของพรรคพลังธรรม


อ้างอิง

  1. สุกัญญา วินิจศาสตร์, พรรคพลังธรรม ความรุ่งเรือง และความเสื่อมถอย, วิทยานิพนธ์รัฐศาสตร์มหาบัณฑิต คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีการศึกษา 2544, หน้า 2.
  2. สุกัญญา วินิจศาสตร์, พรรคพลังธรรม ความรุ่งเรือง และความเสื่อมถอย, วิทยานิพนธ์รัฐศาสตร์มหาบัณฑิต คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีการศึกษา 2544, หน้า 4.
  3. http://www.concourt.or.th/download/Center_desic/50/center19_50.pdf