พระราชวจนะองค์ประชาธิปก
ผู้รวบรวมและจัดหมวดหมู่ : รองศาสตราจารย์ ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล และ ศิริน โรจนสโรช
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.สนธิ เตชานันท์
คติธรรมประจำพระราชหฤทัย
“ถ้าหากว่าเมตตาไม่มีในสันดานของมนุษย์บ้างแล้ว...ชนทั้งหลายจะนึกถึงความสุขของตนผู้เดียว แล้วเบียดเบียนผู้อื่น ฝ่ายผู้เป็นใหญ่ก็จะใช้อำนาจของตนบีบบังคับผู้น้อย...โลกก็จะถึงความจลาจลโดยเหตุนี้เอง” พระนิพนธ์เรื่องความแก้กระทู้ธรรมเรื่อง
“โลกอันเมตตาค้ำจุนไว้” ของพระภิกษุ “ปชาธิโป” พ.ศ. ๒๔๖๐
“ถ้าเราทำการใดๆ ไปโดยมีความสุจริตในใจและโดยเต็มความสามารถแล้ว ก็ต้องนับว่าได้พยายามทำการงานตามหน้าที่โดยสุดกำลังแล้ว” พระราชนิพนธ์คำนำหนังสือพระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงในเรื่องการเปลี่ยนแปลงแก้ไขการปกครองแผ่นดิน
ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๐
“ถ้าคนเราเชื่อในกรรมจริงๆ แล้ว จะได้ความสุขใจใช่น้อย โดยที่ไม่ทำให้รู้สึกท้อถอยอะไร เพราะไม่ควรมานั่งซัดใครๆ หรืออะไรต่างๆ จนไม่เป็นเรื่อง” พระราชนิพนธ์คำนำหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กเรื่อง “สาสนคุณ” พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๒
“ศาสนามีขึ้นในโลกเพราะคนเราต้องประสบความทุกข์ และการมีศาสนานั้นเป็นเครื่องระงับทุกข์และความเศร้าหมองได้ดีกว่าอย่างอื่น” พระราชนิพนธ์คำนำหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กเรื่อง “ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ๔ ประการ” กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๖
“ถ้าคนเราไม่มีความยุติธรรมอันใดอันหนึ่งที่สูงกว่าความยุติธรรมของคนต่อคนกันเองแล้ว คนที่ประพฤติดีเห็นจะมีน้อยเต็มที และจะเป็นที่น่าเหี่ยวแห้งใจอย่างยิ่ง” พระราชนิพนธ์คำนำหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กเรื่อง “ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ๔ ประการ” กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๖
“ข้าพเจ้ารู้สึกขอบใจทุกคนอย่างที่สุดสำหรับความจงรักภักดีและที่ได้รับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริตตลอดเวลาอันยากลำบากและประกอบด้วยอันตราย ข้าพเจ้าขอให้ทุกคนจงให้อภัยแก่ข้าพเจ้า ถ้าให้อภัยได้ ในการที่ได้ละทิ้งไปเสียในเวลานี้ แต่ข้าพเจ้ารู้สึกว่า จำเป็นต้องต่อสู้เพื่อสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดเห็นว่า ถูกและเป็นความยุตติธรรม ข้าพเจ้าไม่สามารถจะทำตนให้ต่ำลง และครองชีวิตอยู่ตลอดไปด้วยความอัปประยศเพื่อว่าจะได้ครองราชยสมบัติสืบไป ข้าพเจ้าขอทุกคนจงอย่าก่อความยุ่งยากประการใดให้เกิดขึ้นเพื่อตัวข้าพเจ้า...”
พระราชกระแสรับสั่ง ในคำแปลโทรเลขซึ่งส่งมาจากประเทศอังกฤษ
ยังเจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ให้นำความแจ้งข้าราชการในพระราชสำนักทราบ
ในคราวที่ทรงสละราชสมบัติ เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗
พระราชวจนะเพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคม
๑. มีความสามัคคีในชุมชน
“สิ่งที่ควรมุ่งปรารถนานั้น คือการช่วยกันและกัน หรือจะว่าการสามัคคีทั่วโลกโดยปราศจากความถือชาติถือสกุลนั้นก็ได้. เพราะฉนั้น การปกครองบ้านเมือง ใช่ว่าจะสำเร็จได้ด้วยผู้มีหน้าที่รับราชการถ่ายเดียวนั้นหามิได้เลย. ต้องอาศัยความช่วยเหลือพร้อมเพรียงกันในหมู่พลเมืองทุกชนิด ทุกอาชีพ ทุกชาติ”
(พระราชดำรัสตอบผู้แทนคณะประชาชนซึ่งเฝ้าถวายชัยมงคลเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๘)
๒. มีความซื่อตรงต่อบ้านเมือง
“พวกเจ้าทั้งหลายผู้เป็นลูกหลานของนักรบโบราณนั้นเอง เป็นลูกของพวกไทยแต่เดิมที่อยู่ในถิ่นนี้ต้องตั้งใจที่จะบำรุงฐานของมณฑลของตน ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองมารดรเดิมนั้นให้รุ่งเรืองเหมือนกับที่เป็นมาแต่ก่อน จงตั้งใจทำการงานทุกสิ่งทุกอย่างทำมาหาเลี้ยงชีพโดยชอบ ตั้งใจทำมาค้าขายจะได้เป็นประโยชน์นำฐานะของมณฑลให้เจริญรุ่งเรือง และเมืองพิษณุโลกจะได้กลับเป็นบ้านเมืองใหญ่โตเหมือนกับที่เคยเป็นมาแต่ก่อนนั้น”
(พระบรมราโชวาทในการพระราชทานธงประจำกองลูกเสือ มณฑลพิษณุโลก วันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๙)
๓. ประพฤติตามกฎหมายและทำหน้าที่ของตนอย่างเที่ยงตรง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้ที่ขาดแคลนมากกว่าขยันหมั่นเพียรและประหยัด
“ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจช่วยทำนุบำรุงบ้านเมืองตามฐานแห่งตน ๆ ที่เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่บังคับบัญชาผู้น้อย ก็จงตั้งใจทำงานให้เที่ยงตรงตามหน้าที่ด้วยกรุณาปราณีต่อผู้น้อย เหล่าที่ประกอบการค้าขายก็จงพากเพียรหาประโยชน์โดยธรรม และเผื่อแผ่เจือจานจำพวกอื่นที่ขัดแคลน ตลอดจนช่วยทำนุบำรุงบ้านเมืองตามสมควร ที่เป็นชั้นประชาชนพลเมืองก็จงหมั่นเพียรในการประกอบอาชีพ และอุตส่าห์สงวนทรัพย์ไว้ใช้สรอยให้เป็นสาระประโยชน์และประพฤติตนตามพระราชกำหนดกฏหมายคืออย่าเบียดเบียนผู้อื่นเป็นต้น แม้พระสงฆ์ทั้งปวงก็ขอให้เอาเป็นภาระธุระสั่งสอนธรรมานุธรรมปฏิบัติ”
(พระราชดำรัสตอบที่เมืองแพร่ ณ ศาลากลางจังหวัด วันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๙)
๔. ยาเสพติดและการพนันทำลายคน
“อย่าให้มีนิสสัยชอบการพะนัน ถ้ามีนิสสัยเช่นนั้นแล้วอาจติดเหมือนติดฝิ่น ลงท้ายก็ต้องฉิบหาย การพะนันถึงจะมีเวลาได้บ้างก็ประเดี๋ยวเดียวคราวเดียว แล้วภายหลังก็ต้องฉิบหาย การพะนันเป็นข้าศึกอย่างใหญ่ของการออมทรัพย์ เพราะฉะนั้นต้องหลีกเลี่ยง ต้องพยายามหนีการพะนัน ต้องเห็นว่าเป็นของเลวที่สุด”
(พระบรมราโชวาทพระราชทานแก่ลูกเสือในการสวนสนามถวายพระพรชัยมงคล (ว่าด้วยทรัพย์) วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๑)
๕. ผู้ปกครองคนต้องมีเมตตา
“ผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในการปกครองจะต้องคอยระวังเอาใจใส่สอดส่องบังคับบัญชาการ ทั้งรักษาสันติสุขและทำนุบำรุงบุคคลจำพวกต่างๆ ให้ประกอบอาชีพแต่โดยธรรม ความข้อนี้จะสำเร็จได้ก็ด้วยตั้งตนไว้ให้เที่ยงตรงกอบด้วยเมตตาอารี จะบังคับบัญชาหรือทำนุบำรุงก็ให้เสมอหน้ากัน และผ่อนผันเห็นอกเห็นใจผู้น้อย โดยฉะเพาะจำพวกที่ยังไม่คุ้นเคยขนบธรรมเนียมบ้านเมือง อย่าให้ต้องลำบากเดือดร้อนโดยมิจำเป็น ให้ราษฎรเชื่อถือไว้ใจในผู้ปกครองว่าเป็นมิตรและเป็นผู้ทำนุบำรุง”
(พระราชดำรัสตอบสำหรับเมืองเชียงราย ณ พลับพลาทอง หน้าศาลากลางจังหวัด วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๙)
๖. มุ่งประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนบุคคล
“จงตั้งใจฝึกฝนตนเองให้เป็นผู้มีกำลังวังชาแข็งแรง ทั้งมีน้ำใจอันดีซื่อสัตย์ต่อชาติไทยและรักความสามัคคีเป็นอย่างยิ่ง จะทำกิจการใดๆ จงนึกถึงประโยชน์ของชาติก่อนยิ่งกว่าประโยชน์ส่วนตัว อย่าได้เบียดเบียฬซึ่งกันและกัน ทำอะไรให้นึกถึงประโยชน์ส่วนใหญ่ส่วนรวม ดังนั้นชาติเราจะเจริญรุ่งเรืองต่อไป”
(พระบรมราโชวาทในการพระราชทานธงแก่กองลูกเสือมณฑลพายัพ ณ พลับพลาหน้าโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๙)
๗. รักท้องถิ่นและรักษาขนบธรรมเนียมที่ดีงาม
“การรักษาประเพณีเป็นของมีประโยชน์มาก นอกจากรักษาประเพณีของโรงเรียนแล้ว หวังว่านักเรียนจะรักษาประเพณีไทยๆ ไว้ด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่จะเปลี่ยนแปลงไปหมด จะยกตัวอย่างหลายอย่างจะมากไป จะยกตัวอย่างข้อเดียวที่ว่าคนไทยเราต้องมีความเคารพนับถือบิดามารดา นี่เป็นขนบธรรมเนียมไทยๆ ที่ได้รักษากันมาตลอด ชื่อว่าเป็นมงคลยิ่งของพวกเราทั้งหลาย ขนบธรรมเนียมเหล่านี้ควรรักษาไว้ ข้าพเจ้าหวังว่านักเรียนในโรงเรียนนี้จะช่วยกันรักษาไว้ เพราะว่าเราเป็นไทย ชาติไทยเราก็มีอะไรที่ดีเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเอาอย่างคนอื่นเสมอไป นี่แหละทำให้เรารู้สึกภูมิใจในตัวเรา และชาติของเราด้วย”
(พระบรมราโชวาทพระราชทานในงานประจำปีของวชิราวุธวิทยาลัย วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๓)
๘. เศรษฐกิจพอเพียงสร้างฐานะให้บุคคลและทำให้ชุมชนอยู่รอด
“สมมุติว่าบุคคลหนึ่งมีทุนทรัพย์น้อย แต่กลัวจนเหลือเกิน ด้วยทุนทรัพย์นั้นไปก่อกำแพงคอนกรีตและซื้อปืนไว้รอบบ้านเปนต้น ผลสุดท้ายไม่มีทุนจะซื้อขายเช่นไร่นาเปนต้น การอยู่กินก็ร่อยหรอไปทุกที ในที่สุดก็ถูกเจ้าหนี้ยึดเอาไปหมดทั้งบ้านเรือนครอบครัวไร่นา กำแพงและปืนที่ซื้อไว้นั้น ก็ไม่เปนประโยชน์อะไร ถ้าหากว่าบุคคลผู้นั้นไม่ประมาทคิดป้องกันตัวตามสมควรเท่าฐานะที่มีและพยายามบำรุงการค้าขายของตนด้วยทุนอีกส่วนหนึ่ง แบ่งให้พอดีกัน ก็จะทำตนให้มั่งคั่งสมบูรณ์ขึ้น ฐานะของตนก็จะมั่นคงขึ้นทุกประการฉันใด ประเทศสยามก็อยู่ในฐานะเช่นนั้นเหมือนกัน เราเปนเมืองเบี้ยน้อยหอยน้อย จะคิดอะไรต้องให้พอดีแก่เนื้อแก่ตัว”
(พระราชดำรัสตอบในการเลี้ยงของสโมสรกลาโหม วันที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๔)
๙. การเปลี่ยนแปลงในชุมชนควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปและสร้างสรรค์
“การที่อังกฤษรักขนบธรรมเนียม หรือ Tradition ไม่ได้ทำให้ประเทศอังกฤษล้าหลังประเทศอื่นในความเจริญเลย สิ่งใดที่ควรเปลี่ยนแปลงก็เปลี่ยนแปลงไป แต่สิ่งใดที่ยังดีอยู่ไม่เสียหายเขาก็คงรักษาไว้เพื่อนึกถึงความเจริญของประเทศที่มีมาแล้วในปางก่อน ถึงแม้ว่าเขาจะคิดทำงานใดๆ เพื่อมุ่งหาความเจริญในทางอนาคตก็จริง แต่เขาก็ไม่ยอมหันหลังให้อดีตเสียเลย ข้อนี้เองทำให้อังกฤษเปลี่ยนแปลงแบบแผนการปกครองได้อย่างเรียบร้อยราบคาบ ไม่ต้องมีการจลาจลมากมายนัก นั่นเป็นผลของการรักษาขนบธรรมเนียมอย่างหนึ่ง ตัวอย่างในเร็วๆ นี้ คือประเทศอังกฤษได้มีคณะรัฐบาลกรรมกรซึ่งเป็นโสเชียลลิสต์แต่ก็หาได้มีการเปลี่ยนแปลงตูมตามกลับหน้ามือเป็นหลังมืออย่างใดไม่ เพราะกรรมกรอังกฤษก็เปนชาวอังกฤษที่มีนิสสัยยังรักขนบธรรมเนียมการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นไปทีนิดละหน่อยไม่มีใครรู้สึก”
(พระบรมราโชวาทในวันงานประจำปีของวชิราวุธวิทยาลัย วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๕)
๑๐. การร่วมใจกันทำให้ชุมชนเข้มแข็ง “จงพยายามฝึกฝนตนเอง, ทำน้ำใจให้รู้จักรักสามัคคียิ่งกว่าอะไรทั้งหมด, รู้จักที่จะผ่อนตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาตามทางที่ควร รู้จักคิดอะไรของตัวเอง ทำอะไรของตัวเองในเวลาที่ควร ให้เป็นประโยชน์แก่คณะและแก่ผู้ใหญ่ที่บังคับบัญชาเราอีกทีหนึ่ง ต่างคนต่างหันเข้าหากัน เอาใจซึ่งกันและกัน แม้เป็นเด็กก็สร้างบ้านหรือสร้างเมืองได้ด้วย”
(พระราชดำรัสในการสวนสนามลูกเสือในงานพระราชพิธีฉัตรมงคล วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๔)
๑๑. รู้จักปรองดองแบ่งปันผลประโยชน์กันทำให้เกิดความเจริญ
“การค้าขายย่อมจะมีได้เป็น 2 อย่าง คือแย่งกันกินหรือแบ่งกันกิน ถ้าเราจะคิดช่วยกันให้เจริญด้วยกัน คือ แบ่งกันกิน การค้าขายก็อาจเจริญขึ้นเป็นอันมากทั่วๆ ไป”
(พระบรมราโชวาทพระราชทานแก่ลูกเสือในการสวนสนามของคณะลูกเสือแห่งชาติ วันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๓)
๑๒. มีน้ำใจนักกีฬาทำให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยเจริญก้าวหน้า
“การฝึกหัดน้ำใจนั้นเป็นของสำคัญมาก ยิ่งเราจะปกครองแบบเดโมคราซียิ่งสำคัญขึ้นอีก...ประการที่หนึ่ง นักกีฬาแท้จะเล่นเกมอะไรก็ตามต้องเล่นให้ถูกต้องตามกฎข้อบังคับของเกมนั้น ไม่ใช้วิธีโกงเล็กโกงน้อยอย่างใดเลยจึงจะสนุกจึงจะเป็นผลประโยชน์ ประการที่สอง ถ้าเกมที่เล่นนั้นเล่นหลายคน ต้องเล่นเพื่อความชะนะของฝ่ายตน ไม่ใช่เล่นเพื่อตัวคนเดียว ไม่ใช่เล่นเพื่อแสดงความเก่งของตัวคนเดียว ประการที่สาม นักกีฬาแท้นั้นต้องรู้จักชะนะและรู้จักแพ้ ถ้าชะนะก็ต้องไม่อวดดีทำภูมิ์ ถ้าแพ้ก็ต้องไม่พยาบาทผู้ชะนะเป็นต้น หลักสามอย่างนี้สำคัญมาก ย่อมใช้ประโยชน์ได้ในการเมืองด้วย เมื่อเราจะปกครองแบบรัฐสภาแล้ว ...ตามธรรมดาย่อมต้องมีคณะการเมืองคณะต่างๆ ซึ่งมีความเห็นต่างๆ กัน แต่เมื่อถึงคราวที่จะต้องนึกถึงประเทศแล้วต่างคณะต้องต่างร่วมใจกัน นึกถึงประโยชน์ของประเทศอย่างเดียวเป็นใหญ่ ต้องลืมความเห็นที่แตกต่างกันนั้นหมด ถึงจะเคยน้อยอกน้อยใจกันมาอย่างไร ต้องลืมหมด ต้องฝังเสียหมด ต้องนึกถึงประโยชน์ของประเทศของตนเท่านั้น จะนึกเห็นแก่ตัวไม่ได้ อย่างนี้จึงจะเรียกว่ามีใจเป็นนักกีฬาแท้ เป็นของจำเป็นที่จะต้องปลูกฝังให้คนมีน้ำใจอย่างนั้น จึงจะปกครองแบบเดโมเครซีได้ดี”
(พระบรมราโชวาทพระราชทานในวันงานประจำปีของวชิราวุธวิทยาลัย วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๕)
บรรณานุกรม
บรรเจิด อินทุจันทร์ยง (บรรณาธิการ). ๒๕๓๖. ประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี.